กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 61
หลิ่วเย่ว์กับอวี๋ฮุยมองหน้ากัน
วันนี้ลูกพี่เป็นลมบ้าหมูหรืออย่างไร เหตุใดจึงเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคุณชายอี้
อาจารย์สวีโกรธจนยั้งตัวเองไว้ไม่อยู่ “ตักน้ำรดหัวตอชัดๆ สั่งสอนไปก็ไร้ประโยชน์ ท่านอาจารย์ซั่งกวน ท่านดูคุณหนูสาม… ถ้าคนผู้นี้ยังอยู่ในสำนักศึกษา ชื่อเสียงที่สั่งสมมาเป็นร้อยปีของสำนักศึกษาจะไม่ถูกนางทำลายจนป่นปี้หรอกหรือ ไม่ได้การ หลังจากการชุมนุมแข่งขันวิชาการสิ้นสุดลง ข้าจะต้องขอให้หัวหน้าสำนักศึกษาไปกราบบังคมทูลต่อฝ่าบาท ขอให้เชิญคุณหนูสามตระกูลกู้ออกไปจากสำนักศึกษาเสีย”
“แล้วถ้านางชนะขึ้นมาจริงๆ ล่ะ”
“นางน่ะหรือชนะ หัวขี้เลื่อยอย่างนางน่ะนะ”
อาจารย์สวีเอ่ยอย่างดูถูก
เขาสอนหนังสือมาทั้งชีวิต แต่ไม่เคยเจอนักเรียนคนไหนเหลวแหลกขนาดนี้
เจ๋ออ๋องยิ่งรู้สึกดูแคลนมากขึ้นกว่าเดิม ในขณะที่มือยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุดและวาดภาพต่อไป
ทุกคนคิดว่าอี้เฉินเฟยคงจะโกรธ ไม่คิดว่าเขาจะหัวเราะขึ้นมาอย่างเรียบเรื่อย “คุณหนูสามสนใจข้าน้อยอี้เช่นนี้ นับเป็นเกียรติของข้าน้อยเป็นอย่างมาก ในเมื่อคุณหนูสามต้องการเดิมพัน เช่นนั้นเราจะตอบรับคำท้านี้”
“คุณชายอี้…” ผู้มีความสามารถทั้งสองคนจากรัฐจ้าว ฉังเจินและฉังผิงต่างตกใจ
ถ้าแพ้ขึ้นมาล่ะ พวกเขาจะอธิบายกับคุณชายอี้อย่างไร
“ไม่เห็นเป็นไร พวกท่านแข่งขันกันตามปกติเถิด แพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดาในการทำสงคราม ถึงจะแพ้ก็ไม่เป็นไร”
อี้เฉินเฟยจะอารมณ์ดีเกินไปแล้วหรือเปล่า
เขาทนกับคำพูดเช่นนี้ได้ด้วยหรือ
นอกจากนี้… เขาไม่กลัวว่าเทพแห่งสงครามจะมาคิดบัญชีเขาภายหลังงั้นหรือ
อย่างไรเสียนางก็เป็นคู่หมั้นของเทพแห่งสงครามนะ
ใต้เท้าอู๋เอ่ยเยาะๆ ว่า “อัครเสนาบดีกู้ บุตรสาวของท่านช่างกล้าเสียจริงที่คิดเช่นนี้ แม้แต่คุณชายอี้นางยังกล้าเข้าไปยุ่มย่าม”
“ข้าบอกไปแล้วว่าข้าตัดขาดความสัมพันธ์กับนางจนสิ้นแล้ว นางไม่ใช่ลูกสาวของข้าอีกต่อไป”
“พวกท่านตัดขาดความเป็นพ่อลูกกันก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ยังมีสายเลือดเดียวกันมิใช่หรือ ฮ่าๆๆๆ”
ถ้าไม่ใช่เพราะฝ่าบาทและเหล่าทูตอยู่ที่นี่ อัครเสนาบดีกู้ก็อยากจะหนีไปเสียให้พ้น
กู้ชูหน่วนหมุนพู่กันขนหมาป่าอย่างอารมณ์ดี นัยน์ตาสุกใสที่ฉาบฉายไปด้วยรอยยิ้มคู่นั้นมองตรงไปยังอี้เฉินเฟย
หม่ากงกงไม่กล้าแม้แต่จะมองตรงๆ
คุณหนูสามจะกล้าหาญเกินไปแล้ว
มีสตรีที่ยังไม่ออกเรือนคนไหนบ้างที่จ้องมองผู้อื่นเช่นนี้
เขารีบเตือนว่า “คุณหนูสาม ธูปหมดไปจะครึ่งดอกแล้ว ท่านยังไม่ลงมืออีกหรือ ทุกคนวาดไปได้เยอะแล้วนะขอรับ”
“จะรีบร้อนไปทำไม ยังมีเวลาเหลืออยู่มิใช่หรือ ข้านอนกลางวันไปแล้วแต่ยังไม่ได้กินข้าวเลย ท่านช่วยไปหาอะไรมาให้ข้ากินหน่อยซี”
“เอ่อ…” ตอนนี้เป็นเวลาแข่งขัน จะมากินข้าวอะไรกัน?
หม่ากงกงยิ้มอย่างประจบ “เหตุใดคุณหนูสามจึงไม่รอให้จบการแข่งขันก่อนล่ะขอรับ”
“ข้าหิวจนท้องกิ่ว หยิบพู่กันไม่ไหวแล้ว รบกวนท่านกงกงช่วยยกอาหารกับสุราดีๆ มาให้สักนิดเถิด อ้อ ข้าชอบของหวานมากที่สุด รบกวนท่านกงกงช่วยหยิบน้ำผึ้งมาด้วยนะเจ้าคะ”
หม่ากงกงมองจักรพรรดิเยี่ยด้วยความลำบากใจ
จักรพรรดิเยี่ยทรงพระทัยกว้าง พระองค์ยกพระหัตถ์ขึ้นโบกแสดงว่าอนุญาต
หม่ากงกงจึงต้องไปยกอาหารมาให้ตามคำขอของนาง
กู้ชูหน่วนไร้ซึ่งความเกรงใจ ท่ามกลางสายตาของผู้คน นางจับกาสุราไว้มั่นด้วยมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างคีบอาหาร ดื่มสุราและกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย
นางกินอย่างเปิดเผยไม่ใส่ใจอะไรเลย แต่ถึงแม้จะกินหนักดื่มหนักนางก็ไม่ได้ดูมูมมามน่าเกลียดเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนนางจะหมกมุ่นอยู่กับอาหารรสเลิศตรงหน้าจนลืมไปว่าการแข่งขันยังดำเนินอยู่
หม่ากงกงอดเตือนไม่ได้ว่า “คุณหนูสาม ธูปใกล้จะ… ท่านดู…”
“จะรีบอะไรนัก ยังเหลือเวลาอีกส่วนสามมิใช่หรือ”
ปั้ก…