กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 494
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 494
“องค์หญิงตังตัง ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้าจะไปจวนองค์หญิงเพื่อเลือกเครื่องประดับได้หรือยัง”
พระพักตร์ขององค์หญิงตังตังแดงก่ำ แต่นางอดกลั้นไม่พูดอะไรเลยแม้แต่ทำเดียว ทำได้เพียงต้องกัดฟันยอมนาง
“ก็แค่เครื่องประดับชิ้นเดียว คิดว่าองค์หญิงอย่างข้ารับความพ่ายแพ้ไม่ได้รึ เจ้าไปเลือกเครื่องประดับในจวนของข้าตามสบาย อันไหนที่เจ้าชอบก็หยิบไปได้เลย ข้าไม่มีวันเสียดายทีหลัง”
พระพันปีสงสัยว่ากู้ชูหน่วนจะมีเจตนาไม่ดีแอบแฝง จวนหานอ๋องไม่ได้ต้องการเครื่องประดับใดๆ นางแค่ต้องการเครื่องประดับของตังตัง และเกรงว่าน่าจะเป็นการหลอกลวง
ขณะที่พระองค์กำลังคิดหาวิธีปฏิเสธ องค์หญิงตังตังก็ยอมรับปากเสียแล้ว และยังรับปากง่ายๆ เสียด้วย
พระธิดาโง่คนนี้ไม่รู้ด้วยว่าตัวเองกำลังถูกขุดให้ตกลงไปในหลุม
นางยืนกรานในคำพูดจนพระองค์อยากจะหยุดไว้ ทว่าก็เกรงว่านั่นจะทำให้พวกพระองค์ดูเป็นคนตระหนี่
พระพันปีจึงได้แต่ส่งสายตาบอกให้ข้ารับใช้เก็บเครื่องประดับที่มีค่าออกไปให้หมด
พระองค์เดาไม่ถูกว่าเครื่องประดับที่กู้ชูหน่วนต้องการคืออะไร ดังนั้นจึงมีแค่เพียงวิธีนี้
กู้ชูหน่วนเหลือบมองขันทีข้างกายพระพันปีที่จากไปอย่างเร่งรีบ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็น “ข้ารู้ว่าองค์หญิงมีพระทัยกว้างที่สุด เช่นนั้นเราไปกันตอนนี้เลยดีกว่า”
“ไปตอนนี้น่ะหรือ” จะรีบร้อนเกินไปหรือเปล่า
“ก็เป็นเรื่องปกตินี่ ไม่อย่างนั้นถ้าองค์หญิงเอาเครื่องประดับมีค่าทั้งหมดไปซ่อน ข้าก็เสียเปรียบแย่นะสิ”
“เจ้าคิดว่าองค์หญิงอย่างข้าเป็นใคร อย่าว่าแต่เครื่องประดับหนึ่งชิ้นเลย ต่อให้เป็นสิบชิ้นร้อยชิ้นข้าก็ยกให้ได้”
พระองค์รู้ว่ากู้ชูหน่วนไม่ได้ต้องการเพียงแค่เครื่องประดับอย่างเดียวแน่ๆ
นางรู้ดีว่าก่อนหน้านี้พระองค์พ่ายแพ้และสูญเงินไปจำนวนมาก แพ้จนแทบหมดเนื้อหมดตัว ดังนั้นจึงจงใจใช้เรื่องเครื่องประดับมาทำให้พระองค์อับอายขายหน้า
“องค์หญิงตรัสเช่นนี้ข้าค่อยวางใจ จริงสิ ฝ่าบาท ข้าชนะพนันแล้ว ฝ่าบาทควรจะพระราชทานรางวัลให้ข้าสักหน่อยมิใช่หรือเพคะ”
จักรพรรดิเยี่ยพอพระทัย “เจ้าอยากได้อะไรก็ว่ามาสิ”
ขอเพียงแค่หานอ๋องยินยอม จะให้นางมาเป็นสนมก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
“ข้าชอบเจ้าม้าสีดำตัวน้อยตัวนี้มาก ฝ่าบาทมอบมันให้ข้าได้หรือไม่เพคะ”
“นี่น่ะหรือ” จักรพรรดิเยี่ยรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูก
พระองค์คิดว่านางจะรังเกียจความโหดเหี้ยมอำมหิตของเยี่ยจิ่งหานจนอยากขอร้องให้ยกเลิกการหมั้นกับเขา
“ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทคิดว่าข้าอยากได้สิ่งใดเพคะ” กู้ชูหน่วนบุ้ยปาก ตั้งแต่เริ่มการแข่งขันยิงธนู จักรพรรดิตัวน้อยคิดว่านางไม่ใช่คู่ต่อสู้ตัวฉกาจ ไม่แน่อาจจะกำลังคิดวางแผนอยู่ในใจว่าจะจัดการนางอย่างไรก็ได้
“ตกลง ม้าตัวนั้นข้ามอบให้เจ้าเป็นรางวัล”
“ขอบพระทัยเพคะฝ่าบาท” กู้ชูหน่วนลูบหัวม้าสีดำตัวน้อย มุมปากสีแดงสดของนางยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“เจ้าเป็นม้าที่เร็วมาก ต่อไปเจ้าจะมีชื่อว่าจุยเฟิงที่แปลว่าไล่ตามลม เอาให้เร็วจนเจ้าโง่ชิงเฟิงตามไม่ทันเลย” (ชิงเฟิงแปลว่าสายลม)
มุมปากของชิงเฟิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเยี่ยจิ่งหานกระตุก
เขาอยู่เฉยๆ ก็ยังไม่วายถูกโจมตี?
