กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 837
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 837
คำพูดของกู้ชูหน่วนเหมือนจะตอบ แต่ก็ราวกับไม่ตอบ
เซี่ยวอวี่เซวียนไม่ได้รับคำตอบที่ชัดเจนจากนางเช่นกัน
สีหน้าที่ผิดหวังของเขาจ้องมองไปที่กองไฟและฟังเสียงฟืนแตกเป็นประกายไฟ
ทันใดนั้น ร่างกายที่เย็นยะเยือกของเขาถูกกอดรัด และกลิ่นสมุนไพรจางๆ ของผู้หญิงก็ติดอยู่ที่ปลายจมูกของเขา
เซี่ยวอวี่เซวียนคิดอยากจะผลักออก แต่ภาพในตอนกลางวันกู้ชูหน่วนพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อช่วยชีวิตเขาอย่างไม่คิดชีวิต และใช้ร่างกายของตัวเองเพื่อปกป้องเขาจากอันตรายก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ในที่สุดเซี่ยวอวี่เซวียนก็ใจอ่อนและปล่อยให้นางกอดไว้
ฟังเสียงบ่นพึมพำของนาง
“หากมีวันนั้นจริง ข้าจะอยู่ด้วยกันกับเพื่อนของข้า เพราะทั้งครอบครัวถูกทำลาย เพื่อนของข้าจะต้องอ่อนแอที่สุด วันที่เจ็บปวดที่สุด เขาจะต้องคาดหวังว่ามีใครสักคนคอยอยู่ข้างกายของเขาตลอดเวลา ส่วนคนเหล่านั้น ไม่ต้องการก็ได้ คนที่ทำร้ายเพื่อนที่รักและสำคัญกับข้ามากที่สุด เขาคงไม่จริงใจกับข้าเท่าไรนักหรอก”
“หากเขาถูกบังคับ จึงฆ่าสังหารพวกคนของเจ้าไปกว่าสามร้อยคนล่ะ……”
“หากเขาไม่ยอม มีวิธีนับพันนับหมื่น จะมีการบังคับหรือไม่บังคับอะไรกัน สามร้อยกว่าชีวิตเชียวนะ จะบอกว่าถูกบังคับก็จบอย่างนั้นหรือ จากนิสัยของข้า ข้าจะพาเขามายังต่อหน้าพรรคพวกของข้าและให้พวกเขาจัดการ ฆ่าคน……ก็ต้องแลกด้วยชีวิต”
“เอิ่ม……”
เซี่ยวอวี่เซวียนที่ดูเข้มแข็งมาตลอดก็ทนต่อไปไม่ได้และร้องไห้ออกมา
เขายิ้มอย่างขมขื่น
“หากนางมีวิธีคิดเช่นเดียวกับเจ้าแม้เพียงน้อยนิดก็คงจะดี” แม้เพียงยืนอยู่ข้างกายเขา……แม้เพียงแค่อยู่กับเขา……
น่าเสียดาย……
คนที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุด สุดท้ายกลับทำร้ายเขาลึกที่สุด
กู้ชูหน่วนกอดเขาแน่น
ภายใต้แสงจันทร์ ผู้หญิงและผู้ชายกอดรัดกันแนบแน่น ราวกับกิ่งทองใบหยก
ศีรษะของเซี่ยวอวี่เซวียนแนบอิงไปที่อ้อมอกของกู้ชูหน่วนและส่งเสียงสะอื้น
เขาร้องออกมาอย่างฝืนทนและกัดริมฝีปากไม่ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ออกมา
เพียงแต่ว่าไหล่ของเขาสั่น สั่นสะท้านอย่างรุนแรง
กู้ชูหน่วนลูบหลังของเขาอย่างต่อเนื่องและพูดปลอบ “อยากร้องก็ร้องออกมาเถอะ ข้าให้เจ้ายืมไหล่ของข้าเพื่อพิง”
เมื่อได้ร้องไห้ออกมา ทำให้เรื่องทุกข์ทรมานทั้งหมดตลอดสามปีที่ผ่านมาร้องไห้จนหมด
สามปีมานี้ เขาผ่านมาท่ามกลางความรักและความเกลียดชัง ทุกวันที่ผ่านไปแทบเหมือนตายทั้งเป็น
เขาคิดอยากฆ่ากู้ชูหน่วนด้วยมือของเขาเอง
และอยากทำให้นางฟื้นและเห็นนางใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมานของน้ำแข็งและไฟที่ไม่มีใครสามารถเข้าใจได้
แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่สามารถเข้าใจได้
ไม่รู้ว่าสามปีมานี้ที่เขาใช้ชีวิตผ่านมา พยายามทำทุกอย่างเพื่อหาทางชุบชีวิตของนาง เพราะอยากจะฆ่านางหรือเพราะว่าอยากให้นางฟื้นขึ้นมา
ยิ่งเขาเก็บกลั้นเสียงร้องไห้ไว้เช่นนี้
กู้ชูหน่วนยิ่งรู้สึกสงสารเขา
ถึงแม้ว่าเซี่ยวอวี่เซวียนอยากจะฆ่านาง ทำให้นางรู้สึกใจแข็งอยู่ครู่หนึ่ง
แต่นางรู้ว่าผู้ชายคนนี้ภายนอกเป็นคนดื้อรั้น แต่ภายในกลับเปราะบาง
สามร้อยกว่าชีวิตล้วนต่างถูกฆ่าตาย
คนที่สำคัญที่สุด ไม่ได้ข้างกายของเขา แต่กลับยืนอยู่อีกฝั่ง นับว่า……ทำให้รู้สึกแย่อย่างมาก
