กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 851
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 851
สีหน้าของราชากระทิงไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความโกรธ
“แม่หนู เจ้าเข้าใจภาษาสัตว์?” ท่านผู้เฒ่าหนิงไม่ได้ถาม แต่แน่ใจ
กู้ชูหน่วนลูบจมูกของตัวเอง “ดูเหมือนว่าจะเข้าใจอยู่บ้าง”
นางก็ไม่รู้ว่าทำไม นางถึงเข้าใจสิ่งที่อสุรกายเหล่านี้พูด
“แม่นาง แม้ว่านิกายเทพสวรรค์ของพวกเราที่ดินแดนวิญญาณเยือกแข็งจะไม่ดีเท่ากับสี่ตระกูลใหญ่ แต่ก็มีหน้ามีตา และเป็นนิกายที่ไม่เป็นสองรองใคร เจ้าสนใจจะเข้าร่วมนิกายเทพสวรรค์ของพวกเราหรือไม่ ขอเพียงแจ้ายอมเข้าร่วม ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์คนสุดท้าย” ผู้นำนิกายเทพสวรรค์กล่าว
“นิกายเทพสวรรค์มีอะไรดี พวกเราพรรคนกฮูกไม่ว่าจะอำนาจ วรยุทธ์ และสถานะ ล้วนแต่สูงส่งกว่าพวกเขามากนัก หากเจ้าเข้าร่วมกับพรรคนกฮูกของเรา ข้าจะให้เจ้าเป็นปรมาจารย์ ว่าอย่างไร?”
“ไม่ว่าพรรคนกฮูกจะแข็งแกร่งเพียงใด ก็ไม่สามารถเทียบกับสำนักคุนซานของเราได้ สำนักคุนซานของเรามีการสืบทอดมานับพันปี แม้แต่สี่ตระกูลใหญ่ก็ไม่สามารถทำอะไรพวกเราได้ เจ้าเข้าร่วมสำนักคุนซานของพวกเราจะดีกว่า พวกเราจะฝึกฝนให้เจ้าเป็นผู้ที่ไม่เป็นสองรองใครในดินแดนวิญญาณเยือกแข็งอย่างแน่นอน”
“……”
เมื่อเห็นว่ากู้ชูหน่วนอายุยังน้อย แต่ความแข็งแกร่งของนางบรรลุระดับสองแล้ว และยังเข้าใจภาษาสัตว์ ฝึกฝนอีกเพียงแค่เล็กน้อย นางก็จะกลายเป็นปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นกระทิงไฟเก้าเขาที่เป็นอสุรกายชั้นสูงก็หวาดกลัวนาง หากไม่ดึงนางมาเป็นพวก ก็จะสูญเสียมากเกินไป
เมื่อบรรดาตระกูลใหญ่เห็นเช่นนี้ พวกเขาก็ต้องการดึงนางมาเป็นพวกด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ตระกูลซั่งกวนกับกู้ชูหน่วนก็มีเรื่องบาดหมางกัน และเป็นไปไม่ได้ที่จะดึงนางไปเป็นพวก
ตระกูลซั่งกวนเพิ่งจะยกเลิกการหมั้นหมายของซั่งกวนหมิงหลางกับนาง แล้วนางจะเข้าร่วมกับตระกูลซั่งกวนได้อย่างไร?
ตระกูลเหวินมีกฎของเผ่า และกฎการรับศิษย์ต่างแซ่ก็มีความเข้มงวดมาก แต่เพียงแค่หัวหน้าเผ่าพอใจก็สามารถยอมรับได้
แต่ตอนนี้……
หัวหน้าเผ่าของพวกเขาไม่อยู่ และพวกเขาก็ไม่สามารถตัดสินใจได้
ท่านผู้เฒ่าหนิงถือว่ากู้ชูหน่วนเป็นหลานสะใภ้ของเขามาโดยตลอด
เขาลูบเคราสีเทาของตัวเอง และกล่าวอย่างไม่เกรงว่า “ไป ๆ ๆ แม่หนูหน่วนเป็นของตระกูลหนิงของเรา พวกเจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องของนาง”
“ผู้นำตระกูลหนิง ดูเหมือนว่าแม่นางมู่ยังไม่ได้บอกว่าจะเข้าร่วมกับตระกูลหนิงของพวกท่าน”
“เอาล่ะ เอะอะโวยวายกันไปทำไม ข้าบอกแล้วว่าข้าอยู่ตัวคนเดียวจนชินแล้ว และจะไม่เข้าร่วมนิกายใด ๆ และเมื่อไหร่ม่านพลังไร้รูปนี่จะอ่อนกำลังลงเสียที?”
