กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 769
ชิงเฟิงเองก็กลัวว่าหากกู้ชูหน่วนตกอยู่ในอันตราย และตนก็รายงานล่าช้า นายท่านจะต้องเสียใจไปชั่วชีวิตแน่
ผู้อาวุโสหกเวียนม้า จึงวิ่งไปอาเจียนอยู่ข้างๆ
เดิมทีเขาอยากเข้าไปพบเยี่ยจิ่งหานพร้อมกับชิงเฟิงด้วย
ทว่ารู้สึกวิงเวียนมาก จึงได้คลื่นไส้อยู่ตลอดเวลา
ทำได้เพียงกังวลอยู่ในใจ และรอให้พวกเขาออกมาโดยเร็ว
มินานนัก ชิงเฟิงก็ออกมา ทว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่ออกมาเท่านั้น เยี่ยจิ่งหานมิได้ออกมาด้วย
สีหน้าของชิงเฟิงไม่สู้ดีนัก วาจาน้ำเสียงก็ไม่ดีด้วย
“นายท่านของข้ามีกิจธุระ จึงมิสามารถไปเผ่าหยกได้ และไม่มีเวลาว่างที่จะพบท่านขอรับ”
ผู้อาวุโสหกมึนงงในบัดดล
“เจ้าว่าอย่างไรนะ? นายท่านของเจ้าไม่ไปที่เผ่าหยก และไม่สนว่าอาหน่วนจะอยู่หรือจะตาย เขาชอบอาหน่วนมากมิใช่หรือ? เจ้าได้บอกเขาหรือไม่ว่าอาหน่วนตกอยู่ในอันตราย?”
“บอกแล้วขอรับ”
“ข้าไม่เชื่อ เจ้าพาข้าเข้าไป ข้าจะไปบอกกับเขาด้วยตัวเอง”
“นายท่านยุ่งมากขอรับ ไม่ว่างพบท่าน”ชิงเฟิงกล่าวซ้ำอีกครั้ง
เขาก็นึกว่าหากนายท่านได้ทราบว่าพระชายาตกอยู่ในอันตราย ก็คงจะวิ่งมุ่นไปเผ่าหยกโดยไม่สนใจสิ่งต่างๆ แล้ว
ทว่านายท่านเพียงแค่ชะงักไปเล็กน้อย ไม่มีท่าทีใดๆ มากกว่านี้ และไม่มีทีท่าว่าจะไปเผ่าหยกเลย
เขากล้าสงสัยได้เลย ไม่ก็พระชายาทำร้ายจิตใจของนายท่านจนไม่เหลือซากแล้ว หรือไม่ก็คนพวกนี้จงแกล้งนายท่านเอาสนุกเท่านั้น
นางเป็นหัวหน้าเผ่าหยก ซึ่งมีอำนาจเหนือโลก สามารถพลิกเมฆบังฝนได้
เผ่าเพลิงฟ้าก็ถูกทำลายไปแล้ว บนโลกนี้ยังมีใครที่สามารถทำร้ายนางได้อีก
ต้องเป็นไอ้สารเลวของเผ่าหยกพวกนี้จงใจหาเรื่องนายท่านอีกเป็นแน่
“จริงๆ เลย จริงๆ เลย อาหน่วนมีความรู้ต่อเขาอย่างลึกซึ้ง แต่เขากลับไม่สนใจไยดี ข้าว่าแล้ว แม่ของเขาเป็นอย่างไร เขาก็เป็นอย่างนั้น”
“บังอาจ ท่านกล้าใส่ร้ายนายท่านงั้นหรือ แม้นท่านจะเป็นผู้อาวุโสของเผ่าหยกก็ตามแต่ นายท่านของข้าเป็นมีสูงศักดิ์ ไม่ใช่คนที่ท่านจะมาใช้คำสกปรกใส่เยี่ยงนี้ได้”
“เอื๊อก สูงศักดิ์อะไรกัน ก็เป็นแค่ลูกชายที่บ่าวรับใช้เลวทรามคลอดออกมาเท่านั้นแหละ”
“ทหาร จับตัวเขาซะ”
ชิงเฟิงโกรธจัด โบกมือและลงมือทันที
เขาทนเผ่าหยกมานานมากแล้ว
หลายปีมานี้ เผ่าหยกคอยแต่สร้างความเดือดร้อนให้กับนายท่าน แต่นายท่านก็มิได้ทำอะไรต่อเผ่าหยก เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีต ทว่าเผ่าหยกกลับยิ่งอยู่ยิ่งทำให้ผู้อื่นรู้สึกคลื่นไส้จริงๆ
“โครม…”
ผู้อาวุโสเพียงแค่ฟาดออกไปหนึ่งหมัด ก็ทำให้องครักษ์เหล่านั้นกระเซ็นออกไปในทันที
.
