กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 529
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 529
สตรีเจ้าบ้านอาเจียนติดต่อกันอีกหลายครั้ง นางไม่รู้ว่าบ้วนปากกี่รอบแล้ว ทว่าก็ยังคงรู้สึกปากมีกลิ่นขี้ไก่
นางเติบใหญ่มาถึงตอนนี้ พึ่งเป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มลองรสชาติอุจจาระไก่
มันเกิดขึ้นแล้วจริง ๆ
จอมมารเพ่งมองไก่ย่างที่ถูกเขวี้ยงทิ้งด้วยสีหน้าย่ำแย่ “ไยจึงสะอิดสะเอียนปานนี้? เหตุใดไก่จึงมีอุจจาระ?”
คิก……
ขอเพียงเป็นสัตว์มีชีวิต แล้วตัวไหนที่ไม่อุจจาระกัน?
จอมมารกัดคำเดียวก็ตาย “สังหารตัวนี้เพื่อบูชาไก่ที่เคยให้ข้ากิน ซึ่งไม่มีอุจจาระ”
“เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ ที่เจ้ากินเคยผ่านมือแม่ครัวมาแล้ว ย่อมไม่มีอุจจาระแน่นอน”
“ขยะแขยงมาก วันหลังข้าไม่กินเนื้อไก่อีกแล้ว”
“……”
ยามนี้เขารู้จักคำว่าขยะแขยงแล้วหรือ?
นางต่างหากที่ควรสะอิดเอียนกว่า เพราะเป็นครั้งแรกที่นางกินอุจจาระไก่
ขายหน้าไปยังบรรพบุรุษเลยแหละทีนี้
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ตบหน้าอกด้วยความหวาดกลัว
โชคดีที่เมื่อครู่มันฉลาดปราดเปรียว ไม่ได้กินไก่ไหม้เกรียม หาไม่แล้วมันต้องกินอุจจาระด้วยแน่
ตอนแรกกู้ชูหน่วนรู้สึกหิวอยู่ ทว่าเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น นางก็ไม่อยากกินแล้ว ยิ่งไม่อยากย่างเนื้อหมูป่าให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ลอบฝังใจแค้นต่อจอมมารลับ ๆ
ตลอดทั้งคืน จอมมารประหนึ่งเด็กทำความผิดก็ไม่ปาน กู้ชูหน่วนเดินหนึ่งก้าว เขาก็เดินตามหนึ่งก้าว
ที่นี่มีภูเขาเรียงรายมากมาย กู้ชูหน่วนเดินลงเขาในทิศบูรพาตามแสงพระอาทิตย์ขึ้นมาสู่ฟากฟ้า ทว่าเดินต้อย ๆ มาครึ่งค่อนวันก็ยังไม่สุดทาง จึงรู้สึกเหนื่อยจนหายใจหอบถี่
ไม่รู้ว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ก็เหนื่อยเอาการหรือเปล่า นอนหลับสนิทตลอดทาง แม้นกู้ชูหน่วนจะขานเรียกมันเท่าไหร่ มันก็ไม่กระดุกกระดิก
จอมมารกล่าวอย่างระแวดระวัง “พี่หญิง ท่านเหนื่อยแล้วกระมัง หรือข้าจะวิชาตัวเบาพาท่านออกไป”
“ไม่ต้อง เจ้าอยู่ห่าง ๆ ข้าหน่อย” กู้ชูหน่วนกล่าวแบบไม่สบอารมณ์
“พี่หญิงอย่าได้กริ้วโกรธเลย ข้าพึ่งย่างไก่ครั้งแรก ประสบการณ์ไม่เพียงพอ วันหลังข้ารู้วิธีย่างแล้ว”
ยังมีวันหลังอีกหรือ
บัดนี้นางยังอยากขีดเส้นกั้นระหว่างเขาเลย
“พี่หญิง อันนี้คือผลไม้ป่าที่ข้าเด็ดบนยอดเขา หวานมากเลยนะ ท่านลองชิมดู”
“ไม่มีอารมณ์”
นางกลัวโดนวางยาพิษตาย
เดินต่อจนถึงพลบค่ำก็ยังเดินออกไปไม่ได้เสียที
ในขณะที่กู้ชูหน่วนรู้สึกหงุดหงิดใจอย่างยิ่งยวด จอมมารพลันกล่าวกะทันหัน “พี่หญิง ที่นั่นเหมือนมีหมู่บ้าน พวกเราไปถามทางกันไหม?”