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร เซี่ยวอวี่เซวียนจึงเงยหน้าขึ้นและเช็ดน้ำตา
“ขอโทษที่ทำให้เจ้าเห็นข้าเช่นนี้
“ไม่มีปัญหา เพียงแค่เจ้าต้องการแนบพิง ไหล่ของข้าจะอยู่ตรงนี้เสมอ เพื่อเจ้าเพียงคนเดียวเท่านั้น”
ร่างกายของเซี่ยวอวี่เซวียนสั่นสะท้านและจ้องมองไปที่นาง
กู้ชูหน่วนกล่าว “ทำไมหรือ ใบหน้าของข้ามีอะไรอย่างนั้นหรือ? หรือถูกลมพายุพัดหน้าเสียโฉมไปแล้ว”
“ไม่มีอะไร ขอบใจเจ้ามาก เจ้าจำคำพูดของเจ้าให้ดี ไหล่ของเจ้าจะอยู่ตรงนี้เสมอเพื่อข้า”
“แน่นอน”
ทั้งสองหัวเราะให้กัน รอยยิ้มนี้ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น
นี่คือความเชื่อมั่นและมิตรภาพที่ฝังเข้าไปยังไขกระดูก
กู้ชูหน่วนไม่มีอะไรเลย แต่ยาอายุวัฒนะนั้นมีไม่น้อย
มียาอายุวัฒนะของนาง ทำให้อาการบาดเจ็บของทั้งสองคนดีขึ้นมาก แต่ยังสาหัสอยู่
การเปิดหุบเขาสัตว์เทพนั้นมีเวลากำจัด เซี่ยวอวี่เซวียนไม่กล้าอยู่นาน เขาจำเป็นต้องคิดหาวิธีเพื่อจะหาสิ่งของที่เขาอยากได้เจอ เพื่อจะได้รวบรวมดวงวิญญาณของแม่สาวอัปลักษณ์ได้ครบ
กู้ชูหน่วนยิ่งไม่อยากเสียเวลาอยู่ที่นี่ ไม่ง่ายเลยที่จะได้เข้ามายังที่นี่ นางจึงอยากหาสมบัติเล็กน้อย เพื่อจะได้เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง
ภายนอกถ้ำ ไม่รู้ว่าพายุได้หยุดลงเมื่อไร
นักสังหารชุดดำฝีมือความสามารถระดับห้ายังคงไม่เข้ามา
พวกเขาไม่กล้าออกจากซากปรักหักพังโบราณโดยพลการ เพราะกลัวจะเจอกับคนเหล่านั้น และทำได้เพียงค้นหาสมบัติบริเวณโดยรอบซากปรักหักพังโบราณ
อาณาเขตของซากปรักหักพังโบราณนั้นมีขนาดใหญ่มาก ทิวทัศน์และการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศก็กว้างมากเช่นกัน
ที่นี่ยังเป็นทะเลทราย แต่ในทันใด มันคือภูเขาหินป่ารกร้าง หรืออาจเป็นป่าหมอกที่มีชั้นของภูเขา
เซี่ยวอวี่เซวียนกุมหน้าอกที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและหยุดการเคลื่อนไหว “อากาศของที่นี่ผิดปกติไป”
กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้นมอง สิ่งที่เห็นทั้งหมดคือทุ่งหญ้าที่ราบเรียบว่างเปล่า
มีเสียงกึกก้องบนพื้นราวกับว่าสัตว์ร้ายนับหมื่นกำลังเคลื่อนเข้ามา
เพียงแต่เสียงสัตว์ร้ายนับหมื่นนั้นยิ่งห่างไกลพวกเขาออกไปและไม่ได้พุ่งโจมตีมายังพวกเขา
“เจ้าพาเจ้าเสือน้อยออกไปจากซากปรักหักพังนี้ก่อนเถอะ จำได้ว่าหนีออกไปทางทิศตะวันตก”
“อยากหนี ไม่ทันแล้ว”
ด้วยเสียงคำรามกึกก้องของสัตว์ร้ายที่อยู่ไม่ไกล วัวสีน้ำตาลดำจำนวนหนึ่งวิ่งมาอย่างดุเดือด ทำให้เกิดฝุ่นตลบ
มีวัวขนาดมหึมาจำนวนสามตัว หนึ่งในนั้นมีเขางอกออกมาถึงเก้าเขาและมีดวงตาเฉียบแหลม สามารถพูดภาษาคนได้ อีกสองตัวนั้นมีสี่เขา จากนั้นพวกมันพากันใช้เขาของมันปิดล้อมกู้ชูหน่วนด้วยรูปทรงสามเหลี่ยม
กู้ชูหน่วนและเซี่ยวอวี่เซวียนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง
เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นวัวยักษ์มีเก้าเขา
“กระทิงไฟเก้าเขา” เซี่ยวอวี่เซวียนกล่าวด้วยเสียงต่ำ
กระทิงไฟเก้าเขาแสดงทีท่าหยิ่งผยองออกมา
“มนุษย์ นับว่าเจ้าฉลาดอยู่บ้าง แต่พวกเจ้าไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะบุกรุกเข้ามายังดินแดนของข้า และไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะสนใจในสมบัติของข้า”
กู้ชูหน่วนกล่าว “เสี่ยวเซวียนเซวียน ปีศาจกระทิงเหล่านี้มีระดับความสามารถที่เท่าไรหรือ?”
