กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 444
บทที่ 444
ที่ก้นหลุมดำ พายุหมุนพัดเข้าใส่จนพวกเขาเวียนหัวและโซซัดโซเซอย่างหนัก สุดท้ายก็ตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง
กู้ชูหน่วนเกือบจะหมดสติไป โชคดีที่พื้นด้านล่างเป็นพื้นนุ่ม ไม่อย่างนั้นนางจะต้องตกลงมาตายเป็นแน่
ทันใดนั้นสติของนางก็เลือนราง เมื่อลืมตาขึ้นมาจึงเห็นว่าตนเองไม่ได้ตกลงมาบนพื้นนุ่มๆ แต่นางตกลงมาบนร่างของชายหนุ่มผมขาวในอาภรณ์สีขาวคนหนึ่ง
กู้ชูหน่วนใจหายวูบและรีบประคองเขาขึ้นมา “ท่านฟื้นสิ ท่านพี่เฉินเฟย”
กู้ชูหน่วนยื่นมือออกมาและสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่เหนียวเหนอะ เมื่อมองดูก็พบว่าไม่ใช่เลือดหรืออะไร
อี้เฉินเฟยมีเลือดออกจากมุมปาก หลายส่วนในร่างกายของเขาถูกหินมีคมจนบอบช้ำไปหมด นอกจากนี้อาภรณ์สีขาวดั่งหิมะยังเปื้อนไปด้วยเลือดสีแดงฉาน
ในความมืดสลัวใต้ดิน ใบหน้าของเขาซีดขาวไร้สีเลือด ทว่าใบหน้าที่อบอุ่นยังคงมีรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจ เขาเอ่ยอย่างอ่อนแรงว่า “ท่านไม่เป็นอะไรสินะ”
ขอบตาของกู้ชูหน่วนกลายเป็นสีแดงก่ำ “ท่านมันงี่เง่า เหตุใดจึงดีกับข้าขนาดนี้ คนอย่างข้ามีอะไรคู่ควรที่ท่านจะต้องมาช่วยชีวิต”
“เพราะว่า… ท่านเป็นน้องสาวของข้า…”
“ท่านบาดเจ็บสาหัส อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ข้าจะรักษาแผลให้ท่าน”
“ไม่… ไม่ต้องแล้ว”
เขามีชีวิตเหลืออยู่อีกไม่นาน ต่อให้รักษาอย่างไรก็เปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์ ไม่จำเป็นเลยสักนิด
ในถ้ำไม่ได้มืดและน่ากลัวอย่างที่พวกเขาคิด ที่นี่อบอุ่นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ มีดอกไม้บานสะพรั่ง มีผีเสื้อโบยบินและมีต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี ราวกับว่าที่นี่คือสรวงสวรรค์อันสงบ ถ้าไม่ใช่เพราะมีหน้าผาล้อมรอบและมีหินหนืดที่เดือดพล่าน พวกเขาคงอยากจะอยู่ที่นี่ไปนานๆ
ที่น่าแปลกก็คือที่นี่มีทะเลโลหิต ทว่าดอกไม้ใบหญ้ากลับยังเบ่งบานอย่างสวยสดงดงาม
นอกจากพวกเขาสองคนก็ไม่มีใครอื่น ไม่รู้ว่าเยี่ยเฟิงและคนอื่นๆ ถูกลมหมุนพัดปลิวไปที่ไหน
กู้ชูหน่วนไม่สนใจว่าอี้เฉินเฟยจะพูดอย่างไร นางดึงดันที่จะช่วยเขาจัดการบาดแผล จากนั้นจึงฝังเข็มให้เขาเพื่อระงับอาการบาดเจ็บภายใน
หลังจากนั้นไม่นาน ความเจ็บปวดของอี้เฉินเฟยจึงค่อยบรรเทาลง ทว่าใบหน้าของเขายังคงซีดขาวเหมือนเดิม
กู้ชูหน่วนประคองเขาให้ลุกขึ้นนั่งบนโขดหิน จากนั้นจึงทำความสะอาดใบหน้าที่เปรอะเปื้อนของเขาเงียบๆ
ใบหน้าของอี้เฉินเฟยมีรอยยิ้มจางๆ เขามองนางตาไม่กะพริบ
“อาหน่วน ขมวดคิ้วแบบนี้ดูไม่ดีเลย”
“ท่านกระโดดลงมาจากหน้าผาก็ดูไม่ดีเหมือนกัน” กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างไม่พอใจ
อี้เฉินเฟยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและเอ่ยอย่างใจลอยว่า “เมื่อก่อนก็เคยมีคนบอกข้าอย่างนั้น”
“โอ๊ะ… ใครหรือ ผู้หญิง?”