กู้ชูหน่วนเขย่าปลายเท้า ใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินกลางเวหาไปยังจุดที่มีควันจากปล่องไฟ
ท้ายที่สุด……
พวกเขาก็มาถึงหน้าหมู่บ้าน
หน้าหมู่บ้านมีป้ายหินเขียนว่า หมู่บ้านเสวี่ยฮวา
ในหมู่บ้านเต็มไปด้วยผู้คน สตรีรับหน้าที่ซักเสื้อ ทอผ้า ส่วนบุรุษทำนา เหล่าชราเฒ่าจับกลุ่ม ๆ ละประมาณสองสามคน แล้วนั่งวงคุยเรื่องสัพเพเหระ ส่วนเด็กเล็กจะรวมตัวกันเล่นตาประสาเด็กอย่างสนุกสนาม
กู้ชูหน่วนกล่าว “เจ้ารอข้านอกหมู่บ้านก็พอ”
ครั้นนางเดินเข้าหมู่บ้าน สายตาทุกคนจับจ้องมาที่นางโดยพร้อมเพรียง คล้ายกับไม่เคยมีคนแปลกหน้าย่างกรายเข้ามาในหมู่บ้านอย่างไรอย่างนั้น
กู้ชูหน่วนเผยรอยยิ้มอย่างมีอัธยาศัยดี “ท่านตา ข้าหลงทาง ไม่ทราบว่าต้องเดินลงเขาเช่นไรหรือเจ้าคะ?”
“หลงทาง? ที่นี่เป็นป่าเปลี่ยวรกร้าง เจ้ามาที่นี่ทำไม?” ชาวบ้านพะว้าพะวัง
บรรพบุรุษนำพวกเขามาที่นี่ก็เพื่ออาศัยอย่างสันโดษ ไม่อยากคบค้าสมาคมกับผู้ใด
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไม่มีคนนอกเหยียบย่างพื้นที่แห่งนี้
“เดิมทีอยากหาญาติในป่าลึก แต่ทางซับซ้อนมาก ข้าเลยหลงทาง ข้าเดินวนเวียนเขตนี้หลายวันแล้ว แต่ยังหาทางลงเขาไม่เจอ ท่านตาโปรดชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ”
โครงหน้านางได้รูป หน้าตางามพิสุทธิ์ และยังเป็นสตรีบอบบาง สีหน้ายังไม่มีเจตนาร้าย มีเพียงความร้อนรุ่มกลุ้มใจเท่านั้น
ความหวาดระแวงของชาวบ้านจึงเลือนหาย
“แม่นาง จากจุดนี้ เจ้าเดินตรงไปเรื่อย ๆ ก็จะสามารถลงเขาได้แล้ว แต่ระยะทางยาวไกล หากไม่ใช่ครึ่งเดือนก็ลงไปไม่ถึง”
“หา……ครึ่งเดือน”
กู้ชูหน่วนตะลึงตาค้าง
ยามที่พวกเขาเข้ามาก็ไม่ได้นานเพียงนี้นี่?
ทันทีที่นึกถึงความเร็วของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ กู้ชูหน่วนก็เข้าใจในบัดดล
เช่นนี้ก็ให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พานางลงไป ซึ่งต้องเร็วแน่นอน
“ท่านตา อันนี้คือน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ทราบว่าขอแลกอาหารกับท่านได้หรือไม่?”
กู้ชูหน่วนนำเงินออกจากวงแหวนอากาศพลันยื่นให้คนชรา
หมู่บ้านแห่งนี้อยู่ในถิ่นทุรกันดาร ชาวบ้านจะแบกผักและฟืนไปขายด้านนอกเป็นระยะ ทว่าก็ขายไม่ได้เงินมากนัก
พวกเขาเคยเห็นเงินมากมายเช่นนี้เสียที่ไหน ทุกคนมองแล้วพากันตาลายเลย
“แม่นางเกรงใจแล้ว หมู่บ้านพวกเราเป็นป่าเปลี่ยว ไม่มีของอร่อยหรอก หากเจ้าไม่ถือสา บ้านข้ามีหมั่นโถว พวกเราจะขายให้ตายราคาท้องตลาด มิต้องจ่ายแพงเยี่ยงนี้หรอก”
“เช่นนี้ก็ขอบคุณท่านตามากเจ้าค่ะ”
ชาวบ้านคนอื่นเห็นก็อยากเอาอาหารแลกเป็นเงินกับเขาด้วย ต่างวิ่งผลุนผลันกลับบ้านเอาอาหารกันยกใหญ่
ทันใดนั้นมีคนตะโกนเสียงดังลั่นว่า “ปีศาจ ปีศาจ มีปีศาจ”
คำว่าปีศาจทำให้หมู่บ้านอื้ออึง คล้ายกับมีลูกระเบิดปาใส่ก็ไม่ปาน
“ปีศาจอยู่ไหน?”
