กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 291
กู้ชูหน่วนรู้สึกว่ามีบางสิ่งผิดปกติไปเล็กน้อย เมื่อนางหันศีรษะไปก็ได้เห็นผู้นำกองธงกล้วยไม้ ซึ่งใบหน้าของเขาดูมืดมนอย่างน่าหวาดกลัว นางตกใจจนกระโดดขึ้น
“ตกใจเหลือเกิน”
มหาราชาผู้พิทักษ์ทุบค้อนลงไปด้วยความโกรธเคือง “เจ้าผู้หญิงสมควรตาย เจ้าไม่เพียงล่อลวงให้เทพแห่งสงครามมาจู่โจมหุบเขาพิศวิญญาณ แต่เจ้ากลับกล้าสร้างความบาดหมางขึ้น เจ้าสมควรตาย”
สีหน้าของทหารอารักขาเปลี่ยนไปและยกดาบในมือขึ้นเพื่อไปปะทะกับค้อนเหล็กขนาดใหญ่นั่น
“เพล้ง เพล้ง เพล้ง……”
แค่เพียงเวลาสั้นๆ แต่ได้ใช้กระบวนท่าไปแล้วไม่น้อย
“ฟลุบ……”
เกิดเสียงดังกึกก้องขึ้น ทหารอารักขากระอักเลือด มหาราชาผู้พิทักษ์กลับไม่บาดเจ็บเลยสักนิด และผลแพ้ชนะก็ปรากฏขึ้นตอนนี้
กู้ชูหน่วนยิ้มอย่างเย็นชา “ทำไมหรือ ข้าพูดถูกถึงความคิดของเจ้า เจ้าเลยโมโหเช่นนั้นหรือ? ผู้นำกองธงกล้วยไม้ ข้าไม่ได้ว่าเจ้านะ แต่เจ้าก็ช่างไร้ยางอายเหลือนเกิน วิญญาณทั้งเจ็ดแห่งหุบเขามืดเห็นว่าเจ้าเป็นเพื่อนพี่น้องที่ดี แต่เจ้ากลับกล้าโกหกพวกเขา”
พลังกำลังภายในของผู้นำกองธงกล้วยไม้ก่อตัวเป็นลูกไฟในฝ่ามือซึ่งขยายตัวอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ดวงตาที่จ้องมองตรงไปที่กู้ชูหน่วน ราวกับจะทำให้กู้ชูหน่วนตายลงเสียให้ได้
เยี่ยเฟิงตะเกียกตะกายฝืนลุกขึ้นและเตือนด้วยเสียงสั่นเทา “ระวัง ลูกไฟของเขามีพิษ หากถูกเข้าแม้แต่เหล็กนิลก็สามารถละลายได้”
กู้ชูหน่วนกวาดสายตาไปที่ลูกไฟที่ถูกรวมกำลังในฝ่ามือของเขา ลูกไฟมีขนาดใหญ่ขึ้นและแสดงให้เห็นว่าความโกรธของเขานั้นทวีความรุนแรงขึ้น
กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างเกียจคร้าน “ต้องการฆ่าคนเพื่อปกปากเช่นนั้นหรือ? โธ่ ท่านประมุขวิญญาณมืด ท่านดูเพื่อนของเจ้าสิ ฮึฮึฮึ แค่เพียงระฆังวิญญาณสะบั้นอันเล็กๆ อันเดียวก็สามารถหักหลังพวกเจ้าได้”
ประมุขวิญญาณมืดลูบเคราของเขาและยิ้มอย่างคาดไม่ถึง “แม่สาวน้อย เจ้าหยุดสร้างความบาดหมางได้แล้ว ข้าลืมบอกเจ้าไปเลยว่าพวกข้าเป็นพี่น้องพ่อเดียวกันแม่คนละแม่และเติบโตมาด้วยกันอย่าแยกไม่ออก อีกอย่างการที่เขาแย่งชิงระฆังวิญญาณสะบั้นมานั้น ก็เพื่อต้องการมอบให้กับข้า”
“……”
กู้ชูหน่วนแทบอยากจะด่าความประมาทของตัวเอง
อะไรกันเนี่ย กลับกลายเป็นความไร้ประโยชน์ในสิ่งที่พูดไป
ประมุขวิญญาณมืดนี่ก็ไม่ใช่คนดีอะไร เขาไม่เพียงแต่ไม่หักหน้านาง แต่กลับร่วมมือกับนางอยู่นาน