เขาเองก็มีไฟเต็มท้องเช่นกัน
เดิมทีเวลาก็เร่งรีบพอแล้ว แต่ก็ถูกบ่าวรับใช้รังควานไม่หยุดหย่อน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อาหน่วนก็คงถวายชีพสำเร็จแล้ว
ผู้อาวุโสพลางพุ่งเข้าไปหาพลางตะโกน
“เยี่ยจิ่งหาน เจ้าออกมานะ ไอ้คนขี้ขลาด อาหน่วนตกอยู่ในอันตราย แต่เจ้าเพียงแค่ทำรังอยู่ในจวนอ๋อง เจ้าเป็นสามีประสาอะไร”
“เยี่ยจิ่งหาน เจ้าได้ยินหรือไม่ ไสหัวออกมาประเดี๋ยวนี้แล้วกลับเผ่าหยกกับข้า เยี่ยจิ่งหาน”
“…”
ผู้อาวุโสหกตะโกนเสียงดังฟังชัด อย่าว่าแต่เยี่ยจิ่งหานจะได้ยินเลย
คนทั้งจวนก็ได้ยินหมดแล้ว
ณ ห้องนอนอันหรูหราห้องหนึ่งในจวนอ๋อง
เยี่ยจิ่งหานกำลังกุมหัวใจของตนอยู่ มิกล้าไอออกมา
สีหน้าของเขาซีดเซียว ไร้สีเลือดใดๆ ลมหายใจก็อ่อนแรงกว่าปกติ
เส้นผมอันเงาลื่นดั่งน้ำหมึกนั้น มิรู้กลายเป็นสีขาวบาดตาไปทั้งศีรษะตั้งแต่เมื่อใด
อาจเป็นเพราะบาดเจ็บหนัก แม้แต่ยืนก็ยังลำบาก ทำได้เพียงนั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น
เจี้ยงเสวี่ยคอยพยุงเยี่ยจิ่งหานอยู๋ข้างๆ เมื่อได้ยินผู้อาวุโสหกคอยดุด่านายท่านของเขาด้วยคำพูดสกปรกเพียงนั้น
เจี้ยงเสวี่ยจึงกล่าวว่า “ให้ข้าน้อยเรียกผู้พิทักษ์ชั้นยอดออกมานำตัวตาเฒ่านั้นออกไปนะขอรับ”
“เรื่องที่ให้เจ้าไปสืบหา เป็นอย่างไรบ้าง? นาง…ตกอยู่ในอันตรายจริงหรือไม่?”
