กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 896
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 896
เขามองไปที่หน้าต่างและพยายามปรับลมปราณ จากนั้นก็กล่าวว่า “แม่กู่จะตามหาลูกกู่นั้นง่าย แต่ลูกกู่จะตามหาแม่กู่นั้นยาก อาคมกู่ชนิดนี้มีเฉพาะทางตอนใต้เท่านั้น ไม่เคยได้ยินว่ารัฐปิงมีคนแปลกหน้ามาจากทางตอนใต้”
“หมายความว่าไม่มีวิธีที่จะหลุดพ้นจากการควบคุมของแม่กู่ได้เลยหรือ?”
“มี หากลูกกู่ฆ่าตัวตาย ย่อมหลุดพ้นจากการควบคุมของแม่กู่ได้อย่างแน่นอน?”
กู้ชูหน่วนก้มหน้าลง
“ลูกกู่แฝงอยู่ที่หัวใจ หากลูกกู่ตาย หัวใจก็จะหยุดเต้น เช่นนั้นจะหลุดพ้นการควบคุมไปทำไม?”
“ยังมีอีกวิธีหนึ่ง”
“วิธีอะไร?”
“ดื่มเลือดของเขา ดึงลูกกู่เข้ามาในร่างของตัวเอง และรับเคราะห์แทนเขา”
“ลูกกู่สามารถที่จะดึงออกมาได้ด้วยหรือ?”
“ได้สิ แต่มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่รู้จักวิชาลับนี้”
“ใคร?”
“แน่นอนว่าเป็นภรรยาของข้า” เยี่ยจิ่งหานกล่าวอย่างภาคภูมิใจ
ภรรยาของเขาเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าน้ำแข็ง และเป็นหัวหน้าเผ่าน้ำแข็ง
บรรพบุรุษที่ก่อตั้งเผ่าน้ำแข็งมาจากทางตอนใต้
แม้ว่าภรรยาของเขาจะไม่ได้ร่ำเรียนอาคมกู่
แต่ก็มีความรู้ไม่น้อย
“เยี่ยจิ่งหาน เจ้ากำลังล้อเล่นกับข้าใช่หรือไม่?”
“รวบรวมวิญญาณของนาง เมื่อนางกลับมาก็จะสามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของแม่กู่ได้”
“พูดไปพูดมาแล้ว เจ้าก็แค่ต้องการให้ข้ารวบรวมวิญญาณของนางใช่หรือไม่?”
“นี่เป็นสิ่งที่เจ้ารับปากไว้ตั้งนานแล้วไม่ใช่หรือ?”
“……”
นางรับปากแล้ว
แต่ในตอนนี้สิ่งที่นางต้องการทำมากที่สุดคือฆ่าผู้ที่ฆ่าล้างตระกูลของนาง
“แล้วเซี่ยวอวี่เซวียนเล่า?เจ้าส่งเขาไปที่ใด?”
“ไม่รู้ ข้าก็เพิ่งใช้ค่ายกลนี้เป็นครั้งแรก”
แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมาที่พระราชวังของรัฐปิงได้อย่างน่าประหลาดใจ
ในวันนั้นเขาถูกเหวินเส่าอี๋ทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส
อีกทั้งยังถูกยอดฝีมือขั้นสูงระดับหกลอบโจมตี ทำให้ได้รับบาดเจ็บมากยิ่งขึ้น และทำให้ตัวเองต้องตกที่นั่งลำบาก
ตอนที่เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด และพยายามที่จะเปิดค่ายกล หลังจากมีแสงสว่างจ้าแวบขึ้นมา เขาก็ไม่รู้ว่าค่ายกลถูกคนที่ลอบโจมตีเขาทำลายหรือไม่
อย่างไรก็ตาม เมื่อฟื้นขึ้นมาเขาก็นอนอยู่ที่นี่แล้ว
สิ่งที่ทำให้เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟก็คือเขาถูกล่ามโซ่ไว้
แม้ว่าเขาจะวรยุทย์ขั้นสูงสุด ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดได้ นับประสาอะไรกับตอนนี้
เมื่อนึกถึงคนที่ลอบโจมตีเขา หัวใจของเยี่ยจิ่งหานก็จมลง
คนผู้นั้นคลุมหน้าด้วยผ้าคลุมสีดำ จึงมองไม่เห็นรูปลักษณ์หน้าตา รู้เพียงว่าเป็นผู้หญิง
อีกทั้งยังเป็นหญิงมีอายุ
เหวินเส่าอี๋มีลูกน้องที่เก่งกาจเช่นนี้ด้วย?