“กระทิงไฟเก้าเขามีความสามารถระดับขั้นสูงสุดระดับสี่ อีกสองตัวที่เหลือมีความสามารถระดับสาม”
“เพียงแค่ความสามารถระดับสี่ มาอวดดีอะไรที่นี่”
เดิมทีคำว่าปีศาจกระทิงของกู้ชูหน่วน ทำให้กระทิงไฟเก้าเขารู้สึกเป็นที่ยกย่อง และรู้สึกว่าชื่อปีศาจกระทิงนี้ช่างยิ่งใหญ่และมีอำนาจเหมาะสมกับลักษณะของมัน
อย่างไรก็ตาม การยิ้มเยาะเย้ยของกู้ชูหน่วนส่งผลต่อมันอย่างมาก
“มีความสามารถเพียงระดับสอง กลับกล้าทำเช่นนี้กับข้า วันนี้หากไม่จัดการพวกเจ้าให้เละ ข้าไม่ขอเป็นกระทิงอีกต่อไป”
“ฮึ เป็นเพียงเจ้ากระทิงโง่เง่า ต่อให้พูดภาษาคนได้แล้วจะทำไม เชื่อหรือไม่ ข้าเพียงแค่ปล่อยเจ้าเสือน้อยออกไปก็สามารถจัดการพวกเจ้าได้อย่างราบคาบ”
“หยิ่งยโส”
“เช่นนั้นมาประลองสักตั้งหนึ่งดู?”
“เจ้าสาม เจ้าประลอง จัดการผู้หญิงคนนี้และผู้ชายคนนี้ รวมไปถึงเจ้าเสือตัวนั้นด้วย วันนี้ข้าจะกินไขสมองของพวกเขา”
หนึ่งในกระทิงสี่เขาส่งเสียงคำรามเพื่อตอบรับ จากนั้นพุ่งตัวไปข้างหน้าด้วยขาหน้าและยกขาหลังขึ้น จากนั้นพุ่งเข้าใส่อย่างดุเดือดด้วยเขาทั้งสี่ เมื่อมันพุ่งเข้ามา มีไฟลุกโชนเป็นกลุ่มก้อนลุกโชนจนแทบไม่สามารถลืมตาขึ้นได้
กู้ชูหน่วนโยนเจ้าเสือน้อยออกไปและหาที่ปลอดภัย จากนั้นลากเซี่ยวอวี่เซวียนให้นั่งลงอย่างช้าๆ และชมทิวทัศน์ทุ่งหญ้าอย่างสบายใจ
เสียงกระทิงไฟเก้าเขาหัวเราะเย้ยหยันดังก้องในหู
“เป็นเพียงแค่เสือที่เพิ่งเกิดออกมา แต่ยังกล้าเอาออกมาไม่รู้จักอายเลยหรือ คืนนี้ข้าจะกินเนื้อลลูกเสือให้ดู”
“ตุ่บ……”
“ผลุบ……”
กระทิงไฟเก้าเขาพูดจบ กระทิงไฟสี่เขาก็ได้กระเด็นออกไป ร่างกายของมันมีไฟลุกโชนจนเกือบจะเผาตัวเองจนสุก
และเมื่อมองดูเจ้าเสือน้อย มันกำลังมองไปยังกระทิงไฟสี่เขาด้วยความไร้เดียงสา
นี่……
เกิดอะไรขึ้น?
เจ้าสามปล่อยไฟออกไปไม่ระวังจึงเผาไหม้ตัวเองอย่างนั้นหรือ?