เยี่ยจิ่งหานอารมณ์ดี เมฆหมอกมืดครึ้มในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาไม่รู้ว่ามลายหายไปตั้งแต่เมื่อใด “พระชายาน่าจะขาดเครื่องประดับ เจ้าไปเลือกเครื่องประดับที่ดีที่สุดในจวนรวมทั้งเครื่องประดับที่ดีที่สุดทั้งหมดในเมืองหลวงมา ข้าจะมอบให้พระชายา”
ชิงเฟิงอยากจะบอกว่า
พระชายามีเครื่องประดับอยู่แล้วมากมาย
เอะอะอะไรนายท่านก็มักจะสั่งให้คนนำเครื่องประดับไปมอบให้นาง นอกจากนี้ยังมอบให้ตั้งมากมายในคราวเดียว พระชายาเองก็ไม่เคยใส่เลย ทุกวันนางจะแค่มวยผมง่ายๆ หน้าก็ไม่แต่ง ไม่ประดับอะไรสักอย่าง
นี่เป็นปัญหาของพระชายา ไม่ใช่ปัญหาของนายท่าน
แต่ที่ต้องยอมรับก็คือ แม้ว่าพระชายาจะไม่ได้แต่งหน้าหรือประดับด้วยปิ่นระย้าใดๆ ขนาดยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นนี้นางก็ยังโดดเด่นจนสังเกตเห็นได้ทันที นางงดงามมาก อีกทั้งยังมีบุคลิกที่โดดเด่นเกินใคร แม้จะไม่ได้แต่งหน้าก็ยังดูสวยอย่างเป็นธรรมชาติ
เยี่ยจิ่งหานหยุดไปนิดหนึ่งก่อนจะเสริมว่า “ส่งม้าเร็วไปหาเครื่องประดับที่ดีที่สุดจากทั้งใต้หล้า ซื้อมาให้พระชายาโดยเร็วที่สุด”
เมื่อที่เรียวยาวดั่งหยกของจอมมารซึ่งกำลังลูบเส้นผมสีดำยาวประดุจผ้าไหมหยุดชะงัก ความไม่พอใจปรากฏบนใบหน้าที่ทั้งหล่อเหลาและชั่วร้าย “ด้วยความมั่งคั่ง สมบัติพัสถานและอำนาจที่มีอยู่ทั้งใต้หล้าของเยี่ยจิ่งหาน นึกไม่ถึงว่าเขาจะไม่มีปัญญาแม้แต่จะซื้อเครื่องประดับสักชิ้น นักฆ่าโลหิต ไปซื้อเครื่องประดับที่ดีที่สุดทั้งหมดในเมืองหลวงมาให้พี่หญิง”
“ทั้งเมืองหลวง?”
