กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 564
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 564
“รองหัวหน้าเผ่า นี่จะเป็นการทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เกินไปหรือไม่?”
“ผู้หญิงคนนี้เล่ห์เหลี่ยมยิ่งนัก นางให้คำสัญญาไว้แล้วไม่ใช่หรือ ข้าคิดว่าฝีมือของนางคงไม่ใช่เพียงแค่ระดับขั้นที่สองอย่างแน่นอน หากเราสุ่มส่งคนไปโดยไม่คัดเลือกเพื่อคิดขับไล่นางออกไปละก็ เช่นนั้นเกรงจะเป็นการไม่ให้เกียรตินางมากเกินไป”
แววตาของกู้ชูหน่วนส่องประกายอย่างเย็นชา
รองหัวหน้าเผ่าคนนี้ ช่างไม่ใช่คนดีอะไรเอาเสียเลย
ใช่หรือไม่ใช่ระดับขั้นที่สอง พวกเขามีกันเป็นจำนวนมากเช่นนี้แต่ดูไม่ออกเลยหรืออย่างไร?
เปิดตาพูดเรื่องไร้สาระขึ้นมาอย่างนั้นหรือ?
สีหน้าของเยี่ยจิ่งหานเคร่งขรึมอย่างมากและเขากำลังจะพูดออกมา แต่กู้ชูหน่วนกลัวว่าเขาจะทะเลาะวิวาทขึ้นกับพวกเขาเสียก่อน นางจึงกุมมือของเขาแน่นเพื่อส่งสัญญาณให้เขาไม่ต้องเป็นกังวล และนางจึงพูดแทรกขึ้นมาก่อน “ซ่งอวี้ใช่หรือไม่? ถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ชื่อของเขาก็ไพเราะอย่างมาก คาดว่าคงเป็นชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งกระมัง ข้าชอบต่อสู้กับหนุ่มรูปงามอย่างมากทีเดียว”
ทุกคนต่างพากันเงียบกริบ
ทุกสายตาล้วนจ้องมองไปที่นาง
มีทั้งดูถูกเหยียดหยาม มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นและมีทั้งสงสาร…
“ช่างกล้าหาญและไม่เกรงกลัวเลยจริงๆ ประเดี๋ยวดูว่านางจะยังหัวเราะออกมาได้อีกหรือไม่”
เยี่ยจิ่งหานพูดตักเตือน “ซ่งอวี้เป็นศิษย์คนสนิทและเป็นที่ไว้วางใจอย่างมากของเผ่าเพลิงฟ้า พละกำลังฝีมือของเขาอยู่ในระหว่างระดับสูงสุดขั้นที่สี่หรือระดับขั้นที่ห้าพื้นฐาน จากที่ข้าเคยพบเห็น เขาน่าจะบรรลุระดับสูงสุดขั้นที่สี่ไปเรียบร้อยแล้ว”
กู้ชูหน่วนกลับไม่คิดเช่นนั้น “ว้าว…ที่แท้ก็เป็นยอดฝีมือระดับขั้นที่ห้าเลยหรือ เผ่าเพลิงฟ้าช่างให้เกียรติข้ามากเหลือเกินที่ส่งยอดฝีมือระดับขั้นที่ห้าออกมาต่อสู้กับข้า เช่นนั้นข้าต้องให้เกียรติเสียหน่อยแล้ว”
ทุกคนต่างอยากเห็นสีหน้าของนางที่แสดงความหวาดกลัวออกมา แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้น
ใบหน้าของนางมีเพียงรอยยิ้มอันบริสุทธิ์และไร้เดียงสา ไม่แม้แต่จะเกรงกลัวเลยสักนิด
“เช่นนั้นแล้วสนามที่สามล่ะ พวกเจ้าจะส่งใครออกมา? รองหัวหน้าเผ่าหรือว่าหัวหน้าเผ่า หรือจะเป็นผู้อาวุโสสูงสุด?”
