กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 667
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 667
แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดทั้งหมด แต่กู้ชูหน่วนและคนอื่น ๆ ก็เข้าใจ คนของพวกเขาน่าจะเป็นกองทัพที่พินาศย่อยยับ และมีเพียงเยี่ยจิ่งหานที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่หลังเท่านั้นที่สามารถหลบหนีมาได้
นัยน์ตาของกู้ชูหน่วนเย็นยะเยือก
นางไม่ยินดียินร้าย เพียงแต่อยากจะช่วยรักษาอาหารบาดเจ็บให้เยี่ยจิ่งหาน
หลังจากตัดเสื้อผ้าของเขาออก บนร่างของเขามีรอยฝ่ามือสีดำ และรอยฝ่ามือสีดำแต่ละรอยก็แทบจะเอาชีวิตของเขา
เป็นเรื่องยากที่กู้ชูหน่วนจะจินตนาการได้ว่าเขาสามารถหลบหนีมาจากการโจมตีของยอดฝีมือทั้งสี่ได้อย่างไร
ไม่ ไม่ใช่ยอดฝีมือทั้งสี่ แต่เป็นเป็นยอดฝีมือทั้งห้า เพราะมีรองหัวหน้าเผ่าซือคงด้วย
เพื่อที่จะแย่งชิงไข่มุกมังกรมาให้นาง แม้แต่ชีวิตขาก็ไม่ต้องการแล้วหรือ?
เสื้อผ้าค่อย ๆ ถูกดึงลงมา บริเวณท้องของเขามีรอยฝ่ามือ รอยฝ่ามือนั้นเผยให้เห็นการกัดกร่อน เลือดเนื้อของเขาค่อย ๆ เน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว และแม้แต่อวัยวะภายในก็เริ่มเน่าเปื่อยเช่นกัน
ทุกคนหรี่ตาลง
นี่มันบาดแผลอะไรกัน ทำไมถึงได้รุนแรงเช่นนี้?
กู้ชูหน่วนลองหลายวิธี แต่ก็ไม่สามารถหยุดการกัดกร่อนที่ขยายวงกว้างขึ้นได้
เหวินเส่าอี๋กล่าวอย่างราบเรียบ “นี่เป็นเคล็ดลับวิชาเฉพาะของผู้อาวุโสสูงสุดอั้นเฮย นอกจากเขาแล้ว ไม่มีใครสามารถถอนพิษได้ อีกอย่าง……หากถูกฝ่ามือกัดกร่อนของเขา อย่างมากที่สุดก็สามวัน หลังจากสามวันแล้วจะต้องตายอย่างแน่”
“ฝ่ามือกัดกร่อน?
กู้ชูหน่วนไม่เข้าใจ
เสี่ยวลู่ เจี้ยงเสวี่ย รวมทั้งสวีหู่และคนอื่น ๆ ต่างก็เข้าใจ
นี่เป็นหนึ่งในเคล็ดลับวิชาที่โหดเหี้ยมที่สุดของเผ่าเพลิงฟ้า
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่ามีคนกี่คนที่ต้องตายเพราะฝ่ามือกร่อน
“ข้าจะไปตามหาตาเฒ่าตายยากนั่นมาเพื่อถอนพิษ”
ในขณะที่กล่าว เจี้ยงเสวี่ยก็กำลังจะจากไป
กู้ชูหน่วนดึงเขากลับมา
“เจ้าจะไปตายหรืออย่างไร?แม้แต่เยี่ยจิ่งหานยังเอาชนะไม่ได้ แล้วเจ้าจะเอาชนะเขาได้หรือ?”
“เช่นนั้นจะทำอย่างไร ข้าไม่สามารถปล่อยให้นายท่าน……”
“เสี่ยวลู่ เจ้าไปกับผู้อาวุโสหก พาไข่มุกมังกรและเยี่ยจิ่งหานกลับไปที่เผ่าหยกก่อน ข้าจะพาคนไปจามหายาถอนพิษ”
“นายท่าน ไม่ได้นะเจ้าคะ หากท่านไม่กลับไป นำไข่มุกมังกรกลับไปก็ไร้ประโยชน์ และเผ่าหยกคงจะไม่ยอมให้เทพแห่งสงครามเข้าไป อีกอย่างมันก็อันตรายเกินไป”
“ข้าย่อมมีวิธีของข้า ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ พวกเจ้าควรจะกลับไปที่เผ่าหยกโดยเร็วที่สุด”
ตอนที่กู้ชูหน่วนกำลังจะกระโดดลงจากรถม้า เหวินเส่าอี๋ก็กล่าวอีกครั้ง
“ข้าสามารถช่วยเยี่ยจิ่งหานได้”
ขวับ……
ทุกคนต่างหันไปมองเหวินเส่าอี๋ด้วยความสนใจ
เจี้ยงเสวี่ยรีบคว้าคอเสื้อของเขาและถามว่า “บอกมาว่าจะถอนพิษของนายท่านได้อย่างไร?”
