กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 614
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 614
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เซวียนอวี่เซวียนก็ทั้งประหลาดใจและดีใจ
เขาขยี้ตาแล้วขยี้ตาอีก และแทบไม่อยากจะเชื่อ “กู้ชูหน่วน เป็นเจ้าจริง ๆ หรือ?”
กู้ชูหน่วนเขกกบาลเขา “ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ กู้ชูหน่วนอะไร เรียพี่ใหญ่สิ”
“พี่ใหญ่ ท่านมาได้อย่างไร?ข้าคิดว่าฉันข้าหลอนอีกแล้ว” เซวียนอวี่เซวียนดีใจและพูดเยอะมาก
กู้ชูหน่วนมองไปที่แจกันขนาดใหญ่ในมือของเขา และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ดูเหมือนว่าบ้านของเจ้าจะยากจน หากเจ้าทำแจกันใบนี้แตก ท่านพ่อของเจ้าจะไม่หักขาของเจ้าหรือ”
“มีแจกันใบไหนในบ้านที่เป็นของจริงบ้าง แต่ละใบล้วนเป็นของเลียนแบบ ของจริงถูกตาเฒ่านั่นเอาไปขายตั้งนานแล้ว และนำเงินไปช่วยเหลือประชาชน จริงสิ ทำไมท่านถึงมาอยู่ที่นี่?”
“เจ้าไม่ยินดีต้อนรับข้า?”
เซี่ยวอวี่เซวียนยิ้มอย่างเก้อเขิน และรีบเชิญนางเข้าไป
ห้องของเซี่ยวอวี่เซวียนพอใช้ได้ แต่มีสิ่งของที่ถูกเขาทุบจนแตกมากมาย และมีเศษแจกันแตกอยู่เต็มพื้น
เขารีบทำความสะอาดอย่างส่งเดช เพื่อหาที่ว่างให้กู้ชูหน่วนนั่ง
“แม้ว่าแจกันของบ้านจะเป็นของเลียนแบบ เพียงแต่เจ้าทำแตกไปเยอะขนาดนี้แล้ว ท่านพ่อของเจ้าจะปล่อยเจ้าไปงั้นหรือ?”
“เยอะที่ไหนกัน เพียงแค่สามใบเท่านั้น ข้ายังต้องการจะทุบอีก ตาเฒ่านั่น หากเขาลำบากใจจริง ๆ เขาก็ควรจะปล่อยข้าออกไป ข้าไม่ใช่นักโทษของเขา จะมากักขังข้าได้อย่างไร?”
“ท่านพ่อของเจ้าขังเจ้าไว้กี่วันแล้ว?”
หลายวันแล้ว ข้าเองก็จำไม่ได้ อาหน่วน ท่านรีบช่วยข้าหาหนทางหน่อย ข้าไม่อยากแต่งงานกับกู้ชูอวิ๋น ต่อให้ตายข้าก็ไม่แต่ง”
“จู่ ๆ ทำไมฝ่าบาทถึงมีพระราชโองกายเช่นนั้น”
“ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน พี่ใหญ่และพี่รองของข้าต่างก็ไปทูลขอความเมตตาแล้ว และแม้แต่พี่เขยของข้าก็ไปทูลขอความเมตตาจากฝ่าบาทมาแล้ว แต่ฝ่าบาทยังคงยืนกรานและปฏิเสธที่จะถอนพระราชโองการ”
“พระราชโองการออกแล้ว หากพระองค์ทรงถอนพระราชโองการ จะเป็นการตบหน้าตนเองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม พี่รองของเจ้าเป็นนักปราชญ์ผู้เป็นเลิศในใต้หล้า พี่เขยของเจ้าเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ และท่านพ่อของเจ้าก็ยังเป็นขุนนางอาวุโสมาสามชั่วอายุคน อีกทั้งยังมีคุณูปการมากมายต่อรัฐเยี่ย อย่างไรเสียฝ่าบาทก็ต้องคำนึงถึงหน้าตาของจวนแม่ทัพ”