“สายลับส่งสารกลับมาบอกว่า พระชายาปลอดภัยดี ไม่มีอันตรายใดๆ ขอรับ บัดนี้นางเป็นหัวหน้าเผ่าหยกแล้ว คนในเผ่าต่างก็เคารพนางมากขึ้น ตอนนี้เผ่าหยกเองก็ไม่มีศัตรูอะไร พระชายามิควรจะตกอยู่ในอันตรายถึงจะถูกขอรับ”
“ไม่ตกอยู่ในอันตราย แล้วเหตุใดผู้อาวุโสถึงเป็นกังวลนัก อาจจะเกิดเรื่องกับนางจริงๆ ก็เป็นได้ เตรียมตัวแล้วตามข้าไปเผ่าหยก”
“นายท่าน ท่านสู้กับเหวินเส่าอี้จนได้รับบาดเจ็บเพียงนี้ หมอก็กำชับแล้วกำชับอีก ว่าท่านต้องไม่ลุกเดินออกจากเตียงเป็นอันขาด ยิ่งไม่สามารถออกจากจวนอ๋องได้ มิเช่นนั้น…มิเช่นนั้นเกรงว่าจะไม่รับประกันชีวิตของท่านได้”
เมื่อนึกถึงการสู้รบขั้นสูงสุดระหว่างนายท่านกับเหวินเส่าอี้แล้ว เจี้ยงเสวี่ยก็มีความรู้สึกล้นหลาม
ศึกครั้งนั้นสู้กันอย่างดุเดือด นายท่านและเหวินเส่าอี้ต่างก็พ่ายแพ้และบาดเจ็บสาหัส ลมหายใจถี่
ตอนที่พวกเขาหาตัวนายท่านพบ เกือบจะช่วยชีวิตนายท่านกลับมามิได้แล้ว
พวกเขาเรียกหมอที่เก่งกาจที่สุดบนโลกใบนี้มาหมด หมอนับสิบคนช่วยกันรักษาเขาเป็นเวลาหลายวันหลายคืน ถึงได้ช่วยชีวิตจากประตูวิญญาณได้
ทว่าระหว่างนี้ พระชายากลับไม่ปรากฏตัวเลยแม้เพียงครั้งเดียว
เขายังรู้สึกไม่คุ้มค่าแทนนายท่าน
หากมิใช่เพราะไปกำจัดเหวินเส่าอี้แทนนาง นายท่านจะบาดเจ็บสาหัสเพียงนี้หรือ?
คำสาปโลหิต…
ไอ้คำสาปโลหิต…
คำสาปโลหิตนั้นมิสามารถปลดออกได้
นายท่านเองก็…เหลือเวลาไม่มากแล้วเช่นกัน
เยี่ยจิ่งหานจะสนใจร่างกายของตนได้อย่างไรกัน
เขาสนใจเพียงแค่กู้ชูหน่วนตกอยู่ในอันตรายจริงหรือไม่เท่านั้น
แม้นจะต้องคลาน เขาก็ต้องคลานไปยังเผ่าหยก เพื่อดูด้วยตาตัวเองว่านางไร้กังวลให้จงได้
เยี่ยจิ่งหานฝืนลุกขึ้นยืน และก็ล้มลงไปเพราะบาดเจ็บนัก
“ไปเรียกซูมู่มาที” เยี่ยจิ่งหานกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา
บริเวณไม่ไกลนัก มีเสียงอันเกียจคร้านค่อยๆ ดังออกมาพร้อมกับเงาร่างสีฟ้า “เรียกข้ามาก็ไร้ประโยชน์ ร่างกายอันทรุดโทรมของเจ้า เจ้าคิดหรือว่าเจ้ายังเป็นท่านอ๋องเทพแห่งสงครามในอดีต?”
