กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 44
เมื่อมองชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยผู้มีฝีมือสูงส่งซึ่งอยู่ข้างกายเยี่ยจิ่งหาน ก็เห็นว่าพวกเขาแค่ขี่ม้าประกบคอยปกป้องอยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวา จ้องมองไปยังสนามรบด้วยแววตาที่เยือกเย็น
กู้ชูหน่วนเข้าใจอะไรๆ แล้ว
ลูกธนูที่พุ่งเข้ามาในข้างในเมื่อครู่นี้ นางอุตส่าห์ขัดขวางอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กลายเป็นว่านางคิดไปเองทั้งนั้น นักฆ่าเหล่านั้นน่ะหรือจะทำอะไรเยี่ยจิ่งหานได้
หมอนี่จงใจและเห็นนางเป็นตัวตลก
นักฆ่าถูกสังหารจนหมด รถม้ายังคงมุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วคงที่ราวกับเมื่อครู่นี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือไม่พวกเขาก็คงจะเคยชินกับมันแล้ว
ณ จวนหานอ๋อง
เยี่ยจิ่งหานบรรจงนั่งลงบนบัลลังก์และจิบชาอย่างสง่างาม รอบๆ ตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความหนาวเหน็บที่ไม่อาจมองข้าม
กู้ชูหน่วนยืนอยู่ด้านล่างราวกับนักโทษที่รอการพิจารณาคดี รอให้คนข้างบนมาสอบปากคำ
นางเบ้ปาก ถ้าไม่ใช่เพราะนางเป็นฝ่ายผิด มีหรือที่นางจะยอมให้รังแกเช่นนี้
นางลากม้านั่งมาให้ตัวเองและนั่งลงไขว่ห้าง พูดเสียงดังว่า “ชิวเอ๋อร์ ไปชงชามาให้ข้าที”
ชิวเอ๋อร์โซเซจนเกือบจะล้ม
ที่นี่คือจวนหานอ๋อง นางจะถือวิสาสะไปยกชาเองได้อย่างไร นอกจากนี้ท่านหานอ๋องยังไม่พูดอะไรสักคำ
ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยหันไปมองสตรีซึ่งอยู่ตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ
เป็นไปได้ไหมว่าผู้หญิงคนนี้คือคนที่เอาเปรียบท่านอ๋องของพวกเขาในวันนั้น
นอกจากนางแล้ว พวกเขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีใครกล้าอวดดีต่อหน้าท่านอ๋องแบบนี้
“มัวนิ่งทำไมอยู่ ไปสิ”
ชิวเอ๋อร์ขยิบตาและพยายามโบกไม้โบกมือ สองขาของนางสั่นระริกราวกับจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
กู้ชูหน่วนพูดไม่ออก เทพแห่งสงครามน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ
“ท่านอ๋องใจดีมีเมตตาทั้งยังอ่อนโยนใจกว้าง ถึงแม้เราจะทำให้ท่านขุ่นเคืองไปบ้าง ท่านก็คงไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอก เจ้าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น”
คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้นแทบจะกัดลิ้นตัวเอง
ท่านอ๋องเป็นคนใจดีมีเมตตาทั้งยังอ่อนโยนใจกว้างอย่างนั้นหรือ
นางแน่ใจใช่หรือไม่ว่านั่นไม่ใช่การพูดออกมาอย่างไร้สำนึกผิดชอบชั่วดี
กู้ชูหน่วนกะพริบตาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์และขยับไปที่โต๊ะของเยี่ยจิ่งหาน เอ่ยยิ้มๆ อย่างสอพลอว่า “ท่านอ๋อง เช่นนั้นเรามาคุยเรื่องข้อตกลงกันดีกว่า”
ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยใจหล่นวูบและแอบปาดเหงื่อแทนสตรีผู้นี้
ใครก็ตามที่เข้าไปใกล้ท่านอ๋องจะต้องถูกลงโทษประหารด้วยการใช้ม้าห้าตัวแยกร่าง นางไม่อยากจะมีชีวิตแล้วหรืออย่างไร
แต่ที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือผู้เป็นนายของพวกเขาไม่คิดจะฆ่านาง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคนสุดท้ายที่คิดจะคุยเรื่องข้อตกลงกับข้า”
“รู้ ตายไปแล้วละสิ”
“ฮึ ก็พอจะมีความรู้อยู่นี่”
“พวกเขาก็คือพวกเขา ข้าก็คือข้า นอกจากนี้ความเคารพที่ข้ามีต่อท่านอ๋องยังเหมือนกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งยังเหมือนกับแม่น้ำฮวงโหที่เอ่อล้นยากจะควบคุม”
คนที่เย็นชาอย่างเยี่ยจิ่งหานยังอดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก
ผู้หญิงคนนี้พูดจาฉะฉานอย่างคนรู้งาน ทั้งยังไม่กลัวเลยว่าลิ้นจะพันกัน
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าลองพูดโน้มน้าวไม่ให้ข้าฆ่าเจ้าดูสักครั้ง”
“ถ้าท่านปล่อยข้า ข้าจะรักษาพิษให้ท่านและจะรักษาขาทั้งสองข้างของท่านให้หายดี ส่วนเรื่องการแต่งงาน เราจะเป็นสามีภรรยากันเพียงในนามและจะไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกัน ฟังดูเป็นอย่างไรบ้าง”
ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยตาเป็นประกาย “ท่านแก้พิษของนายท่านได้จริงหรือ”
ขนาดหมอชื่อดังหลายต่อหลายคนยังทำอะไรไม่ได้ นางเป็นแค่เด็กสาวผู้โง่เขลาคนหนึ่ง จะรักษาใครได้อย่างไร
“ทำได้อยู่แล้วสิ ถ้าข้ารักษาไม่ได้จะฆ่าข้าตอนนั้นก็ยังไม่สาย ถึงอย่างไรข้าก็หนีไปไหนไม่ได้อยู่แล้ว”
ชิวเอ๋อร์พูดไม่ออก
คุณหนูมีทักษะทางการแพทย์เสียที่ไหน นี่ไม่ใช่การรนหาที่ตายหรอกหรือ
ชิงเฟิงและเจี้ยงเสวี่ยเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
มือเรียวที่งดงามดั่งหยกของเยี่ยจิ่งหานค่อยๆ ดึงเก้าอี้มาใกล้ ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นหรี่ลงเล็กน้อยราวกับกำลังไตร่ตรองว่านางพูดจริงหรือพูดเท็จ
บรรยากาศอึดอัดจนน่าประหลาดใจ ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร
หลังจากนั้นครู่ใหญ่ริมฝีปากที่เยียบเย็นของเขาจึงเริ่มกระตุกขึ้นเล็กน้อย เขาเอ่ยออกมาว่า “ถ้ารักษาไม่หาย เจ้าจะได้เห็นว่าเหล่าลูกน้องของข้ามีฝีมือดีแค่ไหน”
กู้ชูหน่วนชะงักไปนิดหนึ่งก่อนจะเข้าใจว่าฝีมือที่เขาหมายถึงคือฝีมือด้านไหน
หมอนี่ก็ใจแคบเกิน เอะอะอะไรก็เอาแต่ผูกพยาบาท
“เจ้าค่ะๆๆ”