เซี่ยวอวี่เซวียนสะดุ้ง “ท่านหมายความว่ามีคนจงใจขอให้ฝ่าบาทพระราชทานการแต่งงาน?แต่ทำไมถึงต้องให้ข้าแต่งงานกับกู้ชูอวิ๋น ข้าเป็นเพียงแค่คนเสเพลคนหนึ่ง และไม่มีประโยชน์อะไร แม้ว่ากู้ชูอวิ๋นจะเป็นคุณหนูรองของจวนอัครเสนาบดี และมีชื่อเสียงในใต้หล้า แต่ก็ไม่มีค่าอะไร”
“บางทีปัญหาอาจจะไม่ได้อยู่ที่เจ้า” แต่อยู่ที่ตระกูลเซี่ยว
“ไม่ได้อยู่ที่ข้า แล้วอยู่ที่ไหน?ข้าไม่เข้าใจ”
“ปัญหานี้ ในตอนนี้ข้าก็ยังไม่แน่ใจ เจ้ารอให้ข้าสืบให้แน่ใจก่อน”
“แต่วันมะรืนเป็นวันแต่งงาน ข้าเหลือเวลาอีกแค่วันเดียวเท่านั้น” เซี่ยวอวี่เซวียนเป็นกังวล
คนที่เขาชอบมาโดยตลอดคือกู้ชูหน่วน ไม่ใช่กู้ชูอวิ๋น
เขาจะไม่ยอมแต่งงานกับผู้หญิงที่เขาไม่ได้รัก
“ข้าอยู่ตรงนี้ จะกลัวอะไร” กู้ชูหน่วนกลอกตา
มีนางเป็นพี่ใหญ่ จะตายไม่ได้?
“ปัง……”
เซี่ยวอวี้เซวียนยังไม่ทันได้ดีใจ ประตูก็ถูกเปิดออก
ทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน และเห็นแม่ทัพใหญ่เซี่ยวจ้องมองมาที่พวกเขาด้วยสีหน้าอึมครึม
แสงจันทร์สุกสกาว ส่องกระทบร่างของแม่ทัพใหญ่เซี่ยว ทำให้เขาดูน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น
เซี่ยวอวี้เซวียนตะโกน “ท่านพ่อ……”
แม่ทัพใหญ่เซี่ยวมองไปที่กู้ชูหน่วนอย่างเย็นชา แววตาดุดัน และด้วยท่าทางที่ไม่เป็นมิตร “พระชายาหาน ไม่ทราบว่าพระองค์ให้เกียรติมาที่จวนแม่ทัพดึกดื่นเช่นนี้ มีเรื่องอะไรให้รับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ตามหลักแล้วกู้ชูหน่วนไม่จำเป็นต้องคำนับแม่ทัพใหญ่เซี่ยว แต่นางยังคงทำความเคารพตามความอาวุโส
“ข้ากับคุณชายเซี่ยวเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนกัน ก่อนหน้านี้ข้าจากเมืองหลวงไปเป็นเวลานาน เมื่อกลับมาจึงมาเยี่ยมเขา และมาคารวะแม่ทัพใหญ่เซี่ยว”
“กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะ บุตรชายของกระหม่อมก็สบายดีเช่นกัน ไม่รบกวนให้พระชายาหานต้องมาเป็นห่วง ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว พระชายาหานเชิญเสด็จกลับไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
ตาเฒ่านี่……
นางทำให้เขาขุ่นเคืองตรงไหน?
