กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 219
เมื่อเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของกู้ชูหน่วน อี้เฉินเฟยทั้งโมโหและอดหัวเราะไม่ได้
แต่กลับมีเพียงทางเดียวที่จะออกจากกรงเลื่อนนี้ไปได้โดยกระเช้าลอยฟ้า โดยปล่อยผู้ควบคุมไปก่อนเพื่อควบคุมกลุ่มผู้ถือธงที่ป้อมปราการที่สอง
หลังจากที่ป้อมปราการที่สามพังทลายลงและเหลือเพียงป้อมปราการที่สอง เพราะหอคอยแรกถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มหมอกพิษ และไม่มีผู้ถือธงคอยเฝ้าคุ้มกัน
และเพราะว่าพวกเขาผ่านเข้ามาหลายด่านแล้ว ฉะนั้นป้อมปราการที่สองจึงเต็มไปด้วยสุดยอดผู้มีวิทยายุทธจำนวนมาก
ค่ำคืนที่มืดมิดทำให้กู้ชูหน่วนและคนอื่นมองไม่เห็นว่าอี้เฉินเฟยจัดการกับป้อมปราการที่สองได้อย่างไร รู้เพียงแค่มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ลมหนาวเต็มไปด้วยกลิ่นเลือดรุนแรงและยอดเขาสูงก็กึกก้องไปด้วยเสียงกรีดร้องอันทุกข์ทรมาน และไม่รู้เลยว่าป้อมปราการที่สองนี้มีคนตายไปจำนวนเท่าไร
ผู้คอยปรนนิบัติต่างพากันตัวสั่น ไม่มีใครเคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้
ประตูถูกเปิดออกอย่างราบรื่น และยังคงเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเป็นสองเท่า เมื่อเห็นว่าใกล้จะเดินทางไปถึงป้อมปราการที่สองแล้ว แต่รอยต่อที่เชื่อมระหว่างป้อมปราการที่สองและป้อมปราการที่สามกลับถูกตัดขาด
ทำให้ฝั่งหนึ่งสูญเสียน้ำหนักความถ่วง
หมายความว่าปลายเชือกอีกข้างถูกตัด กระเช้าไม่สามารถรองรับได้ และมันตกลงในแนวตั้ง ในสถานการณ์ที่คับคันเช่นนี้ ฝูกวงจับกระเช้าเอาไว้และเขย่งปลายเท้าเอาไว้จากนั้นใช้จังหวะที่กรงเลื่อนเลี้ยวโค้งและจึงกระโดดไปยังป้อมปราการที่สอง
เพราะห่างจากป้อมปราการที่สองไปไม่ไกลนักและความห่างระหว่างกรงเลื่อนนั้นก็ไม่นับว่าไกลมาก เมื่อกระโดดจากกรงเลื่อนสุดท้ายไปยังกรงเลื่อนแรก ฝูกวงไม่สามารถข้ามไปยังป้อมปราการได้ จากนั้นเขาจึงปล่อยกระเช้าลอยฟ้านั้นให้กับอี้เฉินเฟยและใช้แรงกำลังของตัวเองเพื่อผลักกรงเลื่อนไปที่ป้อมปราการ
อี้เฉินเฟยจับเอาไว้ได้และใช้แรงดึงอย่างหนักทำให้กรงเลื่อนทั้งหมดมาถึงยังป้อมปราการที่สองอย่างปลอดภัย แต่ฝูกวงที่ออกแรงเพื่อให้กรงเลื่อนเข้าใกล้ยังป้อมปราการ ทำให้เขาหมดเรี่ยวแรงและตกลงไปยังหน้าผา
“ฝูกวง”
กู้ชูหน่วนตะโกนออกมาและไม่รู้ว่าหยิบจับเชือกมาจากไหน จากนั้นจึงโยนไปที่ฝูกวง
ฝูกวงจับเอาไว้แน่นและใช้แรงขยับตัวปีนขึ้นมา
อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นเขาคงตกลงไปและกระดูกหักเป็นเสี่ยงๆ แต่ใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้มออกมา
“นายท่าน”
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ไม่รู้จักขึ้นไปยังกรงเลื่อนก่อนแล้วค่อยปล่อยกระเช้าลอยฟ้าไปให้อี้เฉินเฟย” กู้ชูหน่วนบ่นออกมา
ฝูกวงยิ้มอย่างอับอายและลูบศีรษะ “ทำเช่นนี้จะเป็นการดีกว่าที่จะปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยของนายท่านขอรับ”
กู้ชูหน่วนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรอยู่พักหนึ่ง และมองไปที่ใบหน้าที่แดงก่ำและละเอียดอ่อนของฝูกวง
และไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เยี่ยเฟิงออกไปจากกรงเลื่อน ใบหน้าหล่อเหลาของเขามีสีแดงฉาน ดวงตาของเขาพร่ามัว และเขาพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ที่นี่มี……มีกระเช้าลอยฟ้าสองสาย สายหนึ่งเป็นแบบซ่อน……ซ่อนเร้น และแทบไม่อาจเห็นได้ในตอนกลางคืน พวกเขาตัดสายที่สามารถมองเห็นได้ไป ส่วนที่มองไม่เห็นยังคงอยู่ ต้อง……ต้องตัดที่มองไม่เห็นนั่นเพื่อไม่ให้พวกเขาตาม……ตามมาได้”
“สายที่มองไม่เห็นอยู่ที่ไหนหรือ”
“บนหน้าผาทางขวา ห่างจากป้อมปราการ……ห้าจั้ง (หน่วยความยาวของจีน)”
ตามการคำนวณของที่นี่ หนึ่งฟุตคือสามเมตร เช่นนั้นก็คือสิบห้าเมตรน่ะสิ?
หน้าผามีความสูงชันมาก ต้องลงไปถึงสิบห้าเมตร และในคืนที่มืดมิดเช่นนี้เกรงว่าจะค่อนข้างลำบาก
“นายท่าน พวกท่านออกไปจากที่นี่ก่อน ข้าจะเป็นคนลงไปเอง”
ยังไม่ทันรอกู้ชูหน่วนตอบตกลง ฝูกวงก็กระโดดลงหน้าผาไปทันที
กู้ชูหน่วนรู้สึกโกรธ
เจ้าคนโง่คนนี้
เขาเห็นว่าเขาอายุยืนเกินไปหรืออย่างไร
ความชันสิบห้าเมตร แถมยังไม่ยอมรัดเชือก
“(เสียงตัดเชือกดังขึ้นมา)”
สายซ่อนเร้นถูกตัดขาดแล้ว ไม่ไกลนักมีเสียงกรีดร้องโหยหวนสะท้อนกึกก้องไปทั่วทั้งภูเขา
ใบหน้าของอี้เฉินเฟยไม่ได้แสดงอาการโล่งอก แต่เขาพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ฝูกวง ตัดสายซ่อนเร้นของป้อมปราการที่หนึ่งและป้อมปราการที่สองทิ้งทั้งหมด ที่นี่น่าจะมีสายเชื่อมต่อกระเช้าทั้งหมดสามสาย หนึ่งสายที่มองเห็นได้และอีกสองที่มองไม่เห็น”