“ใกล้แล้ว อีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามก็จะอ่อนกำลังลง”
กู้ชูหน่วนถามกระทิงไฟเก้าเขาด้วยเสียงต่ำ “เจ้ากระทิงโง่ พวกเจ้าทั้งหมดมาที่นี่เพื่อแย่งชิงกระจกอันนั้นหรือ?”
“กระจก? กระจกอะไร?”
“พวกเจ้าไม่ได้มาเพราะกระจกหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ใครจะสนใจกระจกแตก ๆ ข้าจะบอกความจริงกับท่าน พวกเรามาที่นี่เพราะดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสี”
“ดอก……ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสี?”
“ใช่ ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสีสามารถเพิ่มพลังได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถช่วยให้ฟื้นคืนชีพได้ แม้ว่ามันจะไม่ดีเท่าดอกบัวศักดิ์สิทธิ์หลากสี แต่หากผู้ที่มีวรยุทธ์ขั้นสูงสุดระดับห้ากินเข้าไป ก็มีโอกาสที่จะสามารถบรรลุระดับหกได้ในทันที และหากอสุรกายกินเข้าไป พลังก็จะทะยานสูงขึ้นอีกหลายระดับ
กู้ชูหน่วนเข้าใจแล้ว
ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสีเป็นสาวกของดอกบัวศักดิ์สิทธิ์หลากสี
กระทิงไฟเก้าเขาพึมพำกับตัวเอง “ช่างน่าแปลก เมื่อดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสีผลิบาน ก็มีเสียงหงส์ดังขึ้น และดูเหมือนพวกเราจะเห็นหงส์บินขึ้นสูง หรือว่าดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสีจะมีการเปลี่ยนแปลง?”
“ม่านพลังไร้รูปอ่อนกำลังลงแล้ว พวกเราสามารถเข้าไปได้”
มีคนในฝูงชนตะโกนขึ้นมา และทุกคนต่างก็รีบพุ่งไปข้างหน้า รวมทั้งเหล่าอสุรกายด้วย
เนื่องจากทุกคนต้องการที่จะเข้าไปแย่งชิง จึงเกิดการต่อสู้ขึ้นอีกครั้ง
เพียงแต่การต่อสู้ครั้งนี้ กู้ชูหน่วนได้รับการยกเว้น
ด้านหน้าดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสี ไม่มีใครคิดที่จะจัดการกับกู้ชูหน่วน
กู้ชูหน่วนก็ต้องการที่จะแย่งชิงดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสีเช่นกัน มันสามารถเพิ่มพลังได้ มีใครบ้างไม่อยากครอบครอง
แต่เจ้าเสือตัวน้อยที่ได้รับบาดเจ็บเดินมาตรงหน้านาง และพูดอย่างลึกลับว่า “นายท่าน กระจกหงส์อยู่ในถ้ำข้าง ๆ ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสี”
“เจ้าเสือน้อย?ข้าให้เจ้าอยู่คุ้มกันเซี่ยวอวี่เซวียนไม่ใช่หรือ?เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
“เซี่ยวอวี่เซวียนเป็นห่วงท่าน จึงให้ข้ามาที่นี่”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่ากระจกหงส์อยู่ในถ้ำข้าง ๆ ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสี”
“โฮ่ง ๆ…… เพื่อนของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์บอกมา”
เจ้าเสือน้อยชี้ไปที่งูพิษห้าสีสองสามตัวที่อยู่ไม่ไกลและลับกรงเล็บ
กู้ชูหน่วนเหลือบมองไปที่นิกายต่าง ๆ และเหล่าอสุรกายที่นองเลือด จากนั้นก็วิ่งไปยังถ้ำที่อยู่ข้าง ๆ ดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสี
ผู้คนมากมายกำลังแย่งชิงดอกบัวศักดิ์สิทธิ์สามสี ในเวลานี้นางอยากจะเข้าไปแย่งอาหารมาจากปากเสือ แต่เกรงว่าจะไม่ง่ายขนาดนั้น สู้ไปเอากระจกหงส์ก่อนจะดีกว่า แล้วค่อยว่ากัน
กู้ชูหน่วนคิดว่าไม่มีใครรู้ว่ากระจกหงส์อยู่ในถ้ำนี้ และน่าจะง่ายที่จะไปเอากระจกหงส์มา
แต่นางคิดผิด
ก่อนที่นางจะเข้ามา มียอดฝีมือผู้ยิ่งใหญ่สองคนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ยากที่จะคาดเดาสถานการณ์
เมื่อมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ทั้งสองคนนี้คือชายสวมหน้ากากกับเสี่ยวหูเตี๋ยไม่ใช่หรือ?
เสี่ยวหูเตี๋ยอยู่ที่นี่ แล้วเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เล่า?