เขาเป็นมิตรกับคนอื่น ๆ แต่มักจะทำหน้าตาบึ้งตึงทุกครั้งที่เจอนาง
“ท่านพ่อ อาหน่วนเพิ่งกลับมาที่เมืองหลวง นางจึงมาหาข้า นี่เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนของข้า ทำไมท่านถึงได้……”
แม่ทัพใหญ่เซี่ยวมองด้วยสายตาที่ดุดัน
เซี่ยวอวี่เซวียนหุบปากในทันที
สำหรับแม่ทัพใหญ่เซี่ยว เขายังคงเกรงกลัวอยู่บ้าง
“พระชายาหาน เชิญเสด็จพ่ะย่ะค่ะ”
“ชูหน่วนขอลา ไว้คราวหน้าจะมาคารวะท่านแม่ทัพอีก”
“สถานที่เล็ก ๆ อย่างจวนแม่ทัพ ไม่สามารถรองรับผู้ที่สูงส่งเช่นพระองค์ได้ ต่อไปหากพระชายาหานไม่มีอะไรก็อย่ามาที่นี่เลยพ่ะย่ะค่ะ วันมะรืนเซี่ยวอวี่หนานก็จะแต่งงานกับคุณหนูรองตระกูลกู้แล้ว หากพระชายาหานยังมาที่จวนแม่ทัพอีก เกรงว่าจะถูกผู้คนครหานินทาได้”
กู้ชูหน่วนกำหมัดแน่น และออกไปจากจวนแม่ทัพโดยไม่พูดอะไรสักคำ
ไม่ใช่เพราะนางสู้แม่ทัพใหญ่เซี่ยวไม่ได้
แต่นางไม่ต้องการ
ไข่มุกมังกรเม็ดนั้นที่อยู่ในใจเขา ไม่ช้าก็เร็วนางจะต้องเอาออกมาให้ได้ แต่ก่อนที่จะเอาออกมา นางไม่ต้องการทำให้แม่ทัพใหญ่เซี่ยวไม่สบายใจ
นางได้ยินเสียงเบา ๆ ของแม่ทัพใหญ่เซี่ยวและเซี่ยวอวี่หนานทะเลาะกัน
“ท่านพ่อ ท่านทำมากเกินไปแล้ว ท่านปฏิบัติต่อเพื่อนของข้าเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“เพื่อน นางคือพระชายาหาน พระชายาของเทพแห่งสงคราม แม้ว่าพวกเจ้าจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนก็ต้องรักษาระยะห่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้ากำลังจะแต่งงาน หากเรื่องแพร่กระจายออกไป ชื่อเสียงของจวนแม่ทัพก็คงจะถูกเจ้าทำลาย”
“ในสายตาของท่าน นอกจากจวนแม่ทัพ นอกจากฝ่าบาท นอกจากทหารและประชาชน ท่านมีข้าอยู่ในสายตาบ้างหรือไม่?ตั้งแต่ข้าเด็กจนโต ท่านก็ทำสงครามอยู่ข้างนอก และไม่ได้กลับบ้านมาหลายปี พอกลับมาอยู่บ้านได้ไม่ถึงครึ่งวัน ท่านก็ออกไปช่วยคนยากจน ท่านเคยสนใจข้าหรือไม่ เคยเป็นห่วงข้าหรือไม่?”
“แม้ว่าพระชายาหานจะเป็นผู้ชนะการชุมนุมแข่งขันวิชาการ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าพฤติกรรมของนางหยาบคายและไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจได้”
“นางจะไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ?”
“สตรีที่ปลอมตัวเป็นบุรุษในยามค่ำคืน แล้วแอบมาพบกับชายที่ยังไม่ได้แต่งงาน พฤติกรรมเช่นนี้รู้จักยับยั้งชั่งใจแล้วหรือ?”
“……”
ข้างในทะเลาะกันเสียงดังเอะอะมาก เป็นไปไม่ได้เลยที่กู้ชูหน่วนจะไม่ได้ยิน ยิ่งไปกว่านั้นคือนางเป็นคนหูไว
ในที่สุดนางก็พบกับเซี่ยวอวี่โหลวที่อยู่ไม่ไกลจากประตูจวนแม่ทัพ
เซี่ยวอวี่โหลวโค้งคำนับเพื่อขอโทษ “พระชายาหาน ผู้น้อยต้องขอประทานอภัยกับคำพูดและการกระทำของท่านพ่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่เป็นไร เขาไม่ได้พูดอะไรผิด”
“ท่านพ่อ……ท่านพ่อกับท่านแม่ของท่าน……บางทีนี่อาจจะเป็นสาเหตุที่เขาปฏิบัติต่อท่านเช่นนี้”
“เกี่ยวอะไรกับท่านแม่ของข้าหรือ?”