“อืม… เป็นผู้หญิงที่สวย ใจดีและก็โง่มากๆ คนหนึ่ง”
“รักครั้งแรกของท่าน?”
อี้เฉินเฟยไม่ได้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเขากับนางอย่างแจ่มแจ้ง เขาเพียงแต่ขมวดคิ้วและเอ่ยด้วยความเจ็บปวดเล็กน้อยว่า “นางเป็นคนที่น่าสงสารมากๆ คนหนึ่ง ทันทีที่เกิดมานางก็ต้องแบกรับความรับผิดชอบที่หนักอึ้ง ชีวิตของผู้คนนับหมื่นนับพันถูกกดลงมาบนบ่าของนาง ข้าเฝ้ามองดูนางล้มและลุกขึ้นมาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า บ่าเล็กๆ นั้นต้องแบกรับภาระมากมายเกินกำลัง”
กู้ชูหน่วนพันแผลพลางฟังเขาไปด้วย แม้จะฟังไม่ค่อยเข้าใจก็ตาม
“ชีวิตวัยเด็กของนาง นางไม่ได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อย่างหนักเพื่อทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่เป็นการฝึกฝนพรสวรรค์ในการเข่นฆ่า และเพื่อค้นหาสิ่งของบางอย่างที่อยู่สุดขอบโลก”
กู้ชูหน่วนถามแทรกขึ้นมา “ฝึกฝนพรสวรรค์ในการเข่นฆ่า? หมายความว่าอย่างไรหรือ”
“นางเกิดมาในฐานะที่สูงส่ง และเพราะความสูงส่งนี่เอง นางจึงกลายเป็นความหวังของทุกคน เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหวังของผู้อื่น เพื่อที่จะแบกรับภาระได้อย่างราบรื่น นางจึงถูกขังอยู่ในที่มืดไร้แสงตะวันตั้งแต่ยังเด็ก ต้องต่อสู้กับอสุรกายและเหล่ามือสังหารทุกวัน หากนางรอดออกมาได้ นางจะได้รับชีวิต แต่ถ้าไม่ นางจะกลายเป็นวิญญาณภายใต้คมมีด เป็นก้อนเนื้อที่อยู่ในปาก”
กู้ชูหน่วนฟังแล้วสับสน
ในเมื่อเกิดมาในฐานะที่สูงส่ง แล้วเหตุใดจึงถูกปฏิบัติเช่นนี้ล่ะ
“มันคือความรับผิดชอบแบบไหนกันแน่”
“หนักมาก หนักจนทำให้หายใจไม่ออก”
“แล้วตอนนี้นางอยู่ที่ไหนรึ”
“ข้าไม่รู้ว่านางหายไปไหน แต่ข้าเชื่อว่านางจะกลับมาในไม่ช้า แค่กๆ”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพูดมากเกินไปหรือเปล่า อี้เฉินเฟยจึงกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง พลังชีวิตของเขาค่อยๆ สลายไปอย่างรวดเร็ว
กู้ชูหน่วนกระวนกระวายใจจนไม่สามารถถามอะไรได้อีก นางได้แต่บอกว่า “ท่านพักผ่อนก่อนเถิด อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย”
“อาหน่วน… ถ้าวันหนึ่งข้าไม่อยู่แล้ว ท่านจะต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ดี”
“ท่านพูดจาไร้สาระอะไร ดูสิ ข้าเจอไข่มุกมังกรสีครามแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกท่านเจอไข่มุกมังกรสี่ลูกแล้วหรือ รวมลูกนี้ด้วยเป็นห้าลูก หาเพิ่มอีกแค่สองลูกก็จะรักษาโรคของท่านได้แล้ว”
กู้ชูหน่วนหยิบไข่มุกมังกรสีครามซึ่งมีขนาดใหญ่เท่านกพิราบออกมา นางกะพริบตาและมองเขาด้วยรอยยิ้ม
มีรอยยิ้มในแววตาของอี้เฉินเฟย ทว่าภายในใจของเขากลับขมขื่นเป็นอย่างมาก
