กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 884
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 884
การหายตัวไปของเยี่ยจิ่งหานโดยไม่รู้ชะตากรรมก็ทำให้พวกเขาร้อนรนเป็นกังวลใจมากพอแล้ว
คิดไม่ถึงว่าค่ายกลที่สองนี้จะอยู่ได้ไม่ถึงห้าวันและได้พังทลายลงในวันที่สอง
เมื่อได้ยินว่าค่ายกลถูกทำลาย กู้ชูหน่วนตกใจอย่างมาก
“เป็นไปไม่ได้ ค่ายกลที่สองดูเหมือนง่ายดาย แต่อันที่จริงกลับเต็มไปด้วยค่ายกลนับสิบชนิดรวมกัน และแต่ละชนิดก็ยากที่จำถูกทำลาย ต่อให้เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญด้านค่ายกล อย่างเร็วสุดต้องใช้เวลากว่าห้าวันถึงจะทำลายลงได้ พวกเขาทำลายลงได้อย่างไรในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ หรือว่าพวกเขาจะมีใครที่มีความสามารถระดับหก?”
“ระดับหก? ข้าไม่เคยได้ยินมาว่าทวีปนี้จะมียอดฝีมือที่มีความสามารถระดับหก หรือจะเป็นเหวินเส่าอี๋?” ชิงเฟิงกล่าว
“ไม่น่าจะใช่เหวินเส่าอี๋ ข้าน้อยและคนอื่นๆ ต่างไม่เห็นเหวินเส่าอี๋ คนที่ทำลายค่ายกลคือผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงคนนั้นสวมชุดสีดำทั้งตัว ใบหน้าสวมผ้าปิดบังสีดำ เส้นผมสีดำ เห็นเพียงดวงตาเท่านั้น แววตานั้นอำมหิตอย่างมาก เพียงได้เห็นก็รู้สึกเสียวสันหลัง อายุประมาณสี่สิบปี เป็นหญิงวัยกลางคน”
“ได้ตรวจสอบชัดเจนหรือไม่ว่านางเป็นใคร?”
“ตอนนี้ยังตรวจสอบไม่ได้ รู้เพียงว่านางไม่ใช่คนของสี่ตระกูลใหญ่และไม่ใช่คนของสำนักใดๆ เลย คาดว่าน่าจะเป็นเพียงคนคนหนึ่งในยุทธจักรที่เดินทางเพียงลำพัง”
“เช่นนั้นตอนนี้นางอยู่ที่ใด?” กู้ชูหน่วนอดไม่ได้และพูดแทรกขึ้นมา สัญชาตญาณบอกนางว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา
ค่ายกลที่นางสร้างไว้ นางรู้ดีกว่าใครอื่นถึงความโหดร้ายในนั้น
เหวินเส่าอี๋เพียงคนเดียวก็ปวดหัวมากพอแล้ว
หากยังมีความสามารถระดับหกมาอีก เช่นนั้นไม่ว่าพวกเขาจะพยายามอย่างไรก็ไร้ผล จะต้องตายอย่างไร้ข้อสงสัยแน่ๆ
“พูดไปแล้วก็แปลก หลังจากที่นางทำลายค่ายกล นางก็หายตัวไปทันทีและไม่รู้ว่าไปไหน”
กู้ชูหน่วนและชิงเฟิงจ้องมองกัน และรู้สึกไม่สบายใจ
“ยังไม่ต้องสนใจนางก่อน หารถเข็นหนึ่งคันและเข็นข้าออกไปดู”
นางได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างมากและไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ ทำได้เพียงใช้รถเข็น
“ขอรับ”
เมื่อรถเข็นมาถึง คนใช้ประคองกู้ชูหน่วนขึ้นไปนั่งบนรถเข็น ชิงเฟิงทำสีหน้าบูดบึ้งไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั้นถูกต้องหรือไม่ นายท่านกลับมาจะโกรธเขาหรือไม่ที่ปล่อยให้มู่หน่วนที่ได้รับบาดเจ็บออกไปข้างหน้า
“แม่นางมู่ ไม่เช่นนั้น ท่านอย่าไปเลยจะดีกว่า เจี้ยงเสวี่ยจะขัดขวางพวกเขาเอง”
“หยุดพูดเหลวไหล หากไม่ต้องการให้ทุกคนตายลงที่นี่ก็เข็นข้าออกไป”
เสียงคำสั่งเปล่งออกมา ซึ่งไม่อาจขัดขืนได้
ชิงเฟิงทำได้เพียงกัดฟันกรอดและเข็นนางออกไป
