กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 690
ในช่วงเวลาค่ำคืน คนหนึ่งชุดขาวพัดปลิว คนหนึ่งชุดแดงอันเย้ายวน คนหนึ่งอ่อนโยนนุ่มนวลราวกับหยก คนหนึ่งสวยจนเป็นชนวนสามารถทำเมืองล่มสลายได้ พอมองไปแวบแรก ราวกับเป็นทิวทัศน์ทัศนียภาพที่สวยงามเลิศล้ำ
กู้ชูหน่วนหยิบเอาขลุ่ยหยกที่อยู่ในอ้อมแขนออกมา แล้วกวัดแกว่งอยู่ตรงหน้าของอี้เฉินเฟย แสยะยิ้มขึ้นที่มุมปากกล่าวว่า“ยังจำขลุ่ยนี้ได้หรือไม่?”
“จำได้อยู่แล้ว ข้าเป็นคนมอบแก่ท่าน”
“อืม ขลุ่ยหยกนี้และวงแหวนอวกาศเป็นของสำคัญล้ำค่าที่สุดบนตัวของข้า ตอนที่คิดถึงท่าน ข้ามักจะหยิบออกมาเล่น บนตัวของพวกเขามีกลิ่นอายของท่านพี่เฉินเฟย แล้วก็….กลิ่นอายของเรือน”
หางตาของกู้ชูหน่วนมีรอยยิ้มแห่งความสุขปรากฎเฉิดฉายออกมา และลูบสัมผัสขลุ่ยกับวงแหวนอวกาศอยู่เป็นเวลานานไม่ยอมเก็บไว้
“ไม่ว่าข้าจะพบเจอเรื่องที่ยากลำบากมากแค่ไหน เพียงแค่เห็นของสองสิ่งนี้ ข้าก็รู้เลยว่าข้าไม่ได้โดดเดี่ยวตัวคนเดียว ท่านพี่เฉินเฟยอยู่เป็นสหายข้างกายของข้ามาโดยตลอด”
“เด็กโง่ ไม่ว่าตัวของพี่เฉินเฟยจะอยู่ที่แห่งใด ล้วนจะอยู่ข้างกายท่าน ปกป้องท่าน แม้ว่า… แม้ว่าฉันจะเหลือเพียงแสงแห่งวิญญาณก็ตาม”
นัยน์ตาของอี้เฉินเฟยมีความเจ็บปวด
เขาก็อยากที่จะอยู่เคียงข้างนางและปกป้องนางทุกชาติไป
น่าเสียดาย…..
เขาไม่มีโอกาสนั้น
นึกถึงภาระและความกดดันที่นางต้องทนตั้งแต่วัยเด็ก อี้เฉินเฟยก็เจ็บปวดใจสงสารขึ้นมา
หลังจากเขาตาย จะมีคนที่บุกรุดหน้าปกป้องนางอย่างเขาหรือไม่?
น่าจะมีแหละ
อย่างน้อยเยี่ยจิ่งหานกับจอมมารก็รักนางอย่างจริงใจ
“ท่านพี่เฉินเฟย ท่านเคยสัญญากับข้าว่าจะไม่มีทางตาย ท่านไม่สามารถกลับคำได้ และก็ไม่สามารถกล่าวพูดคำไม่ดีเคราะห์ร้ายด้วย”
“ได้….”
“ท่านเล่าเรื่องให้ข้าฟังหน่อยเถิด ข้าอยากฟังท่านเล่าเรื่อง”
“ข้ากลัวว่าเรื่องที่เล่าจะปลุกอารมณ์เกินไป ท่านฟังแล้วจะรู้สึกไม่สบายได้”
“ความงามของพระจันทร์ที่ไร้เดียงสา ราวกับว่าขาดอะไรไปบางอย่าง”
อี้เฉินเฟยหยิบผ้าคลุมไหล่มาคลุมบนตัวของนาง สักพักหนึ่งถึงได้กล่าวขึ้นว่า
“ท่านอยากฟังเรื่องเล่าจริงหรือ?”
“อยากสิ”
“เช่นนั้นตอบคำถามหนึ่งกับพี่เฉินเฟยก่อน ท่านชอบเยี่ยจิ่งหานจริงหรือไม่?”
กู้ชูหน่วนสีหน้าเปลี่ยน
หลังจากที่รู้ว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน นางไม่อยากพูดถึงที่สุดคือความสัมพันธ์ของนางกับเยี่ยจิ่งหาน
“ท่านพูดเรื่องเหล่านี้ทำไมหรือ?”
“ข้าดูออก เขารักท่านมาก ปั้นปลายชีวิตมีเขาดูแลท่าน พี่เฉินเฟยก็วางใจแล้ว”
“……”
โรคหายแล้ว แต่ทว่าสมองกลับไหม้หรือ?
ไม่มีทางที่พี่เฉินเฟยจะไม่รู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องกัน
“เด็กโง่ พี่เฉินเฟยจะพูดตามตรงเลยนะ ท่านกับเยี่ยจิ่งหานไม่ใช่พี่น้องกัน”
ซือ…..