เหวินเส่าอี๋เงยหน้าขึ้น และชำเลืองมองไปที่กู้ชูหน่วน จากนั้นก็ค่อย ๆ หยิบขวดยาออกมา และโยนให้เจี้ยงเสวี่ย
เจี้ยงเสวี่ยคว้าขวดยาไว้แน่น แต่ไม่กล้าที่จะทาให้เยี่ยจิ่งหาน เพราะกลัวว่าเหวินเส่าอี๋จะเล่นลูกไม้อะไร ถึงอย่างไรพวกเขาทั้งสองคนก็ต่อสู้กันมานานหลายปี และไม่เคยรู้ผลแพ้ชนะ
ผู้คนต่างไม่มีท่าทีใด ๆ
ทำไมเหวินเส่าอี๋ถึงเอายาถอนพิษออกมาให้ง่าย ๆ ?
โดยไม่มีการต่อรองหรือเงื่อนไขใด ๆ ?
กู้ชูหน่วนคว้ายาถอนพิษมาดม มีกลิ่นของพลังวิญญาณ
นางจึงเปิดฝาและต้องการจะทาให้เยี่ยจิ่งหาน
“พระชายา หากมีพิษล่ะขอรับ?” เจี้ยงเสวี่ยรีบยับยั้ง นัยน์ตาของเขาแดงก่ำด้วยความกังวล
“เขาไม่มีทางวางยาพิษ หากเขาต้องการให้เยี่ยจิ่งหานตาย เขาก็รออีกแค่สามวันเท่านั้น อีกอย่าง……หากเยี่ยจิ่งหานตาย เขาก็อย่าคิดว่าจะมีชีวิตอยู่ หากเขาตาย สงครามระหว่างเผ่าหยกและเผ่าเพลิงฟ้าต้องเริ่มขึ้นอย่างแน่นอน”
เจี้ยงเสวี่ยต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กู้ชูหน่วนก็ทายาให้เยี่ยจิ่งหานแล้ว และความกังวลในใจของเขาก็ปรากฏขึ้นในแววตา
ในทันทีที่ทายา บาดแผลที่ถูกกัดกร่อนบริเวณท้องของเยี่ยจิ่งหานก็ไม่ขยายวงกว้างอีก และค่อย ๆ ดีขึ้น
เจี้ยงเสวี่ยถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก และความอึดอัดใจของเขาก็ผ่อนคลายลง
กู้ชูหน่วนเหงื่อแตกพลั่ก
และตระหนักได้ว่าตัวเองประหม่ายิ่งกว่าเจี้ยงเสวี่ยเสียอีก
“ฉ่า…”
ทันใดนั้นไอสังหารอันแข็งแกร่งก็เข้าโจมตี และทั่วทั้งร่างกายของเขาก็ถูกปกคลุม แม้แต่ฟ้าดินก็เปลี่ยนสีเช่นกัน
ใบหน้าของทุกคนถอดสี
ไอสังหารอันแข็งแกร่ง
เหวินเส่าอี๋หรี่ตาลง “ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่กำลังตามมาแล้ว”
“สวีหู่ รีบพาอาหน่วนกลับไปที่เผ่าหยกอย่างปลอดภัย ข้าจะรั้งอยู่นี่เอง”
“ขอรับ”
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงผู้อาวุโสเจ็ดกล่าวอย่างรีบร้อน และตามด้วยเสียงที่สวีหู่ฟาดแส้ลงไปที่หลังม้า
รถม้าเคลื่อนออกไปด้วยความเร็ว จนเกือบจะเหวี่ยงพวกเขาให้กระเด็นออกไป
ความเร็วของการบังคับม้าเร่งขึ้นอีกครั้ง เสี่ยวลู่ระมัดระวัง และต้องการจะปกป้องกู้ชูหน่วนให้ดีที่สุด
การบังคับม้าอันน่าสะพรึงกลัวปกคลุมไปทั่วทั้งรถม้า และทุกคนต่างรู้สึกว่าความตายกำลังจะมาเยือนพวกเขา
เพียงแต่พละกำลังเช่นนี้เทียบไม่ได้เลยกับรองหัวหน้าเผ่าซือคง
เหวินเส่าอี๋พยายามจะออกไปจากรถม้า แต่โซ่ตรวนที่ขาทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ กริชของเสี่ยวลู่กดลงไปที่คอของเขาอีกครั้ง
“อย่าขยับ หากยังไม่อยากตาย”
“ผู้อาวุโสทั้งสองคนของเผ่าหยกไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่แห่งเผ่าเพลิงฟ้า หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภายนอก ทั้งสองคนต้องตายอย่างแน่นอน”
“ท่านไม่ต้องห่วง”