“ใช่ แล้วส่งคนไปรวบรวมเครื่องประดับที่ดีที่สุดจากทั้งใต้หล้ามามอบให้พี่หญิงด้วย”
“ขอรับ…” นักฆ่าโลหิตแอบเงยหน้ามองและเห็นว่าแววตาสีประหลาดของนายท่านแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม รูปเงาที่สะท้อนอยู่ในแววตาคู่นั้นคือกู้ชูหน่วนในชุดสีแดงเพลิง
เขานึกภาพออกเลยว่าพวกเขากับเยี่ยจิ่งหานจะต้องได้ต่อสู้กันในสักวันหนึ่ง
ซั่งกวนฉู่หยิบปิ่นระย้าออกมาจากในแขนเสื้อโดยไม่รู้ตัว
ปิ่นระย้านั้นทำจากหยกสีขาวทั้งชิ้น เป็นหยกแวววาวที่แค่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นหยกชั้นดี ส่วนบนของปิ่นแกะสลักเป็นลายผีเสื้อสองตัวโบยบินอยู่เคียงข้างกัน และที่ห้อยลงมาจากผีเสื้อคือลูกปัดหยกชั้นดี
ปิ่นระย้าชิ้นนี้ให้ดูเรียบง่ายและไม่ฟุ้งเฟ้อหรูหราเลยแม้แต่น้อยเมื่อมองในแวบแรก
แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าปิ่นทั้งชิ้นทำมาจากหยก ไม่รู้ว่าทำมาจากหยกอะไร ทว่าหยกนั้นอ่อนละมุน ในลูกปัดหยกแต่ละเม็ดและในผีเสื้อแต่ละตัวยังมีผีเสื้อขนาดเล็กเป็นประกายให้เห็นอยู่รางๆ
ต้องให้ผู้เชี่ยวชาญมาดูเท่านั้นจึงจะรู้ว่าปิ่นระย้าชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากแค่ไหน
ซั่งกวนฉู่อยากจะมอบให้ไป แต่ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาได้ เขาจึงก้าวกลับมาและจากไป ทิ้งไว้ให้เห็นเพียงแผ่นหลังสูงโปร่งที่ขาวราวกับหิมะ
ในจวนขององค์หญิง
องค์หญิงตังตังเดินนำกู้ชูหน่วนไปที่ห้องเครื่องประดับและอัญมณี
เดิมทีที่นี่เคยเต็มไปด้วยเครื่องประดับและอัญมณีที่ล้ำค่า มีแม้กระทั่งเครื่องลายครามและเครื่องหยกต่างๆ
ทว่าเมื่อไม่นานมานี้นางสูญเสียไปมากและถูกคนของพระพันปีย้ายบางส่วนไปซ่อน ดังนั้นตอนนี้ที่นี่จึงว่างโล่ง มีเพชรพลอยไม่มากนักที่พอจะหยิบไปได้
พระพันปียังไม่วางพระทัยและเสด็จตามไปด้วย นอกจากนี้จักรพรรดิเยี่ยก็เสด็จตามมาเช่นกัน
เมื่อองค์หญิงตังตังเห็นเครื่องประดับของตนเองเต็มตาและพบว่าเหลืออยู่เพียงไม่กี่ชิ้น ในใจก็รู้สึกเหมือนมีอีกาดำกลุ่มใหญ่บินผ่าน
เดิมทีก็น่าอับอายพออยู่แล้ว แต่ตอนนี้เครื่องประดับยังเหลือแค่นี้ กู้ชูหน่วนไม่หัวเราะเยาะนางแย่หรือ
นางใช้เท้าเตะผู้ที่อยู่ข้างๆ และตรัสอย่างโมโหว่า “พวกเจ้าดูแลกันอย่างไร สมบัติในห้องพระคลังเล็กของข้าหายไปไหนหมด”
“องค์หญิงโปรดไว้ชีวิต ก่อนหน้านี้องค์หญิงเพิ่งให้คนมาจำนำสมบัติล้ำค่าไปจำนวนมาก ตอนนี้สมบัติทั้งหมดในจวนองค์หญิงอยู่ที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“สามหาว ข้าคือองค์หญิงแห่งรัฐเยี่ย มีเหตุผลอะไรจะต้องนำเครื่องประดับไปจำนำ เห็นได้ชัดว่าบ่าวชั้นต่ำอย่างพวกเจ้าเป็นผู้ยักยอกไป บอกมานะว่าสมบัติล้ำค่าของข้าอยู่ที่ไหน” องค์หญิงตังตังโกรธสุดขีดเพราะเสียพระพักตร์ พระองค์ทำได้เพียงระบายความโกรธกับข้ารับใช้
“องค์หญิงเป็นผู้เฉียบแหลม ต่อให้บ่าวมีหัวเป็นร้อยๆ บ่าวก็ไม่กล้าขโมยสมบัติ เป็นองค์หญิงที่…”
“เอาละ ออกไปเสีย”
พระพันปีหยุดคำพูดของขันทีและเอ่ยด้วยสีพระพักตร์ที่เคร่งขรึม “พระชายาหาน รัฐเยี่ยวุ่นวายจากภัยสงคราม ภายใต้สถานการณ์ที่ต้องปะทะกับทั้งลมทั้งฝนเช่นนี้ ข้าเกรงว่างบทางการทหารจะไม่เพียงพอ จึงสั่งให้คนขายสมบัติบางส่วนไปสนับสนุนทางการทหาร พระชายาหานคงไม่ถือสาเรื่องนี้”
“ข้าไม่ถือสาอยู่แล้ว”
กู้ชูหน่วนขี้เกียจเกินกว่าจะตีฝีปากกับพระนาง
ไม่มีเงินแล้วเอาไปจำนำก็จำนำไปสิ ทำเป็นชักเหตุผลมาพูดอยู่ได้ คิดว่านางโง่หรือไง
นางตรวจสอบเหมือนที่เคยตรวจสอบ หวังเพียงแต่ว่าที่นี่จะมีดวงตารูปหัวใจที่นางต้องการ
ถ้าไม่มี นางคงต้องหาวิธีอื่นเอาคืนมาจากพวกนาง