กู้ชูหน่วนชะงักงัน แม้แต่ลมหายใจยังเร็วถี่ขึ้น
“ท่าน….ท่านพูดว่าอะไรนะ?”
“ข้าพูดว่า พวกท่านไม่ใช่พี่น้องกัน ท่านแม่ของท่านคือพระสนมอวี้ ท่านพ่อคือองค์จักรพรรดิของรัฐเยี่ย และเยี่ยจิ่งหาน….ท่านแม่ของเขาเป็นเพียงแค่เงาหนึ่ง”
“เงา?”
“ใช่….เมื่ออดีตฐานะของหัวหน้าเผ่ากับธิดาศักดิ์สิทธิมีเกียรติสูงศักดิ์ พวกนางล้วนมีเงาโดยเฉพาะ เงามีลักษณะรูปร่างที่เหมือนกันกับพวกนาง พวกนางได้รับการฝึกฝนอยู่ที่มืดตั้งแต่วัยเด็ก และพวกนางเรียนรู้ทุกย่างก้าวของธิดาศักดิ์สิทธิ เพื่อพวกนางจะได้เป็นตัวแทน”
กลางฝ่ามือของกู้ชูหน่วนเหงื่อตกพลัก และรอคำพูดถัดมาของอี้เฉินเฟยอย่างใจจดจ่อ
นางรู้ว่าเขาไม่มีทางโกหกนาง
แต่นางไม่เข้าใจว่าทำไมเหล่าผู้อาวุโสถึงได้แน่วแน่ยืนยัดว่าพวกเขาเป็นพี่น้องกัน
“เงาทั้งหมดถูกคัดเลือกมาอย่างดี และแต่ละเงาล้วนมีความจงรักภักดี ไม่เคยผิดพลาดมานับพันปีเลย แต่เป็นรุ่นก่อน… เงาได้ทรยศพระสนมอวี้กับเผ่าหยก และให้กำเนิดเยี่ยจิ่งหานกับคนนอก”
“ท่านแน่ใจนะว่าท่านพ่อท่านแม่ของข้ากับเยี่ยจิ่งหานนั้นเป็นคนละคนกัน?”
“แน่ใจสิ คนละพ่อคนละแม่เลย”
กู้ชูหน่วนดีใจ ลุกขึ้นยืนจะไปหาเยี่ยจิ่งหานในทันที แต่กลับถูกอี้เฉินเฟยดึงไว้
“ดูท่าทางรีบร้อนของท่านสิ เรื่องเล่าของข้ายังพูดไม่จบเลย”
“แค่พวกข้าไม่ใช่พี่น้องกันก็เพียงพอแล้ว”
“เช่นนั้นหากท่านพ่อท่านแม่ของท่านถูกท่านแม่ของเขาทำให้ตายละ”
ประโยคนี้ทำให้ใจที่ร้อนรุ่มของกู้ชูหน่วนเย็นลงชั่วขณะ
“ฟังเรื่องเล่าได้ครึ่งหนึ่งก็จะไป ไม่เคารพผู้ที่เล่าเรื่องเอาเสียเลย นั่งลงเถิด ฟังพี่เฉินเฟยเล่าให้ท่านฟังอย่างละเอียด”
กู้ชูหน่วนเงียบสงบอยู่พักหนึ่ง นั่งลงข้างกายอี้เฉินเฟยอีกครั้งหนึ่งแล้วฟังเขาพูดความคับข้องใจบุญคุณความแค้นในอดีต
“เหตุใดท่านแม่ของเขาต้องทำร้ายท่านพ่อท่านแม่ของข้าด้วยเล่า?”
“เงาเป็นเพียงแค่ตัวแทนหนึ่ง หน้าที่ของพวกนางคือปกป้องธิดาศักดิ์สิทธิ ปกป้องหัวหน้าเผ่า จำเป็นต้องเสียสละพลีชีพความเหนื่อยความลำบากทุกอย่าง ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เงากำลังทำ”
อี้เฉินเฟยมองพระจันทร์ที่สุกสกาวสดใส ภายในใจรู้สึกหนักอึ้ง
“แม้ว่าเผ่าหยกจะฝึกฝนเงาอย่างเคร่งครัดมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะร่างกายหรือจิตใจก็ตาม พวกนางได้รับภารกิจหนักอึ้งเสียสละชีพเพื่อธิดาศักดิ์สิทธิกับหัวหน้าเผ่า แต่… ยากที่จะหลีกเลี่ยงการที่เงาบางเงานั้นได้มีความคิดอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากออกจากเผ่าหยก โลกภายนอกดุจดอกไม้น่าดึงดูดใจมาก และความคิดที่หยั่งรากลึกก็ถูกเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ”
“ท่านแม่ของท่านเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ ชื่นชอบองค์จักรพรรดิของรัฐเยี่ย บางครั้งเงาจะเป็นตัวแทนพระสนมอวี้ และก็ชื่นชอบองค์จักรพรรดิรัฐเยี่ยโดยไม่รู้ตัว….”