การบังคับม้าอันน่าสะพรึงแทบจะทำให้รถม้าพัง และไอสังหารทั้งสองก็ตามมาติด ๆ
“ย่ะ……”
รถม้าแล่นไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด และแล่นต่อไปด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม ไอสังหารทั้งสองตามพวกเขามาอย่างใกล้ชิด ก็เข้าใกล้มาเรื่อย ๆ จนเกือบจะตามพวกเขาทันแล้ว
สีหน้าของทุกคนไม่ค่อยดีนัก โดยเฉพาะเจี้ยงเสวี่ย
เมื่อเจี้ยงเสวี่ยเห็นความแข็งแกร่งของอผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่แล้ว หัวใจของเขาก็เต้นแรงจนแทบจะกระโดดออกมา
พวกเขาทุกคนต่างรู้ดีว่าผู้อาวุโสหกและผู้อาวุโสเจ็ดไม่สามารถขัดขวางผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสองของเผ่าเพลิงฟ้าได้ และผู้อาวุโสสูงสุดอีกสองคนก็กำลังไล่ตามพวกเขามา
ยอดฝีมือขั้นสูงสุดระดับหก
อย่างน้อยพลังของยอดฝีมือขั้นสูงสุดระดับหก ก็เพียงพอที่จะวิ่งชนะม้าธรรมดาได้
“พระชายา พวกเราจะทำอย่างไรดี?”
ทำอย่างไรดี?
พลังของพวกเขาแตกต่างกันมากเกินไป หากตามมาทัน พวกเขาคงยากที่จะตัวรอดไปได้
ยอดฝีมือระดับหกขั้นเริ่มต้นกับยอดฝีมือระดับหกขั้นสูงสุด พลังก็ยังต่างกันมาก?
เมื่อมองไปที่เหวินเส่าอี๋อีกครั้ง ในตอนนั้นเขาเป็นยอดฝีมือระดับหกขั้นเริ่มต้น และเคยต่อสู้กับจอมมารและเยี่ยจิ่งหานครั้งหนึ่ง ครั้งนั้นภูเขาถล่มแผ่นดินทลาย
ในตอนนี้……
พลังของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งเผาเพลิงฟ้า คือขั้นสูงสุดระดับหก
อีกนิดเดียวก็จะบรรลุระดับเจ็ดแล้ว……
มิน่าล่ะ……
มิน่าล่ะเจ้าของร่างเดิมมีพลังที่แข็งแกร่งมากขนาดนั้น แต่ก็ไม่กล้าโจมตีเผ่าเพลิงฟ้า
เผ่าเพลิงฟ้าเป็นน้ำนิ่งไหลลึก
กู้ชูหน่วนหยิบขวดยาและผ้าขนหนูหลายผืนออกมาจากวงแหวนอวกาศ จากนั้นก็พันรอบตัวเอง
นางเทยาในขวดออกไปนอกรถม้า และบอกให้พวกเขาช่วยเทออกไป
กลิ่นของยาเหล่านั้นรุนแรงมาก ไม่เพียงแต่จะมีกลิ่นรุนแรง แต่ยังมีพิษร้ายแรงอีกด้วย
เป็นเพราะผงยาที่ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดล่าช้าลง แต่ไม่นานก็ตามมาทัน
“เจ้าเด็กโง่ ส่งไข่มุกมังกรและนายน้อยมา”
เสียงที่ต่ำและโกรธเคืองดังขึ้น เดิมทีท้องฟ้าสดใสราวกับน้ำทะเล แต่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน และเมฆดำก็ลอยมา
“เปรี้ยง……”
สายฟ้าแลบแวบวับไปทั่วท้องฟ้า ตามด้วยเสียงฟ้าร้อง และทันใดนั้นฝนก็เทลงมา
เหวินเส่าอี๋หน้าถอดสีและกล่าวว่า “เร็วเข้า กางร่มกั้นไว้ อย่าให้ฝนสาดเข้ามา”
เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และโชคดีที่มีร่มอยู่ในรถม้าหลายคัน
เสียงดังขวับ ร่มกางออก เหวินเส่าอี๋กางร่มให้กู้ชูหน่วน เพื่อไม่ให้ฝนโดนนาง
แต่คนอื่น ๆ ช้าไปก้าวหนึ่ง แต่โชคดีที่ทุกคนอยู่ในรถม้า พวกเขาจึงไม่โดนฝน ทันใดนั้นลมก็พัดแรงจนหลังคารถม้าเปิดออก แต่พวกเขาได้กางร่มแล้ว
แต่สวีหู่ที่บังคับม้าอยู่ด้านนอก ไม่ได้โชคดีเช่นนั้น