นายท่านไม่อยู่ พวกเขาทำได้เพียงลองเสี่ยงดู
หากสำเร็จ ไม่แน่พวกเขาอาจมีชีวิตรอด ถึงแม้ว่าทางรอดนี้จะน้อยนิดก็ตาม
หุบเขาที่พวกเขาอยู่นี้ชื่อว่าหุบเขาหัวสุนัข ตั้งอยู่เหนือแม่น้ำซึ่งง่ายต่อการป้องกันและโจมตีได้ยาก หุบเขาถูกล้อมรอบด้วยหน้าผา
หากแต่ละสำนักคิดโจมตีมายังหุบเขาหัวสุนัข พวกเขาจำเป็นต้องปีนหน้าผาสูงขึ้นไป
บนหน้าผาสูงทุกทิศทางล้วนมีคนของเยี่ยจิ่งหานคอยคุ้มกันอยู่
เพียงเห็นกองทัพของแต่ละสำนักเคลื่อนย้ายโจมตีเข้ามาและคิดอยากปีนหน้าผา ก็ถูกเจี้ยงเสวี่ยและคนอื่นๆ ใช้หน้าไม้ยิงออกไปจนบาดเจ็บล้มตาย
พวกเขาเคยเห็นหน้าไม้
หรือจะพูดให้ชัดเจนคือ ลูกศรแบบปลอกแขน ซึ่งสามารถยิงออกไปได้สองลูกในครั้งเดียว
และหน้าไม้ที่เจี้ยงเสวี่ยใช้นั้นสามารถยิงออกไปได้เก้าลูกในครั้งเดียว
หน้าไม้มีขนาดเล็กและพกพาสะดวก และความแข็งแกร่งของมันนั้นแข็งแกร่งกว่าคันธนูและลูกธนูธรรมดามาก
ลูกธนูทั้งเก้าลูกถูกยิงพร้อมกัน และลูกธนูทั้งเก้าลูกสามารถฆ่าศัตรูได้
หากใช้หน้าไม้ชนิดนี้ในการทำศึกสงคราม เช่นนั้นคงเป็นการรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง?
ในที่สุดชิงเฟิงก็เข้าใจว่าเหตุใดกู้ชูหน่วนถึงสั่งให้คนตัดไม้ไผ่เป็นจำนวนมาก เพื่อทำเป็นลูกธนูไม้ไผ่
ภายใต้หน้าไม้ สำนักใหญ่ต่างๆ พากันล้มตายลงและบาดเจ็บสาหัส
ผู้ที่เป็นหัวหน้าโกรธจัดและกระตุ้นกำลังภายในให้กลายเป็นพลังสังหารและพุ่งไปยังผู้ยิงหน้าไม้เหล่านั้น
กำลังภายในของพวกเขาล้วนแข็งแกร่ง เพียงแต่ระยะห่างกว่ายี่สิบเมตรของหน้าผา ทำให้พลังฝ่ามือนั้นอ่อนลงอย่างมาก
เบื้องบนของพลังฝ่ามือ นักยิงหน้าไม้เหล่านั้นต่างหมอบลง เพื่อหลบเลี่ยงพลังฝ่ามือนั้น
เมื่อรอให้พลังฝ่ามือหายไป นักยิงหน้าไม้ก็เริ่มยิงลูกธนูออกไปอีกครั้ง
เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา คนของแต่ละสำนักสูญเสียและบาดเจ็บลงจำนวนมาก โกรธจนแทบกระอักเลือดออกมา
ลมปราณแท้มีจำกัด ต่อให้เป็นคนที่แข็งแกร่งเก่งกาจก็ไม่สามารถยื้อได้นานเท่านี้
รวมไปถึงระยะห่างนั้นไกลมากเหลือเกิน พลังฝ่ามือของพวกเขายิงขึ้นไปถึงบนหน้าผาก็ลดความร้ายกาจลงแล้วเกือบครึ่ง
“ไอ้คนพวกนั้น คิดว่ามีหน้าไม้กะโหลกกะลาเหล่านั้นก็สามารถทำให้พวกข้าถอยหลังกลับได้อย่างนั้นหรือ? ฮึ”
“ทุกคนแบ่งกันใช้กำลังฝ่ามือเพื่อจัดการนักยิงหน้าไม้เหล่านั้นให้ล้มลงเสียก่อน จากนั้นค่อยปีนขึ้นหน้าผาไปฆ่านังปีศาจหญิงคนนั้น”
“ดี พวกข้าจัดการลงมือก่อน”
แต่ละสำนักเพิ่งจะปรึกษากันเสร็จและยังไม่ทันกระตุ้นรวบรวมกำลังภายในเพื่อปล่อยขึ้นไปบนหน้าผา
คนบนหน้าผาก็โรยผงสีแดงลงมาเป็นถังๆ
ทุกคนต่างคิดว่าเป็นยาพิษและต่างหลบ แต่กลับคิดไม่ถึงว่าผงสีแดงเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่กลับเป็นพริกป่นเท่านั้น
“ฮัดชิ้ว……”
เสียงจามดังขึ้นทีละคน พร้อมกับเสียงอุทานดังขึ้น
“ดวงตาของข้า ข้ามองไม่เห็นแล้ว นี่คือผงพริกป่น ข้าจะไม่ตาบอดใช่หรือไม่ แสบและเจ็บเหลือเกิน……”
“ชิ้วๆๆ……”
ใช้โอกาสนี้ คนบนหน้าผาก็ปล่อยลูกธนูออกมาอีกครั้ง