ไข่มุกมังกรหนึ่งลูกต้องใช้ความพยายามหลายชั่วอายุคนในการค้นหา กว่าจะหาเจอเบาะแสสักครั้ง พวกเขาจะหาเจอง่ายๆ ได้อย่างไร
พวกเขาไม่มีเบาะแสของไข่มุกมังกรลูกต่อไปเลย
นอกจากนี้ร่างกายของเขาก็ไร้ความสามารถไปแล้ว เขาช่วยเหลือคุ้มครองให้นางรวบรวมไข่มุกมังกรทั้งเจ็ดอีกไม่ได้แล้ว
อี้เฉินเฟยกล่าวว่า “ข้าเชื่อ ข้าเชื่อว่าท่านจะรวบรวมไข่มุกมังกรทั้งเจ็ดได้ แค่กๆ…”
“ใกล้ๆ นี้พอจะมีผลไม้ป่าอยู่บ้าง ข้าจะเด็ดมาให้ท่านกินนะ จากนั้นค่อยไปหาเยี่ยเฟิงกับน่าหลานหลิงลั่วกัน”
“อาหน่วน…” ทันใดนั้นอี้เฉินเฟยก็รั้งชายกระโปรงของกู้ชูหน่วนไว้
“มีอะไรรึ”
“ข้ารู้สึกว่าแววตาของเยี่ยเฟิงไม่เหมือนเมื่อก่อน เขาในตอนนี้ ข้ามองไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรกันแน่ คนผู้นี้เติบโตมาในความมืดตั้งแต่จำความได้ ทั้งยังถูกหยาบหยามอย่างหนัก หากเขากลายไปอยู่ในด้านมืด เขาจะทำลายทุกล้างทุกอย่างอย่างไร้ความปรานีและควบคุมไม่ได้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้ชูหน่วนจางลงไปเล็กน้อย ทว่าในไม่ช้าก็กลับมายิ้มอีกครั้ง “แม้ว่าเยี่ยเฟิงจะกลายไปอยู่ในด้านมืด เขาก็ไม่มีทางทำร้ายข้า ข้ายังคงมั่นใจในเรื่องนี้ นอกจากนี้เขาไม่ควรจะอ่อนแอแบบนั้นอีกแล้ว ในโลกนี้ผู้ที่อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่ง การอ่อนแอเกินไปมีแต่จะถูกรังแก”
มุมปากของอี้เฉินเฟยขยับ เขายังอยากจะพูดอะไรอีก แต่เมื่อเห็นแววตาที่ส่งสัญญาณว่าให้เขาสบายใจในเรื่องนี้ อี้เฉินเฟยจึงกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป
หวังว่าสัมผัสที่หกของเขาจะผิดพลาด
หวังว่าเยี่ยเฟิงจะไม่ทำอะไรกู้ชูหน่วน
ไม่รู้ว่าทำไม ทว่าอี้เฉินเฟยยังคงไม่สบายใจ
ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ ตอนที่เขาเพิ่งฟื้นขึ้นมาหลังจากได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติ เขาเห็นความเกลียดชังและจิตสังหารในแววตาของเยี่ยเฟิง ซึ่งนั่นไม่เหมือนแววตาที่มีความเคียดแค้นต่อคนเพียงแค่คนเดียว
เหมือนกับว่าเรื่องนี้ถูกเตรียมการไว้นานแล้ว ราวกับว่ากำลังอยากจะทำลายใครสักคน
และก็บังเอิญที่เยี่ยเฟิงพุ่งตัวออกมากะทันหันในขณะที่กู้ชูหน่วนกำลังดักฆ่าคนของเผ่าปีศาจ
ท่าทีของเขาดูเผินๆ เหมือนต้องการฆ่าผู้นำกองธงกล้วยไม้ แต่ในความเป็นจริงมันคือการบังคับให้กู้ชูหน่วนต้องช่วยชีวิตเขา จนในที่สุดก็ตกลงมาในหลุมขนาดยักษ์ด้วยกัน
แม้จะกังวลใจ แต่อี้เฉินเฟยก็คิดไม่ออกว่าเยี่ยเฟิงมีเหตุผลใดที่ต้องฆ่ากู้ชูหน่วน
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” เขาเอ่ยเบาๆ พละกำลังของเขาใกล้จะหมดแล้ว เขาทำได้เพียงพิงกำแพงเอาไว้ หลับตาลงเพื่อพักผ่อนร่างกายและปรับลมหายใจ