“พูดจาเหลวไหล คิดว่าเจ้าคู่ควรอยากนั้นหรือ เจ้าชนะพวกเขาให้ได้เสียก่อนเถอะแล้วค่อยพูด”
“ชนะหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่กฎเกณฑ์และจำนวนคนต้องพูดให้ชัดเจนสิ หรือว่าพวกเจ้าจะกลัวว่าหากข้าชนะพวกเขาสองคน เช่นนั้นก็จะเก็บคนที่เก่งกาจที่สุดมาต่อสู้กับข้าในตอนสุดท้าย”
“หลังจากนี้จะเป็นลูกศิษย์ของข้า ฝีมือระดับขั้นที่สามออกไปต่อสู้กับเจ้า” ผู้อาวุโสเฉินพูดขึ้นมาเพราะอดดูต่อไปไม่ได้แล้ว
และหลังจากที่เขาพูดจบ รองหัวหน้าเผ่าซือคงก็ปฏิเสธขึ้นมา “สนามที่สามมีผู้อาวุโสเฉินออกไปต่อสู้กับเจ้า”
ผู้อาวุโสเฉินตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและคิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป
ผู้อาวุโสคนอื่นต่างก็คิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป
รองหัวหน้าเผ่าซือคงพูดซ้ำอีกครั้งหนึ่ง “สนามที่สามมีผู้อาวุโสเฉินออกไปต่อสู้”
ผู้อาวุโสเฉินรีบปฏิเสธ “รองหัวหน้าเผ่า ทำเช่นนี้จะเป็นการ…”
“นี่คือคำสั่ง” เขาพูดขึ้นมาอย่างหนักแน่นและดุดัน ดวงตาที่เย็นชาและเคร่งขรึมของเขากวาดไปทั่วทุกคนด้วยท่าทางที่น่าเกรงขามและไม่อาจขัดขืนได้
อาจเป็นเพราะเขามีความคร่ำเคร่งและมีเกียรติสูงศักดิ์อย่างยาวนาน ตำแหน่งของเขาก็เป็นรองเพียงหัวหน้าเผ่าเท่านั้น ฉะนั้นทุกคนจึงไม่กล้าปฏิเสธ
เยี่ยจิ่งหานยิ้มอย่างเย็นชา “เผ่าเพลิงฟ้า…ฮึ….ช่างไร้ยางอายเสียเหลือเกิน”
“เจ้าพูดอะไรน่ะ?”
“หรือว่าไม่จริงอย่างนั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสสูงสุดต่างพากันสำลัก
ครั้งนี้ดูเหมือนว่าพวกเขาจะรังแกคนอื่นและทำเกินไปจริงๆ
รองหัวหน้าเผ่าซือคงพูดออกมาอย่างหน้าตาเฉย “พวกเจ้าแอบบุกรุกเข้ามายังเผ่าเพลิงฟ้าของพวกข้า พวกข้าอยากจะจัดการพวกเจ้าละก็ ก็เป็นเรื่องง่ายอย่างมาก แต่ตอนนี้ก็ได้ให้โอกาสพวกเจ้า เช่นนั้นก็ถือว่าเพียงพอสำหรับพวกเจ้าแล้ว”
กู้ชูหน่วนยืดเส้นยืดสายและหาวอย่างเกียจคร้าน “ในที่สุดก็เลือกคนทั้งสามรอบในการต่อสู้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เอาล่ะ เช่นนั้นก็เริ่มกันเลยเถอะ”
เจ้าหมอนี่ เขาเพียงคิดอยากจัดการพวกเขาให้ตาย แถมยังพูดอ้างหาข้อแก้ตัวมากมาย
แต่ที่พวกเขาพูดมาก็ถูก หากพวกเขาต้องการจะกำจัดพวกนางละก็ เป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมาก
ฉะนั้นนางจึงต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ เพื่อจะเอาชนะติดต่อกันสามครั้งและพาเยี่ยจิ่งหานออกไปจากที่นี่
ในสนามฝึกประลองการต่อสู้ของเผ่าเพลิงฟ้าอันห่างไกลและเปล่าเปลี่ยว ขณะนี้มีกลุ่มชาวเผ่ามารวมตัวกันอย่างหนาแน่น คนเหล่านั้นต่างพากันรายล้อมเป็นวงกลมและมีรองหัวหน้าเผ่าซือคงอยู่หน้าสุด โดยมีกู้ชูหน่วนและเยี่ยจิ่งหานอยู่ภายในวงล้อมนั้น
