กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 691 (954-955)
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 691 (954-955)
กู้ชูหน่วนนิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกหนักอึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
เสมือนว่านางจะเข้าใจในบางสิ่ง
“ดังนั้น……ข้าเป็นหุ่นเชิดมากมายเช่นนั้นดังเช่นหัวหน้าเผ่าน้ำแข็ง หัวหน้านิกายเทพอสูร คุณหนูสามแห่งจวนเสนาบดี หออันดับหนึ่งในใต้หล้าในสถานะอื่นๆเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็ถูกแทนที่ด้วยเงากันทั้งสิ้น? ”
“ก็ประมาณนั้นแต่ว่าไม่กี่ปีที่ผ่านมาท่านได้กำจัดเงาออกไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นในตอนนี้เงาในเผ่าหยกสักเงาก็ไม่มีเสียแล้ว”
อี้เฉินเฟยหยุดครู่หนึ่งจากนั้นก็กล่าวต่อว่า “มีเพียงธิดาศักดิ์สิทธิ์หรือหัวหน้าเผ่าเท่านั้นถึงจะสามารถหลอมรวมไข่มุกมังกรได้และธิดาศักดิ์สิทธิ์จะถูกถ่ายทอดต่อตามลำพังมาแทบทุกรุ่น ไม่ว่าพวกนางจะทำสิ่งใดก็เสียชีวิตไม่ได้ เมื่อตายแล้วคำสาปเลือดก็ไม่สามารถปลดได้โดยปริยาย”
“แต่เงาปีศาจอันชั่วร้ายต้องการกำจัดธิดาศักดิ์สิทธิ์ให้สิ้นซาก เพื่อให้เผ่าหยกไม่สามารถคลายคำสาปโลหิตได้ตลอดกาล”
“เยี่ยจิ่งหานเป็นผู้ที่ถือกำเนิดจากเงากับผู้ใด?”
“ไม่รู้ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเงาให้กำเนิดเยี่ยจิ่งหานกับผู้ใด รู้เพียงว่าท่านพ่อของเยี่ยจิ่งหานไม่มีทางเป็นจักรพรรดิเยี่ย ในปีนั้นไปเผ่าหยกสงสัยว่าเยี่ยจิ่งหานถือกำเนิดมาจากจักรพรรดิเยี่ยกับเงา เผ่าหยกจึงได้ส่งผู้อาวุโสสูงสุดทั้งหลายไปตรวจสอบด้วยตนเอง รวมถึงการหยดโลหิตทดสอบเพื่อระบุความสัมพันธ์และอื่นๆ……ผลลัพธ์นั้นไม่ใช่……”
“หยดโลหิตระบุความสัมพันธ์ไม่แน่ว่าจะแม่นยำ”
“ใช่สิ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ……ครั้งหนึ่งจักรพรรดิเยี่ยได้รับบาดเจ็บและสูญเสียพระโลหิตมากเกินไปจึงจำเป็นต้องถ่ายพระโลหิตเพื่อช่วยเหลือ ในเวลานั้นใช้โลหิตของเยี่ยจิ่งหานจับคู่กลับเข้ากันไม่ได้ เช่นนั้นเผ่าหยกจึงได้มั่นใจแน่วแน่ว่าเยี่ยจิ่งหานไม่ใช่โอรสขององค์จักรพรรดิเยี่ย”
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว
ถ่ายโลหิต?
จับคู่?
ในสมัยโบราณมีเทคนิคที่ทันสมัยเช่นนี้ด้วยหรือ?
อี้เฉินเฟยยิ้มอย่างอบอุ่น “ภายนอกไม่มีวิชาแพทย์เช่นนี้อยู่แล้ว วิชาแพทย์นี้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของเผ่าหยก ซึ่งไม่ได้ใช้อย่างง่ายดายนัก”
“จริงหรือ……”
เช่นนั้นเผ่าหยกก็เคยมีผู้ที่ทะลุมิติด้วย
“พระสนมอวี้ถูกสังหารในระหว่างการไล่ล่าสังหารและการวางแผนอย่างต่อเนื่องของเงาที่ร่วมมือกับเผ่าเพลิงฟ้า ส่วนองค์จักรพรรดิเยี่ย……เนื่องด้วยเงาทั้งรักทั้งชังในขณะที่เป็นตัวแทนของพระสนมอวี้ก็ได้วางยาพิษที่ค่อยๆออกฤทธิ์ ต่อมาพระวรกายก็ทรุดโทรมลงและสิ้นพระชนม์ด้วยยาพิษ”
“แล้วเยี่ยจิ่งหานหล่ะ? คำสาปโลหิตของเขาถูกเงายับยั้งเอาไว้หรือ?”