“ด้วยเหตุนี้ นางเลยอยากกำจัดพระสนมอวี้ และแทนที่พระสนมอวี้โดยสมบูรณ์ จนทำเรื่องที่ทำร้ายพระสนมอวี้มากมาย”
กู้ชูหน่วนฟังอย่างร้อนรน นี่พูดไปพูดมาก็พูดไม่ถึงจุดสำคัญสักทีหนึ่ง
นางอยากรู้ว่าความจริงแล้วท่านพ่อท่านแม่ของนางตายอย่างไร ต่อมาเงาให้กำเนิดเยี่ยจิ่งหานกับผู้ใดกัน
อี้เฉินเฟยจับจมูกของนางอย่างเอ็นดู กล่าวขึ้นว่า“ความอดทนสักนิดหนึ่งก็ไม่มี อยู่กับพี่เฉินเฟยทำให้ยากที่จะทนขนาดนั้นเชียวหรือ?”
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เพียงแต่ท่านยั่วความอยากรู้ของคนจนเกินไปแล้ว รายละเอียดปลีกย่อยเหล่านั้นข้าไม่อยากฟัง ท่านพูดจุดสำคัญกับข้าเถิด ต่อมาความจริงเกิดอะไรขึ้น”
“ได้ เช่นนั้นข้าจะพูดอย่างกระชับ เงาจัดฉากจัดการหลายครั้ง เพื่อไม่ให้พระสนมอวี้มีชีวิตรอดได้ และยั่วยุความสัมพันธ์ระหว่างพระสนมอวี้กับพระสนมอวี้ด้วย ซึ่งทำให้พระสนมอวี้ถูกขับไล่โดยเผ่าหยก จากนั้นจึงปล่อยที่พักระหว่างเดินทางของพระสนมอวี้ เป็นผลให้พระสนมอวี้ถูกไล่ล่าโดยเผ่าเพลิงฟ้าจนไร้สิ้นหนทาง”
“ไม่เพียงเท่านี้ นางยังขโมยไข่มุกมังกรจำนวนหนึ่งที่เผ่าหยกสามารถรวบรวมมาเป็นเวลาหลายพันปีอย่างยากลำบากไป ปัดโยนความผิดแก่พระสนมอวี้ เพื่อที่จะรวบรวมไข่มุกมังกรเหล่านั้นกลับมาอีกครั้ง ได้เสียสละชีพอย่างมากมาย เหล่าผู้อาวุโสหลายคนเสียชีวิต หัวหน้าเผ่าเมื่อสมัยนั้นนึกว่าพระสนมอวี้ทำ ก็โมโหจนตาย”
“ชั่วประเดี๋ยวเดียวเผ่าหยกได้สูญเสียเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดไปจำนวนหนึ่งกับหัวหน้าเผ่า พลังชีวิตถูกทำลาย บวกกับเวลาต่อมาเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดจำนวนหนึ่งต้องช่วยท่านปิดผนึกคำสาปโลหิต ต่างพากันทยอยพลีชีพ นี่เลยเป็นเหตุผลของตอนนี้ที่เผ่าหยกไม่มีเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดจำนวนหนึ่ง”
“หลังจากนั้นล่ะ….”กู้ชูหน่วนถามอย่างต่อเนื่อง
“ต่อมาพระสนมอวี้พบว่าทั้งหมดล้วนเป็นเงาทำ เลยอยากจะกำจัดเงา แต่พวกนางโตมาด้วยกัน ความรักความผูกพันมีมากมาย พระสนมอวี้ใจอ่อน ปล่อยเงาไป คิดไม่ถึงว่าเงาจะทำให้รุนแรงขึ้น ร่วมมือกับเผ่าเพลิงฟ้าและรัฐอื่น โจมตีรัฐเยี่ยครั้งแล้วครั้งเล่า และยังเข้าร่วมเผ่าเพลิงฟ้า เอาความลับของเผ่าหยกทั้งหมดบอกกับเผ่าเพลิงฟ้าด้วย”
“ครั้งนั้น พระสนมอวี้กับเผ่าเพลิงฟ้าสู้กันอย่างหนัก เผ่าหยกสูญเสียอย่างหนัก หลายตำแหน่งกระจัดกระจายเคลื่อนย้ายไม่ทัน ราวกับถูกยุปาดทั้งหมดพร้อมทั้งแบกภาระอันหนักอึ้ง…. นี่เป็นความพ่ายแพ้ที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของเผ่าหยก”
“เพราะฉะนั้นที่ผู้อาวุโสเกลียดชังเยี่ยจิ่งหานแบบนั้น ก็เป็นเพราะสาเหตุนี้ ท่านก็อย่าโทษเหล่าผู้อาวุโสเลย ถึงอย่างไรเผ่าหยกก็ตายเพราะเงาไปหลายคน”
“มีประสบการณ์ครั้งนั้น เกี่ยวกับเงาเผ่าหยกระวังมากขึ้น ตั้งแต่นั้นไม่ให้พวกนางมาเปิดเผยในที่สว่าง จนถึงขั้นอยากยกเลิกเงาเลยทีเดียว”