“เจ้าอัปลักษณ์ ข้าจะพูดเป็นครั้งสุดท้าย นำระฆังวิญญาณสะบั้นออกมาเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นวันนี้จะเป็นวันตายของเจ้า”
“ข้าก็อยากจะมอบให้ แต่ระฆังวิญญาณสะบั้นถูกแย่งชิงไปแล้ว ส่วนใครเป็นคนแย่งชิงไปนั้น ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน หากไม่เชื่อเจ้าสามารถถามเยี่ยเฟิงได้ เยี่ยเฟิงเป็นคนเช่นไรพวกเจ้าก็น่าจะรู้”
ทุกคนกวาดสายตาไปที่เยี่ยเฟิง
เยี่ยเฟิงพยักหน้า “แม่นางกู้มอบระฆังวิญญาณสะบั้นให้กับข้า จากนั้นระหว่างที่ข้ากนำกลับไปที่หุบเขาพิศวิญญาณก็ถูกคนชุดขาวปิดบังใบหน้ามาแย่งไป อีกฝ่ายมีฝีมือการต่อสู้ที่เก่งกาจมาก ข้าสู้ไม่ได้”
ประมุขวิญญาณมืดยังต้องการจะซักถาม แต่ผู้นำกองธงกล้วยไม้ก็ขัดจังหวะขึ้น “ในเมื่อเยี่ยเฟิงบอกว่าถูกแย่งไปแล้ว เช่นนั้นก็ไม่อยู่ที่เขา”
“ผู้ชายคนนี้เป็นพวกเดียวกับนาง จะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่ได้วางแผนกันมาก่อน”
“เยี่ยเฟิงเป็นคนที่ข้าเห็นเขามาตั้งแต่เล็กจนโต เขาไม่มีทางพูดโกหก”
“ต่อให้สิ่งที่พวกเขาพูดมาเป็นความจริง วันนี้พวกเขาก็ต้องตาย การแก้แค้นของเหล่าเจี่ยนจะต้องได้รับการแก้แค้นและดวงตาของสวีเจิ้นก็ต้องเรียกร้องกลับคืนมา” สวีซานเหนียงหัวเราะอย่างสะพรึงและเลียเลือดที่มือของนางอย่างเย่อหยิ่ง
ประมุขวิญญาณมืดและผู้นำกองธงกล้วยไม้กำลังลังเลว่าจะฆ่านางดีหรือไม่
หากฆ่านางก็จะทำให้เทพแห่งสงครามและจอมมารโกรธ
ส่วนเทพแห่งสงครามนั้นไม่ต้องสนใจ เพราะถึงอย่างไรก็ได้เกิดปัญหาขึ้นแล้ว
แต่จอมมาร……
ไม่รู้ว่าผู้นำกองธงกล้วยไม้คิดอะไรได้ ทันใดนั้นเขาก็ถามขึ้นมา “เจ้าเป็นอะไรกับผู้นำนิกายเทพอสูร? ทำไมคนของผู้นำนิกายเทพอสูรต้องคอยปกป้องคุ้มครองเจ้า?”
วิญญาณทั้งเจ็ดแห่งหุบเขามืดต่างตกตะลึง “อะไรนะ? คนของผู้นำนิกายเทพอสูรคอยปกป้องคุ้มครองนาง?”
“แม่สาวน้อย เจ้าเป็นคนของผู้นำนิกายเทพอสูรอย่างนั้นหรือ?”
“ไม่ใช่ ผู้นำนิกายเทพอสูรอะไรกัน ข้าไม่รู้จัก” กู้ชูหน่วนรู้สึกแปลกใจ
“ข้าไม่สนว่าจะรู้จักหรือไม่ แต่หากเกี่ยวพันไปถึงผู้นำนิกายเทพอสูร เช่นนั้นเจ้าต้องตาย”
ประมุขวิญญาณมืดและผู้นำกองธงกล้วยไม้จ้องหน้ากันและเห็นเจตนาฆ่าในสายตาของกันและกัน
กู้ชูหน่วนอาจเกี่ยวข้องกับผู้นำนิกายเทพอสูรและยังฆ่าคนแคระเจี่ยน อีกทั้งยังยุยงให้เทพแห่งสงครามเข้าไปจู่โจมหุบเขาพิศวิญญาณ จนทำให้พวกเขาต้องบาดเจ็บล้มตายนับไม่ล้วน อีกทั้งหุบเขาพิศวิญญาณก็ถูกทำลายลงกว่าครึ่ง
หากไม่ฆ่านาง เช่นนั้นก็จะไม่สามารถหยุดความแค้นในใจนี้ได้