“เรื่องนี้นานมากแล้ว ผู้น้อยก็ไม่รู้อะไรมากนัก เป็นเพราะการเสียชีวิตของท่านแม่ของท่าน หลายปีที่ผ่านมาท่านพ่อของผู้น้อยจึงไม่สามารถละทิ้งความคับแค้นใจได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ กู้ชูหน่วนก็รู้สึกสับสนงุนงง
ดูเหมือนว่ายังมีความลับอีกมากมายเกี่ยวกับท่านแม่ของนาง ที่นางยังไม่รู้
ในที่สุดนางก็เข้าใจว่าทำไมแม่ทัพใหญ่เซี่ยวจึงปฏิบัติต่อนางไม่ค่อยดีนัก
“ต้องขอประทานอภัยกับเหตุการณ์ในวันนี้จริง ๆ กลับไปแล้วผู้น้อยจะพยายามเกลี้ยกล่อมท่านพ่อ และหวังว่าพระชายาหานจะไม่ถือสา”
“ไม่เป็นไร ท่านไม่ต้องไปส่ง ดึกมากแล้ว ข้าขอตัวก่อน”
เซี่ยวอวี่โหลวอยากจะถามนางเรื่องบทกวี เมื่อเห็นนางเจากไปและดึกมากแล้ว เขาจึงไม่กล้าที่จะตามไปถาม
เดิมทีกู้ชูหน่วนต้องการไปที่จวนอัครเสนาบดี แต่พอคิดไปคิดมาแล้วก็เปลี่ยนใจ แค่กู้ชูอวิ๋นเพียงคนเดียว ไม่คุ้มที่เลยที่จะไปหาเรื่องกับนาง
ให้จักรพรรดิเยี่ยถอนพระราชโองการเสียก่อน แล้วค่อยรวบรวมไข่มุกมังกรทั้งเจ็ดเม็ด เพื่อถอนคำสาปโลหิต จากนั้นค่อยล้างแค้นให้รัฐชาววะ
ในขณะที่คิด กู้ชูหน่วนก็ตรงไปที่พระราชวัง
เนื่องจากนางเป็นพระชายาหาน และไม่มีใครกล้าขวางทาง ไม่นานกู้ชูหน่วนมาถึงพระราชวัง
“ไปกราบทูลฝ่าบาทว่ากู้ชูหน่วนมาแล้ว”
“คารวะพระชายาหาน พระชายาหานทรงพระเจริญพันปี พันพันปี เป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ ในตอนนี้ก็ดึกมาแล้ว และฝ่าบาทก็ทรงบรรทมแล้ว หากพระชายาหานไม่มีอะไรสำคัญ ค่อยมาพรุ่งนี้เช้าจะดีกว่า……”
“ข้าเข้ามาในวังกลางดึก เจ้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องไม่สำคัญงั้นหรือ?”
“นี่……” ขันทีเสี่ยวหลี่จือรู้สึกลำบากใจ
สิ่งสำคัญคือตอนนี้ฝ่าบาทกำลังบรรทมอยู่ ใครจะกล้าไปรบกวนฝ่าบาท
“ดูเหมือนว่าคำพูดของพระชายาหานเช่นข้า จะไม่ได้มีน้ำหนักมากพอ ช่างเถอะ ข้าจะให้ท่านอ๋องของบ้านข้ามาด้วยตนเองบังเอิญว่าระยะนี้ลูกน้องของท่านอ๋องก็นอนไม่หลับ ให้พวกเขาเข้ามาในวัง เพื่อจัดระเบียบความเรียบร้อยด้วยจะดีกว่า”
“ฮ้า……”
ไม่ใช่แค่เสี่ยวหลี่จือ แต่แม้กระทั่งคนรับใช้ที่อยู่ข้าง ๆ ก็ตกใจ
พระชายาหานกำลังข่มขู่พวกเขา
หากพระชายาหานนำคนกลุ่มนั้นเข้ามาในวังจริง ๆ เช่นนั้นจะไม่เป็นการบังคับบรรดาขุนนางหรือ?
ในตอนนี้นอกจากอำนาจทางทหารส่วนหนึ่งที่อยู่ในมือของแม่ทัพใหญ่เซี่ยวแล้ว อำนาจทางทหารส่วนใหญ่ก็อยู่ในมือของท่านอ๋องหานเทพแห่งสงคราม พวกเขาจะกล้าบุ่มบ่ามได้อย่างไร
“พระชายาหานทรงล้อเล่นแล้ว บ่าวจะไปกราบทูลฝ่าบาทเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ พระชายาหานได้โปรดรอสักประเดี๋ยว”
เสี่ยวหลี่จือเดินเข้ามากราบทูลอย่างขาสั่น และกู้ชูหน่วนก็ถูกเชิญให้ไปที่อุทยานอวี้ฮวา
ไม่นานจักรพรรดิเยี่ยก็มาพร้อมกับนางกำนัลและขันทีกลุ่มหนึ่ง
เขาไม่ได้ไม่พอใจอย่างที่นางคิดไว้ แต่กลับดูดีใจและกล่าวว่า “ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว รีบเล่านิยายที่เจ้าแต่งให้ข้าฟังเร็วเข้า?ในท้ายที่สุดเป็นอย่างไร?หยางฉู่รั่วลงเอยกับใคร?”