“คิดหาวิธีให้ข้าฟื้นฟูพละกำลังและร่างกายของข้าซะ ข้าจะไปเผ่าหยก”
“ไม่มีวิธี”
ซูมู่ผ่ายมือออก เขาดึงแขนเสื้อขึ้นอย่างสง่างาม แล้วนั่งลงอยู่ตรงหน้าเยี่ยจิ่งหาน จากนั้นก็หยิบผลไม้บนโต๊ะกินอย่างไม่เกรงใจ
“สามารถช่วยชีวิตน้อยๆ ของเจ้าให้มีชีวิตอยู่ได้หนึ่งเดือน ก็ดีมากโข่แล้ว เจ้ายังคิดจะฟื้นฟูพละกำลังอีกงั้นหรือ ฝันไปเถอะ”
เยี่ยจิ่งหานจ้องมองซูมู่ด้วยสายตากริ้วโกรธ และลุกขึ้นด้วยความโกรธ
“อย่าจ้องข้า จ้องข้าไปก็ไร้ประโยชน์ อย่าลืมล่ะว่าเจ้าเปลี่ยนเส้นลมปราณ ทำให้พลังอยู่ในจุดสูงสุด ก่อให้คำสาปโลหิตกำเริบก่อน เพียงเพื่อสู้กับเหวินเส่าอี้ ตอนนี้เจ้ามีชีวิตได้มากที่สุดเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น”
อารมณ์โกรธของเยี่ยจิ่งหานจางลงมาก
สีหน้าของเขาย่ำแย่
ใช่
เขาเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้นแล้ว
เขาจะไปหากู้ชูหน่วนทำไมกัน?
อย่าพูดถึงเรื่องที่เขากับกู้ชูหน่วนเป็นพี่น้องแท้ร่วมบิดามารดาเลย
และอย่าพูดถึงคนที่กู้ชูหน่วนรักคืออี้เฉินเฟย แต่ไม่ใช่เขาเลย
ลำพังแค่ร่างกายของเขา เขาก็ไม่สมควรจะอยู่ข้างกายกู้ชูหน่วนแล้ว
“นางตกอยู่ในอันตราย”
“นางตกอยู่ในอันตรายแล้วเจ้าจะช่วยนางได้หรือ? เจ้าจะสามารถเปลี่ยนเส้นลมปราณ และฝืนเพิ่มวรยุทธ์ให้สูงอีกหรือ? เผ่าหยกนั้นฝีมือเก่งกาจ หากเป็นเรื่องที่พวกเขายังมิสามารถจัดการได้ เจ้าไปแล้วอย่างไรกัน”
“หรือว่า…เจ้าอยากให้กู้ชูหน่วนรู้ว่าเจ้าเหลือเวลาเพียงหนึ่งเดือนแล้ว อยากจะให้กู้ชูหน่วนกลับสู่อ้อมกอดแล้วจากไป เสียใจแทนเจ้า เจ็บปวดแทนเจ้า และคอยอยู่เคียงข้างเจ้างั้นหรือ?”
ซูมู่กระพริบตาใส่เยี่ยจิ่งหานอย่างคลุมเครือ
แม้นภายนอกเขาจะดูเยาะเย้ยถากถางสังคม แต่ความจริงแล้วเขาก็เจ็บปวดแทนเยี่ยจิ่งหานเช่นกัน
พิศของคำสาปโลหิต เขากลับมายังโลกโดยไร้วิชา มิสามารถปลดมันออกได้
ทำได้เพียงสำเร็จเส้นทางอันสั้นอยู่เคียงข้างเขา
“…”
เยี่ยจิ่งหานปล่อยมืออย่างสิ้นหวัง
เขากดความกังวลไว้อยู่ในใจอย่างบังคับ แล้วหลับตาลงอย่างเจ็บปวด
“ไปสืบหาเกี่ยวกับนางมาอีก สืบให้ละเอียด ไม่เว้นแม้แต่อย่างเดียว”
“ขอรับ” เจี้ยงเสวี่ยตอบตกลงและหายไปจากประตู
ซูมู่กล่าว “ช่างเถิด ใครให้ข้าเป็นสหายของเจ้าล่ะ หากเจ้าเป็นห่วงนางจริงๆ ข้าจะไปเผ่าหยกกับเจ้า”
“มิจำเป็นแล้ว เพียงแค่ความสามารถของนาง ข้าเชื่อว่านางจะไม่ตายอย่างง่ายดายแน่นอน”
ทว่าเขา…
ก่อนถึงวาระนั้น ให่ตนได้ตายไปอย่างสงบโดดเดี่ยว ดีกว่าต้องให้นางเจ็บปวดไปพร้อมกันเสียอีก