การประลองฝีมือกำลังจะเริ่มขึ้น เยี่ยจิ่งหานถอยหลังไปอยู่ริมฝั่งหนึ่งและพูดเพียงแค่ “ระมัดระวังตัวให้ดี อย่าฝืนทน”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
กู้ชูหน่วนเหลือบมองผู้คนของเผ่าเพลิงฟ้าที่ยังคงมารวมตัวกันและพูดด้วยรอยยิ้ม “รองหัวหน้าเผ่าซือคง จำเรื่องที่เจ้าสัญญาให้ดี หากข้าชนะ เช่นนั้นเจ้าต้องปล่อยตัวข้าและเยี่ยจิ่งหาน รวมไปถึงจักรพรรดินีแห่งรัฐฉู่ เจ้าอย่าลืมคำที่เจ้าได้สัญญาเอาไว้ล่ะ”
ทุกคนต่างพากันคิดว่านางคิดเพ้อฝันถึงเรื่องที่ไม่อาจเป็นจริงได้ นางมีฝีมือเพียงระดับขั้นที่สองเท่านั้น แต่กลับกล้าต่อสู้ประลองฝีมือกับยอดฝีมือของเผ่าเพลิงฟ้าจำนวนมาก หากนางสามารถเอาชนะได้คงเป็นเรื่องแปลกประหลาดอย่างมาก
“ข้าเป็นคนที่รักษาคำพูดเสมอ หากพวกเจ้าชนะ เช่นนั้นข้าก็จะปล่อยตัวพวกเจ้าออกไป แต่หากพวกเจ้าแพ้ ข้าต้องการให้พวกเจ้ามอบกุญแจรูปดาวให้กับข้า”
มือของกู้ชูหน่วนสั่นไหว
เจ้าหมอนี่ เขารู้ได้อย่างไรว่าในมือของนางมีกุญแจรูปดาวอยู่
เขาไม่ได้พูดถึงเข็มทิศ เช่นนั้นเขาคงไม่รู้ว่าเข็มทิศก็อยู่กับนางด้วยเช่นกัน
เมื่อได้ยินถึงกุญแจรูปดาว ทุกคนต่างจับจ้องไปที่นาง แม้แต่สายตาของเยี่ยจิ่งหานก็จับจ้องไปที่นาง
“ชนะข้าให้ได้เสียก่อนค่อยพูดเถอะ”
การต่อสู้นัดที่หนึ่งเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ
หวางเฟิงและหวางอวี่ขึ้นเวทีประลอง ทั้งสองมือข้างหนึ่งถือมีดและมืออีกข้างหนึ่งถือดาบ เมื่อพวกเขาขึ้นมาก็เกิดเป็นการผสมผสานระหว่างมีดและดาบ เงาของมีดสะท้อนไปยังดาบและเต็มไปด้วยพลังแห่งการอาฆาต
ทั้งสองพูดอย่างเย่อหยิ่ง “ระวังตัวให้ดี มีดและดาบนี้มันไม่มีตา”
เมื่อพูดจบและไม่ทันรอให้กู้ชูหน่วนพูดตอบ พวกเขาก็ลงมือจู่โจมเข้ามา
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะพวกเขาได้รับคำสั่งจากรองหัวหน้าเผ่าซือคงหรือเพราะอะไรที่ลงมือได้อย่างไม่ยำเกรงและไร้ความปรานี เพียงได้ลงมือพวกเขาก็ใช้กระบวนท่าสังหารโหด และแต่ละกระบวนท่าก็ล้วนต้องการให้กู้ชูหน่วนจบชีวิตลงตรงนั้น
หากไม่ใช่เพราะความคล่องแคล่วว่องไวของกู้ชูหน่วนที่สามารถพลิกหลบได้ทัน เช่นนั้นก็เกรงว่านางคงจะถูกสับเป็นเนื้อบดไปเสียแล้ว
รังสีสังหารของเยี่ยจิ่งหานแผ่ซ่านออกมาและจับจ้องไปยังหวางเฟิงและหวางอวี่อย่างไม่ละสายตา
ทุกคนที่รู้จักเยี่ยจิ่งหานต่างก็รู้ว่าเขารู้สึกโกรธขึ้นมาแล้ว
หากไม่ใช่เป็นเพราะเขาสัญญากับกู้ชูหน่วนแล้วว่าเขาจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการประลองแข่งขันในครั้งนี้ เช่นนั้นเขาก็ลงมือสังหารหวางเฟิงและหวางอวี่ไปนานแล้ว