“ไม่ใช่ หลังจากที่เงาให้กำเนิดเยี่ยจิ่งหานก็ทิ้งเขาไป พระสนมอวี้ทรงทนไม่ได้จึงได้ทรงเก็บเขามาเลี้ยงดูราวกับเป็นลูกชายของพระองค์เอง พระองค์ทรงกลัวว่าเยี่ยจิ่งหานจะถูกคำสาปโลดิตทรมานและกลัวว่าเขาจะสิ้นใจเร็วจึงได้วางยาพิษเขาเพื่อยับยั้งคำสาปโลหิตเอาไว้”
“เรื่องนี้แม้แต่เงาก็ไม่รู้เนื่องจากท่านกับเยี่ยจิ่งหานเกิดวันเดียวกันทุกคนจึงคิดว่าพวกท่านเป็นพี่น้องแท้ๆกัน พระสนมอวี้และจักรพรรดิเยี่ยเพื่อทรงปกป้องท่านจึงคิดวนไปเวียนมาจนได้วิธีการที่ไร้ซึ่งหนทางและท้ายที่สุดก็ได้แยกท่านกับเยี่ยจิ่งหานออกจากกันและในที่สุดก็ส่งท่านไปยังจวนเสนาบดีก็เพื่อหลีกเลี่ยงการไล่ล่าสังหารจากเผ่าเพลิงฟ้า
“เช่นนั้นแล้วเงาหล่ะ?”
“ไม่รู้ น่าจะถูกพระสนมอวี้สังหารไปแล้ว ก่อนที่พระสนมอวี้จะสิ้นใจต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับเงาอยู่ครั้งหนึ่ง การต่อสู้ในครั้งนั้นท้ายที่สุดเป็นเช่นไรก็ไม่มีผู้ใดรู้ได้ รู้เพียงว่าเงาได้หายไปอย่างสมบูรณ์ในท้ายที่สุดและตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดได้ข่าวคราวของนางมานานหลายปีแล้ว”
อี้เฉินเฟยกล่าวโดยทั่วไปนักแต่กู้ชูหน่วนก็ได้ฟังคร่าวๆแล้ว
แม้ว่านางกับเยี่ยจิ่งหานจะไม่ใช่พี่น้องแท้ๆกัน แต่กลับเป็นศัตรูคู่แค้นที่สังหารท่านพ่อท่านแม่ต่อกัน
อี้เฉินเฟยลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน นางเงยหน้าขึ้นและได้เห็นรอยยิ้มอันอบอุ่นของอี้เฉินเฟย
“อาหน่วน ท่านพี่เฉินเฟยอยากจะบอกเจ้าคำหนึ่งว่าท่านแม่ของเยี่ยจิ่งหานกับเยี่ยจิ่งหานเป็นคนละคนกัน ผู้ที่สังหารท่านพ่อท่านแม่ของท่านก็ไม่ใช้เยี่ยจิ่งหาน นั่นเป็นความโกรธแค้นชิงชังของบรรพบุรุษ เจ้าไม่จำเป็นต้องเพื่อความโกรธแค้นของบรรพบุรุษแล้วโทษเยี่ยจิ่งหานหรือว่าจงใจอยู่ห่างจากเขา ท่านพี่เฉินเฟยมองออกว่าเยี่ยจิ่งหานชอบพอเจ้าจริงๆและเขาก็เป็นบุรุษผู้ที่คู่ควรต่อความไว้วางใจ ท่านพี่เฉินเฟยหวังว่าพวกเจ้าจะมีความสุข ”
กู้ชูหน่วนหัวเราะออกมา
“ข้านั้นสงสัยว่าท่านเป็นคนของเผ่าหยกหรือไม่ เผ่าหยกไม่ได้เกลียดชังเยี่ยจิ่งหานเสียจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเกลียดชังหรอกหรือ?”
“เมื่อเทียบกับเผ่าหยกบางทีข้าอาจจะใส่ใจเจ้ามากกว่า”
ประโยคสั้นๆประโยคหนึ่งทำให้รอยยิ้มของกู้ชูหน่วนชะงัก นางพลิกมือกลับกุมมืออันเย็นชาเล็กน้อยของอี้เฉินเฟยและพิงศีรษะลงบนไหล่ของเขา
“ข้าไม่เคยรู้เลยว่ามีพี่ชายจะรู้สึกดีเช่นนี้”
“เจ้าเด็กโง่” เขาแทบทนไม่ไหวที่จะมอบสิ่งที่ดีที่สุดในใต้หล้าให้กับนาง สิ่งเหล่านี้จะนับอันใดได้
“ท่านแม่ของเยี่ยจิ่งหานไม่ได้นิสัยตรงไปตรงมากล่าวได้ว่าได้ทำร้ายหัวหน้าเผ่าคนก่อนจนเสียชีวิตไป ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดและคนอื่นๆเสียชีวิต ทำให้ธิดาศักดิ์สิทธิ์เสียชีวิตและเกือบจะทำให้เจ้าเสียชีวิตด้วย ผู้อาวุโสทั้งหลายจึงต้องไม่เห็นด้วยเป็แน่ที่เจ้าจะอยู่กับเยี่ยจิ่งหาน ภายหน้าหนทางยากลำบากของเจ้ายังมีอีกมากมายนัก”
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้แววตาของอี้เฉินเฟยก็ไม่สามารถซ่อนความวิตกกังวลเอาไว้ได้
“มีท่านพี่เฉินเฟยสนับสนุนข้าแล้วข้าจะหวาดกลัวสิ่งใด?”
“กลัวว่า……ข้าไม่สามารถที่จะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป ภายภาคหน้าหากข้าไม่อยู่เจ้าจะต้องดูแลตนเองให้ดี อย่าได้หุนหันพลันแล่นในทุกๆเรื่องและเห็นแก่ความปลอดภัยของตนเป็นสำคัญ”
“คำพูดนี้ของท่านเหตุใดข้าได้ยินแล้วรู้สึกแปลกยิ่งนัก? ท่านไม่ได้ต้องการที่จะกระทำสิ่งใดอยู่ใช่หรือไม่?”
“ข้าจะทำสิ่งใดได้เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงในใต้หล้านี้ช่างมากมายนัก ข้าเองก็ไม่กล้ารับประกันได้ว่าจะสามารถอยู่ข้างเจ้าได้ตลอดไป นอกจากนี้ผู้เดียวที่จะสามารถอยูาเคียงข้างเจ้าได้ก็คือสามีของเจ้า ท่านพี่เช่นข้าจะนับอันใดได้”
“ตำแหน่งของท่านพี่เฉินเฟยในใจของข้าไม่มีผู้ใดที่สามารถสั่นคลอนได้”
“จอมมารและเซี่ยวอวี่เซวียนก็มีความรักอันลึกซึ่งกับเจ้าเช่นเดียวกันโดยเฉพาะจอมมาร เขาดูไม่น่าเชื่อถือแท้จริงแล้วละเอียดมากกว่าผู้ใดและห่วงใยเจ้ามากกว่าผู้ใด ภายภาคหน้าหากเจ้าพบเจอภยันตรายใดสามารถไปขอให้เขาช่วยเหลือได้ เชื่อว่าเพียงแค่เจ้าเอ่ยปาก ไม่ว่าเจ้าจะเอ่ยคำขอใดเขาก็รับปากทั้งนั้น”
“ข้าไม่ชอบน้ำเสียงของท่านในตอนนี้ราวกับว่าพูดจาฝากฝัง”
กู้ชูหน่วนคลายอี้เฉินเฟยออกจากนั้นหันหลังและต้องการจากไป
อี้เฉินเฟยกุมมือเล็กของนางอีกครั้งพร้อมคำอ้อนวอนอันน้อยนิดในคำพูดอันแสนอบอุ่น
“ท่านพี่เฉินเฟยไม่ได้พูดคุยเปิดอกกับเจ้ามานานมากแล้ว วันนี้อยู่คุยกับข้าให้ดีดีหรือไม่?”