วรยุทธย์ของหญิงผู้นั้นไม่ด้อยไปกว่าเหวินเส่าอี๋เลย
ลงมืออย่างโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเหวินเส่าอี๋ แต่ละกระบวนท่าโหดเหี้ยมอำมหิต
เยี่ยจิ่งหานไม่กล้าถามเกี่ยวกับเรื่องของเซี่ยวอวี่เซวียนและอาคมกู่ ดังนั้นกู้ชูหน่วนจึงได้เพียงตามหาแม่กู่ด้วยตัวเอง
นางเปลี่ยนเรื่อง “เจ้ารู้หรือว่าใครฆ่าล้างตระกูลมู่ของข้า?”
“ข้าไม่รู้”
“เจ้ามีส่วนร่วมหรือไม่?”
เยี่ยจิ่งหานเงยหน้าขึ้นในทันที และเห็นกู้ชูหน่วนจ้องมองมาที่เขาอย่างเคร่งขรึมและรอคำตอบของเขา
เขาขยับมุมปากและกล่าวออกมาว่า “ไม่มี ตอนที่ข้าได้ข่าว ตระกูลมู่ก็ถูกฆ่าล้างตระกูลแล้ว”
เขาส่งคนไปคุ้มกันตระกูลมู่
และคนที่ส่งไปคุ้มกันถูกฆ่าทั้งหมด
นิกายต่าง ๆ รุมล้อมที่จะฆ่านาง เขาก็ส่งคนอีกกลุ่มหนึ่งไปช่วย แต่นางก็ยังถูกซุ่มโจมตีระหว่างทาง
แม้แต่ตอนที่เขาไปด้วยตัวเอง เขาก็ถูกเหวินเส่าอี๋ขวางไว้
เยี่ยจิ่งหานรู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก
เขาไม่ได้มีส่วนร่วมกับการฆ่าล้างตระกูลมู่
แต่เขา……
ในวันเดียวกันนั้นเขาปล่อยข่าวไปที่ตระกูลไป๋หลี่ว่าไป๋หลี่เจิ้นและไป๋หลี่หมิงถูกนางฆ่าตายแล้ว
กู้ชูหน่วนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เช่นนั้นก็ดี หากข้ารู้ว่าการตายของตระกูลมู่เกี่ยวข้องกับเจ้า เจ้าก็จะเป็นศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของข้ามู่หน่วน”
เยี่ยจิ่งหานรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย
หากในวันนั้นเขาไม่ได้ปล่อยข่าวไปที่ตระกูลไป๋หลี่ว่ามู่หน่วนฆ่าไป๋หลี่เจิ้นและไป๋หลี่หมิง เรื่องก็คงจะไม่เลวร้ายขนาดนี้?
เขาไม่คิดเลยว่าตระกูลมู่จะถูกฆ่าล้างตระกูล
เยี่ยจิ่งหานอยากจะอธิบายให้นางฟัง
แต่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร?
จะบอกว่าเขาต้องการจะตรวจดูเบื้องหลังวรยุทธ์ของนางก็ว่าได้?
“เจ้าจะไปไหน?”
เมื่อเห็นกู้ชูหน่วนจากไป เยี่ยจิ่งหานก็ตะโกน
“หมอตรวจดูแล้ว ทำแผลเสร็จแล้ว เจ้าว่าข้าจะไปไหนได้?”
“เจ้าจะทิ้งข้าไว้เช่นนี้หรือ?”
“เจ้าเก่งกาจมากไม่ใช่หรือ?พระราชวังแค่นี้จะสามารถขังเจ้าได้อย่างไร?”
เยี่ยจิ่งหานเลือดลมพลุ่งพล่าน
เขาเป็นผู้ป่วย
เป็นคนที่ป่วยหนัก
และยังคงเป็นผู้ที่ถูกล่ามโซ่ด้วยเหล็กชั้นดีนับพันปี
หญิงผู้นี้ไร้คุณธรรม เขาเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยนาง จนตัวเองเกือบเอาชีวิตไม่รอด
เมื่อกู้ชูหน่วนเดินไปถึงหน้าประตู และเห็นว่าเยี่ยจิ่งหานไม่ได้เรียกนาง นางก็ระงับความโกรธไว้
นางกลับไปอีกครั้ง
เยี่ยจิ่งหานรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก
และได้ยินกู้ชูหน่วนกล่าวว่า “พูดให้มันน่าฟังหน่อย บางทีข้าอาจจะช่วยเจ้าออกไปจากพระราชวังของรัฐปิง”
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นลิงหรือ?ถึงได้เล่นสนุกกับเจ้า?”