“ปีศาจอยู่นี่”
มีคนชี้ไปยังซือม่อเฟยที่เดินเนิบ ๆ เข้ามาในหมู่บ้าน แววตาคนผู้นั้นเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว
ชาวบ้านมองไปตามนิ้วชี้ พบว่าน่าตกใจกลัวจริงแท้
ดวงตาบุรุษผู้นี้ข้างหนึ่งเป็นสีฟ้า ส่วนอีกข้างเป็นสีม่วง
ชาวบ้านสมานสามัคคีกัน บ้างก็ถือจอบ บ้างก็ถือเสียม หรือไม่ก็ถือไม้คาน ซึ่งทุกคนล้วนพุ่งทะยานเข้าใส่ซือม่อเฟย
“เร็วเข้าทุกคน ตีปีศาจให้ตายเลย”
ใบหน้าซือม่อเฟยมืดครึ้ม พลางแผ่กระแสเย็นยะเยือกออกมาจากกายา
กู้ชูหน่วนรีบห้ามปราม “ช้าก่อน เขาไม่ใช่ปีศาจ เขาเป็นคนธรรมดาทั่วไป”
“เจ้ามาพร้อมกับเขา งั้นเจ้าก็เป็นปีศาจด้วย เขามีดวงตาสองสี เจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันหรอก”
“ข้าก็เอะใจว่าทำไมหมู่บ้านพวกเราไร้คนผ่านมาหลายสิบปี แต่จู่ ๆ วันนี้ก็มีคนนอกมากันสองคน ที่แท้พวกเจ้าก็เป็นปีศาจนี่เอง”
“สมาชิกในหมู่บ้านทุกคนโปรดทราบ ทุกคนเข้าไปพร้อมกัน ตีพวกเขาสองคนให้ตายเลย จะได้ไม่เป็นเภทภัยคนอื่น”
อือ……
กลิ่นอายพิฆาตผุดขึ้นกะทันหัน
ซือม่อเฟยยกแขนเสื้อขึ้น ยกมือเตรียมจะสังหารพวกเขาทั้งหมด
กู้ชูหน่วนคว้ามือของเขาได้ทันท่วงที แล้วพาเขาบุกออกไปยังหมู่บ้าน
“ชาวบ้านพวกนี้อยู่อย่างสันโดษในป่าลึกนาน ไม่ค่อยได้พบเห็นสิ่งใด เจ้าอย่าถือสาพวกเขาเลย”
กู้ชูหน่วนกลัวซือม่อเฟยเกรี้ยวกราดเหลือเกิน
เมื่อครู่นางสัมผัสกลิ่นอายพิฆาติของซือม่อเฟยได้
หากเขาลงมือขึ้นมา คนทั้งหมู่บ้านก็ไม่พอสังเวยชีวิตให้กับเขา
“ข้าเกลียดคนอื่นด่าดวงตาข้า” ซือม่อเฟยกล่าว
“เป็นเพราะพวกเขาไม่รู้จักชื่นชม ข้าอยากได้ดวงตาคู่งามเช่นเจ้าเหลือเกิน”
กู้ชูหน่วนวิ่งไปพลาง ปลอบประโลมไปพลาง
ยามที่พี่หญิงมองเขา นัยน์ตาไม่เคยมีการรังเกียจเดียดฉันท์เลยสักนิด ทว่ากลับกัน มีแต่เปี่ยมไปด้วยความหลงใหลและชืมชอบ และเป็นเพราะสาเหตุนี้ เขาจึงชอบพี่หญิงท่านนี้
เขาก้มหน้ามองกู้ชูหน่วนจับมือเขาแนบแน่นพลันวิ่งหนีไปด้านหน้า คล้ายกับกลัวเขาจะได้รับอันตราย หวังแต่จะพาเขาออกจากหมู่บ้านโดยเร็ว
จอมมารเห็นแล้วก็ยิ้มหน้าบาน ยอมวิ่งหนีตามเธอแต่โดยดี
เหล่าชาวบ้านก็ฮึกเหิมมาก ไล่ตามอยู่เนิ่นนานจึงจะละทิ้งความพยายาม
“แฮ่ก ๆ ๆ ”