กู้ชูหน่วนรีบร้อนที่จะไปดูเยี่ยจิ่งหาน แต่น้ำเสียงและท่าทางของอี้เฉินเฟยทำให้นางไม่สามารถปฏิเสธได้
“วันนี้ท่านพี่เฉินเฟยดูเหมือนว่าจะพูดจามากมายเป็นพิเศษ”
“อาจเนื่องด้วยนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานานเกินไปและข้างกายก็ไม่มีสหายที่สามารถพูดคุยด้วยได้ ตอนนี้ร่างกายดีขึ้นบ้างแล้วจึงอดพูดคุยไม่ได้แล้ว”
“ก็ได้ งั้นคืนนี้ข้าจะชมจันทร์เป็นเพื่อนท่าน”
“ได้”
“ท่านพี่เฉินเฟย ท่านรู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่ว่าเยี่ยจิ่งหานกับข้าไม่ใช่พี่น้องแท้ๆกัน ดังนั้นพวกเราแต่งงานจนกระทั่งมีความสัมพันธ์กัน……ท่านจึงไม่เคยขัดขวางเลย”
“อืม”
“งั้นเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายหล่ะ เหตุใดผู้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่ได้ขัดขวาง พวกเขาไม่ได้เกลียดชังเยี่ยจิ่งหานหรอกหรือ? เหตุใดจึงยอมให้ข้าอยู่กับเขาได้?”
“เจ้าฉลาดหลักแหลม กระทำสิ่งใดก็มีแผนการณ์ของตนอยู่แล้ว ผู้อาวุโสทั้งหลายไม่รู้ว่าเจ้าสูญเสียความทรงจำจึงคิดว่าเจ้าแต่งงานกับเยี่ยจิ่งหานโดยมีจุดประสงค์อื่นดังนั้นพวกเขาจึงไม่เข้าไปก้าวก่าย ต่อมาเมื่อผู้อาวุโสทั้งหลายรู้ก็สายเกินไปซะแล้ว”
“เช่นนั้นข้าเป็นธิดาของจักรพรรดิเยี่ยเหตุใดพระองค์ถึงได้ให้ข้าแต่งงานกับเจ๋ออ๋องหล่ะ?”
นางจำได้ว่าขณะที่เพิ่งข้ามมิติมา การแต่งงานของนางกับเจ๋ออ๋องยังไม่ได้ล้มเลิกไป
“เจ้าเด็กโง่ นั่นก็แค่การเสแสร้งเพียงเท่านั้น องค์จักรพรรดิเยี่ยจะทรงให้เจ้าแต่งงานกับเจ๋ออ๋องได้อย่างไร พระราชโองการอีกฉบับอยู่ที่ข้านี่ หากว่าเรื่องราวพัฒนาไปทางนั้นข้าก็จะนำพระราชโองการถอดถอนการอภิเษกออกมาเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่ว่าดูในตอนนี้แล้วพระราชโองการฉบับนั้นก็ไร้ซึ่งประโยชน์แล้ว”
“ท่านก็ช่างเลวเกินไปแล้ว ปิดบังข้าไว้เป็นเวลานานเช่นนั้นและมองดูข้าทุกข์ทรมานอยู่นานเช่นนั้น”
“ขอโทษด้วย ท่านพี่เฉินเฟยไม่ได้คุ้มครองเจ้าให้ดีทำให้เจ้าต้องทนทุกข์ทรมานมากมายเช่นนั้น”
“ไม่มีหรอก ในใต้หล้านี้มีเพียงข้ารังแกผู้อื่นไหนเลยจะมีผู้อื่นมารังแกข้าได้ แต่เป็นท่านท่านรู้ตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่ว่าข้าสูญเสียความทรงจำไป
“ก็ประมาณนั้น”
อี้เฉินเฟยหยิบขนมเปี๊ยะดอกไม้สองสามชิ้นวางไว้ในมือของกู้ชูหน่วนจากนั้นยิ้มและกล่าวว่า “ขนมเปี๊ยะเหล่านี้ได้รับการจัดทำขึ้นเป็นพิเศษดังนั้นทิ้งไว้สักสิบวันครึ่งเดือนก็ไม่เสีย แต่ละรสชาติข้าได้ทำขึ้นหลายชิ้น เจ้าใส่ไว้ในวงแหวนอวกาศเมื่อต้องการกินก็นำออกมา”
“ท่านทำขนมเปี๊ยะมากมายเช่นนี้ทำไมกัน?”
บทที่ 690