คนที่อยู่ข้างล่างไม่ทันได้ระวังตัว ยอดฝีมือจำนวนมากก็ถูกลูกธนูยิงเข้าและบางส่วนได้รับบาดเจ็บ ถึงขั้นตายลง
ไป๋หลี่เฉิงและซั่งกวนชิงและคนอื่นๆ ได้เอามือปิดปากปิดจมูกและปิดตาไว้ก่อนแล้ว จึงทำให้พวกเขารอดได้อย่างหวุดหวิด
เมื่อเห็นว่าเบื้องล่างมีศพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รู้สึกโกรธมาก
ซั่งกวนชิงตะโกนออกมาเสียงดัง “สามสิบหกขุนพลสวรรค์ ตั้งแถว”
สามสิบหกขุนพลสวรรค์พากันตั้งแถวเรียงรายอย่างเรียบร้อยเป็นระเบียบ พวกเขาทั้งหมดถือโซ่เหล็กขนาดปากถ้วย
“ปังๆๆ……”
โซ่เหล็กกระทบไปบนหน้าผา พวกเขาอยากใช้โซ่เหล็กเพื่อปีนขึ้นไปบนหน้าผา
แต่จากรูปแบบของพวกเขาแล้ว เรียกได้ว่าสามารถจู่โจมและป้องกันได้
ขุนพลสวรรค์ถูกปลดปล่อย สามสิบหกคนอยู่ในรูปแบบเกราะป้องกันไร้รูปทรง ทำให้ผงพิษและลูกธนูเหล่านั้นไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ต่อพวกเขาได้แม้แต่นิดเดียว
ความเร็วของสามสิบหกคนนี้เร็วมาก
เพียงชั่วพริบตาก็ปีนขึ้นไปกว่าครึ่งทางแล้ว
เพียงแค่ให้เวลาพวกเขาเล็กน้อย พวกเขาจะต้องปีนขึ้นไปบนหน้าผาได้อย่างแน่นอน
ยังไม่ทันที่ชิงเฟิง เจี้ยงเสวี่ยและคนอื่นจะดีใจ ก็ได้ทำสีหน้าเคร่งขรึมเตรียมรับการโจมตี
กู้ชูหน่วนโบกมือ ทันใดนั้นก็มีคนยกถังจำนวนหนึ่งเข้ามาอีกครั้ง
ชิงเฟิงดมกลิ่นและอุทานออกมาด้วยความตกใจ “นี่คือน้ำมันตะเกียง”
“อืม ก่อนหน้านี้ได้บังเอิญเห็นว่าเบื้องหลังหุบเขาหัวสุนัขมีของดีจำนวนมาก เลยถือโอกาสนำออกมาใช้เสียหน่อย”
นางอาศัยอยู่ที่นี่เพียงสิบเอ็ดวัน แต่กลับค้นพบสิ่งของที่ดีจำนวนมากเช่นนี้
แต่พวกเขาอยู่ที่นี่มานาน กลับไม่เจออะไรเลย……
ไม่รู้ว่าพวกเขาโง่เขลาเกินไป
หรือว่าผู้หญิงคนนี้เก่งกาจเหลือเกิน
ในตัวของนาง พวกเขาเห็นท่าทางในสนามรบของนายท่าน
น้ำมันตะเกียงถูกเทลงไปเป็นถังๆ
คนที่อยู่เบื้องล่างยังคิดว่าเป็นพริก แต่ละคนจึงเอามือปิดหน้าปิดตาเอาไว้
คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ตกลงมาคือน้ำ
ไม่ ไม่ใช่น้ำ แต่กลับเป็นน้ำมัน
ซั่งกวนชิงตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนก “คือน้ำมันตะเกียง ทุกคนระวังตัวด้วย”
ต่อให้เขาพูดออกมาเร็วมากแค่ไหน ก็ไม่ทัน
ผู้ที่อยู่เบื้องบนได้โยนคบไฟลงมา และเพราะผู้ที่อยู่ข้างล่างถูกพริกป่นเข้าที่ดวงตา ทำให้ตอนนี้ยังไม่สามารถลืมตาได้ คิดอยากจะหนีไปก็หนีไปไม่ได้
เมื่อคบไฟมาเจอกับน้ำมันตะเกียงทำให้มันลุกไหม้ขึ้นทันที
สำนักใหญ่ๆ ที่ต่างพากันเตรียมตัวมาฆ่ากู้ชูหน่วนต่างก็ถูกน้ำมันตะเกียง ทำให้กลายเป็นมนุษย์เพลิงในทันทีและดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นอย่างเจ็บปวด
สภาพการณ์เช่นนั้น เกินคำบรรยายที่จะใช้คำว่าอนาถ
ซั่งกวนชิงและไป๋หลี่เฉิงและคนอื่นๆ ต่างก็ถูกเผา แต่พละกำลังของพวกเขาแข็งแกร่งและอยู่ห่างไกลออกไป หลังจากปลดเสื้อผ้าออกได้ทัน นับว่าไม่ถูกเผาไหม้ให้ตายทั้งเป็น เพียงแต่ร่างกายนั้นถูกเผาไหม้อยู่หลายบริเวณ