“ดูเหมือนว่าเจ้าอยากเป็นนายบำเรอของจักรพรรดินีจริง ๆ ในเมื่อเป็นความปรารถนาของเจ้า ข้าก็จะไม่รอช้า”
เยี่ยจิ่งหานคิดว่านางจะกลับมาอีกครั้ง
ไม่คิดเลยว่านางจะจากไปจริง ๆ และทิ้งเขาไว้ตามลำพังในหอดาบ
หัวใจของเยี่ยจิ่งหานเต็มไปด้วยความโกรธ
หากอาหน่วนของเขาอยู่ที่นี่ นางไม่มีทางปล่อยให้เขาถูกจักรพรรดินีเหยียดหยามอย่างแน่นอน
เสือลำบากก็อาจถูกสุนัขรังแก
ไม่คิดเลยว่าเทพแห่งสงครามผู้สูงส่งเช่นเขา จะมีจุดจบลงที่โหดเหี้ยมเช่นนี้
“อ้า……”
ข้างนอกมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น
และเยี่ยจิ่งหานก็ได้ยินแล้ว
ทุกวันนี้เขาได้ยินเสียงกรีดร้องเป็นบางครั้ง
จากการพูดคุยของขันทีกับนางกำนัลในวัง เขาก็รู้ว่าเสียงที่น่าสังเวชและเจ็บปวดนั้น ล้วนแต่เป็นเสียงของนายบำเรอที่ถูกจักรพรรดินีทรราชข่มเหง
จักรพรรดินีทรมานชายหนุ่มทุกคืน
และทุกคืนก็มีชายหนุ่มรูปงามหลายคนถูกนางทรมานจนตาย และศพก็ถูกย้ายออกไปทีละศพ
หัวใจของเยี่ยจิ่งหานจมลง และบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ ฟื้นฟูพลังโดยเร็วที่สุด และหาโอกาสไปจากที่นี่
ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะรับรองได้ว่าเขาจะไม่ตายอยู่ในพระราชวังของรัฐปิงเหมือนนายบำเรอผู้เหล่านั้น
เยี่ยจิ่งหานได้ยินแล้ว
กู้ชูหน่วนก็ได้ยินเช่นกัน
นางไม่เพียงแต่จะได้ยินเท่านั้น แต่นางยังเห็นขันทีใช้ผ้าขาวเก็บศพไปด้วย
นับคร่าว ๆ แล้วมีนับสิบคน
“หมอ เชิญทางนี้……” ขันทีกล่าวอย่างสุภาพ เมื่อเห็นกู้ชูหน่วนหยุด
“จะพาศพของพวกเขาไปที่ไหน?”
“เอาไปโยนทิ้งในบ่อ”
“โยนทิ้งในบ่อ?”
“ใช่ ในวังไม่มีใครรับผิดชอบเรื่องศพ ศพจะถูกเผาแล้วโยนลงไปในบ่อน้ำ หมอจิน ทำไมจู่ ๆ ท่านถึงถามเรื่องนี้?”
“อ้อ……ไม่มีอะไร เพียงแค่เวทนาพวกเขา”
“ได้เป็นผู้ที่ฝ่าบาททรงโปรดปราน นับว่าเป็นความโชคดีของพวกเขา แม้ว่าจะถูกโยนลงไปในบ่อ แต่ก็เป็นวาสนาของพวกเขา”
งั้นหรือ?
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเขาจะกลัวอะไร?
ทำไมต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจ?
“ตุ๊บ……”
มีศพหนึ่งหล่นลงมา
และคนก็รีบยกศพขึ้นไปอีกครั้ง
แต่ดูเหมือนศพนั้นยังไม่ตาย และยังมีลมหายใจอยู่
กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้นและเห็นชายผู้นั้น ดูเหมือนว่าฝ่าเท้าของนางจะเต็มไปด้วยตระกั่ว และไม่สามารถขยับเขยื้อนได้
หลินซือหย่วน……
เป็นเขาได้อย่างไร?
เขาอยู่ที่สำนักศึกษาอี้เหอไม่ใช่หรือ?
ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่?