กลับไปที่ถ้ำที่เซี่ยวอวี่เซวียนใช้ฟื้นตัวแล้วหรือ?
การต่อสู้ของยอดฝีมือระดับหก สามารถทำลายภูเขาทั้งหมดได้ในทันที
แสงที่เจิดจ้าทำให้กู้ชูหน่วนไม่สามารถลืมตาได้ และไม่ทันได้ดูว่าพวกเขาต่อสู้กันอย่างไร
แต่ดูเหมือนว่าทั้งสองคนนี้ไม่ต้องการให้คนข้างนอกรู้ว่าพวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่ที่นี่ การต่อสู้จึงถูกจำกัดอยู่แค่ในถ้ำ และภายนอกไม่รู้ว่ามียอดฝีมือสองคนกำลังต่อสู้กันอยู่ที่นี่
“นายท่าน พวกมันแข็งแกร่งเกินไป หากต้องการจะฉกฉวยผลประโยชน์จากพวกเขา เกรงว่าคงจะยาก พวกเราหนีกันดีหรือไม่?”
หนี?
ยังไม่พบกระจกหงส์ จะหนีไปได้อย่างไร?
ดวงตาสีขาวดำของนางกลิ้งไปมา และมองหากระจกหงส์ในถ้ำอยู่ตลอดเวลา
ในที่สุด นางก็เห็นกระจกอยู่บนแท่นดอกบัวข้างหน้า
กระจกนั้นเรียบง่ายและไม่มีการตกแต่ง เหมือนกับกระจกธรรมดา และไม่มีอะไรพิเศษ
หากจะพูดถึงความพิเศษก็คงจะเป็นกระจกที่แกะสลักอย่างประณีตและละเอียดอ่อนมาก
นางพยายามที่จะหลบหลีกลูกหลงจากการต่อสู้ และเดินไปที่แท่นดอกบัวอย่างเสี่ยงอันตราย
ทั้งสองคนที่กำลังต่อสู้กันสังเกตเห็นกู้ชูหน่วนและเจ้าเสือน้อย แต่พวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือพอ ๆ กัน จึงไม่มีเวลาจัดการกับกู้ชูหน่วน
เมื่อฟุ้งซ่านย่อมต้องถูกอีกฝ่ายฆ่าตายอย่างแน่นอน จึงทำได้เพียงปล่อยให้หญิงผู้นั้นเข้าไปใกล้กระจกหงส์ทีละก้าว
เยี่ยจิ่งหานกังวลเรื่องกระจกหงส์ ในขณะต่อสู้ เขาก็ตะโกนอย่างโกรธเคือง “หญิงผู้นั้น จะเอากระจกหงส์มาได้ เจ้าต้องทำให้มันรู้จักเจ้าของเสียก่อน มิเช่นนั้นกระจกหงส์จะกลายเป็นกระจกธรรมดา เจ้าอย่าจับมั่วซั่วเป็นอันขาด”
“รู้จักเจ้าของ?จะทำให้มันยอมรับข้าเป็นเจ้าของได้อย่างไร?”
“เจ้าไปให้พ้น ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาช่วยข้าเอากระจกหงส์”
“ใครบอกว่าข้ามาเอากระจกหงส์ให้เจ้า?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เยี่ยจิ่งหานก็โกรธมาก
หญิงผู้นี้ เขารู้อยู่แล้วว่านางไม่น่าไว้วางใจ
เขาสูญเสียกากังวิญญาณไปแล้ว และวิญญาณของอาหน่วนก็ล่องลอยหายไป กระจกหงส์เป็นเพียงความหวังเดียวของเขา และเขาไม่สามารถทำพลาดได้อีก
เนื่องจากความกังวลของเขา เขาจึงฟุ้งซ่านและถูกฉินหิมะของเหวินเส่าอี๋โจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสในทันที
“อัก……”
เยี่ยจิ่งหานกระเด็น เขาหล่นลงจากรถเข็นและกระอักเลือด
เยี่ยจิ่งหานไม่กล้าที่จะประมาทอีก เขารีบเป่าขลุ่ยหยกขาวเพื่อต้านทานฉินหิมะของเหวินเส่าอี๋
เขาพยายามที่จะจัดการกับเหวินเส่าอี๋ก่อน แล้วค่อยไปเอากระจกหงส์
เยี่ยจิ่งหานกระวนกระวายใจ
เหวินเส่าอี๋ก็ไม่ได้ดีนัก
ทั้งสองคนต้องการที่จะจัดการอีกฝ่ายโดยเร็วที่สุด
อย่างไรก็ตาม หนึ่งคนต้องการที่จะปกป้องกระจกหงส์
และอีกหนึ่งคนต้องการทำลายกระจกหงส์