“หยางฉู่รั่วเสียชีวิตด้วยโรคระบาด ฉู่อวี่เฉินฆ่าตัวตาย ส่วนเฟิงหลิงไม่ยอมพ่ายแพ้ และใช้มีดสั้นฆ่าตัวตายเพื่อบูชาความรัก”
“ปัง……”
จักรพรรดิเยี่ยเกือบจะล้มลง และมองไปที่กู้ชูหน่วนด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “เช่นนั้นก็……ตายกันหมด?ตอนต้นเขียนได้ดีมาก ทำไมตอนท้ายถึงได้ธรรมดาเช่นนี้”
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขาตามหานักเล่าเรื่องมานับไม่ถ้วน และให้นักเล่าเรื่องแต่งเรื่องราวต่อไป แต่เรื่องที่นักเล่าเรื่องแต่ละคนแต่ง เขาล้วนไม่พอใจ และรู้สึกว่าไม่สนใจเหมือนในตอนต้น
เขาส่งคนไปตามหากู้ชูหน่วน และต้องการรู้คำตอบในตอนท้ายของหนังสือ แต่ดูเหมือนว่ากู้ชูหน่วนจะหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และหาอยู่นานก็ไม่พบ
แต่เมื่อหาพบแล้ว คนที่ส่งไปก็ถูกเสด็จอาไล่กลับมา
“ทำไมถึงได้ธรรมดาเช่นนี้?นี่เป็นจุดจบของเรื่อง หากพระองค์ไม่ยอมรับ หม่อมฉันก็จนปัญญาเพคะ”
กู้ชูหน่วนแบมือออก
เรื่องที่เล่าไปคราวก่อน นางลืมไปหมดแล้ว
หากเขาไม่ถาม นางก็คงจะลืมไปแล้วว่านางเคยเล่าเรื่องนี้
“พวกเขาเป็นตัวเอกไม่ใช่หรือ?ตัวเอกจะตายได้อย่างไร?”
“พระองค์ทรงเป็นจักรพรรดิ ผู้คนต่างก็ตะโกนว่าขอให้พระองค์ทรงอายุยืนหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี พระองค์จะทรงมีพระชนม์ชีพเป็นหมื่นปีจริง ๆ หรือเพคะ?หลังจากร้อยปีก็ต้องเป็นกองขี้เถ้า”
“บังอาจ ท่านกล้าสาปแช่งฝ่าบาท”
“เจ้าต่างหากที่บังอาจ ข้าพูดกับฝ่าบาท เจ้าเป็นเพียงขันที แต่กลับกล้าพูดสอดแทรก ออกไป”
กุ้ชูหน่วนตะโกนอย่างดุดัน เสี่ยวหลี่จือไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าเถียง จึงทำได้เพียงถอยออกไปด้านข้าง ๆ และไม่กล้าที่จะยั่วยุพระชายาหาน
จักรพรรดิเยี่ยยักไหล่อย่างไร้ชีวิตชีวา
“ข้าคิดว่าตอนจบของเรื่องจะน่าตื่นเต้นมาก ไม่คิดว่ามันจะเช่นนี้…..ท่านคิดว่าหยางฉู่รั่วที่ดี ๆ อยู่ จะเสียชีวิตจากโรคระบาดได้อย่างไร?”
“พระองค์อยากรู้หรือเพคะ?”
“อยาก”
“เช่นนั้นพระองค์ต้องรับปากกับหม่อมฉันเรื่องหนึ่ง แล้วหม่อมฉันจะบอกเหตุผลกับพระองค์”
“เรื่องอะไร?” จักรพรรดิเยี่ยรู้สึกสังหรณ์ใจ
สามีของนางเป็นเทพแห่งสงคราม พลิกมือเป็นเมฆา คว่ำมือเป็นห่าฝน และมีอำนาจมากกว่าจักรพรรดิอย่างเขามากนัก นางต้องให้เขาช่วยอะไร
“ถอนพระราชโองการที่ทรงพระราชทานการแต่งงานให้กับเซี่ยวอวี่เซวียนและกู้ชูอวิ๋น”