เมื่อมองไปยังสนามแข่งขัน หวางเฟิงถือมีดและการลงมือของเขานั้นโหดเหี้ยม หวางอวี่ถือดาบและดาบของเขานั้นรวดเร็วฉับไวอย่างมาก เมื่อร่วมมือกันแล้วจึงเกิดเป็นความลงตัวอย่างสมบูรณ์แบบ
ต่อให้วิชาตัวเบาของกู้ชูหน่วนจะเก่งกาจล้ำเลิศและการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วเพียงใด นางก็ถูกไล่ล่าอย่างหนักและตกอยู่ในอันตรายทุกเมื่อ
นางเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด และทุกครั้งมักทำให้ทุกคนต่างคิดว่า จังหวะต่อไปนางจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือหมดลมหายใจไป หรือไม่ก็อาจจะแขนขาดขาขาด แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรที่กู้ชูหน่วนสามารถเอาตัวรอดและหลบเลี่ยงได้ทุกครั้งไป
วิธีการต่อสู้เช่นนี้ ดูไปแล้วทำให้ทุกคนเกิดความตื่นตระหนกตกอกตกใจอย่างมาก
ผู้อาวุโสเฉินกล่าวว่า “ผู้หญิงคนนี้มีฝีมือเพียงระดับขั้นที่สองเท่านั้น แต่กลับสามารถหลบการผสมผสานดาบและมีดของหวางเฟิงและหวางอวี่ไปได้ ช่างไม่ธรรมดานัก เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง”
“เป็นเพราะเหตุนี้เอง จึงต้องรีบจัดการเสียแต่เนิ่นๆ โดยเร็ว” ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งพูดขึ้น
มีคนภายนอกเข้ามายังเผ่าเพลิงฟ้าน้อยนัก และน้อยนักที่จะมีคนกล้าต่อสู้กับหวางเฟิงหวางอวี่ เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไป ผู้คนที่มาก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดที่กำลังบำเพ็ญเพียรอยู่ก็ยังตื่นตระหนกตกใจและต่างพากันมาดู
นอกจากผู้อาวุโสและผู้อาวุโสสูงสุดแล้ว ยังมีจอมมาร สีชิ่น ไป๋จิ่น น่าหลานหลิงลั่วและคนอื่นๆ
คนเหล่านี้เข้ามาโดยมีผู้อาวุโสคนหนึ่งพาเข้ามา และก็ไม่รู้ว่าพวกเขามารวมตัวกันได้อย่างไร
เมื่อมองไปยังกู้ชูหน่วนที่กำลังทำการต่อสู้อยู่นั้น ดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายแวววาวขึ้น และในไม่ช้าก็เกิดความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง
ฝีมือระดับขั้นที่สองเผชิญหน้าต่อสู้กับฝีมือระดับขั้นที่สี่?
เช่นนี้จะต่อสู้ชนะได้อย่างไร?
อีกทั้งยังเป็นยอดฝีมือระดับขั้นที่สี่สองคนเผชิญหน้ากับฝีมือระดับขั้นที่สองเพียงคนเดียว
เผ่าเพลิงฟ้าช่างไร้ยางอายอย่างมาก
“เชิญทุกคนนั่งลงก่อน” คนของเผ่าเพลิงฟ้ายกเก้าอี้เข้ามาด้วยท่าทางแสดงความเคารพ
จอมมารพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “เผ่าเพลิงฟ้าคิดจะใช้คนจำนวนมากเพื่อรังแกคนจำนวนน้อย และใช้คนที่มีกำลังมากกว่ารังแกคนที่มีกำลังน้อยกว่าหรือ?”