กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 918
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 918
กู้ชูหน่วนไม่เห็นด้วย
ต้องมีสาเหตุหลายด้านที่ทำให้รัฐเกือบต้องล่มสลาย จะเป็นเพราะดวงตาคู่หนึ่งที่ต่างกันได้อย่างไร
จักรพรรดินีเป็นเจ้าแห่งรัฐปิง นางมีคำสั่งว่าต้องการดวงตาของคนผู้นั้นก็ย่อมได้ แต่กลับให้นางไปเอามา อีกทั้งไม่สามารถเปิดเผยได้ว่านางเองก็ต้องการดวงตาคู่นั้น?
นางคุ้นเคยกับจักรพรรดินีขนาดนั้นเลยหรือ?
จักรพรรดินีถึงได้ไว้ใจนางมากขนาดนี้?
กู้ชูหน่วนไม่สามารถคาดเดาเจตนาของจักรพรรดินีได้
“หมอจิน ข้างหน้าก็ถึงแล้ว พวกเราเราไม่สะดวกที่จะออกหน้า จึงทำได้เพียงคุ้มกันท่านมาส่งที่นี่ ส่วนที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของท่านแล้ว”
“ได้”
“หมอจิน ความหมายของฝ่าบาทคือดวงตาคู่นั้น และต้องการให้ท่านควักมันออกมาด้วยมือของท่านเอง”
“……”
กู้ชูหน่วนกลอกตาใส่พวกเขา พลิกตัวลงจากหลังม้า และเดินไปข้างหน้า
พิธีสังเวยจะต้องครึกครื้นมาก
นอกจากนิกายเหล่านั้นแล้ว ยังมีราษฎรและขุนนางจำนวนมากมามุงดู กล่าวได้ว่าภายในมีสามชั้นและภายนอกสามชั้น ห่อไว้อย่างแน่นหนา
ผู้คนจำนวนไม่น้อยในนั้น ล้วนเป็นคนที่นางคุ้นเคย
กู้ชูหน่วนเบียดอยู่นานกว่าจะเบียดไปไปข้างหน้าได้
พิธีสังเวยครั้งนี้ยังคงนำโดยเหล่าตระกูลใหญ่
กู้ชูหน่วนเงยหน้าขึ้นมอง และเห็นคนคนหนึ่งถูกผูกติดอยู่บนกองฟืนตรงกลางแท่นสูง
เป็นผู้ชายรูปร่างสูงชะลูดและเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง
ชายผู้นี้อายุไม่มาก เพียงแค่ยี่สิบต้น ๆ แต่เขาผมขาวทั้งหัว ไม่มีผมสีดำแม้แต่เส้นเดียว หัวของเขายุ่งเหยิง และไม่เห็นว่าหน้าตาเป็นอย่างไร
แต่ดวงตาคู่นั้น ทำให้กู้ชูหน่วนตกใจ
ดวงตาข้างหนึ่งสีฟ้าและอีกข้างหนึ่งสีม่วง ใสราวกับหินสีที่ไม่มีสิ่งใดเจือปนเลยแม้แต่น้อย ทำให้ผู้ที่ได้เห็นรู้สึกชอบมันจากก้นบึ้งของหัวใจ
เพียงแต่ในดวงตาของเขามีความสับสน ราวกับเขาไม่รู้ว่าทำไมผู้คนถึงมารุมล้อมกันด่าทอเขา
ด้วยดวงตาที่ดูไม่มีพิษมีภัยคู่นั้น จะเป็นปีศาจร้ายได้อย่างไร
ไม่ว่าจะเป็นเหล่าตระกูลใหญ่หรือจักรพรรดินี ก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนไม่จริงใจ
เพียงแค่เป็นคนที่พวกเขาต้องการฆ่า ก็จะกลายเป็นคนที่มีชื่อเสียงไม่ดี
“ฆ่า ๆ ๆ ……ฆ่ามัน……”
“เมื่อปีศาจร้ายถือกำเนิดขึ้น รัฐปิงก็ประสบกับเภทภัยอย่างไม่ได้หยุดหย่อน ปีศาจร้ายจะต้องไม่ตายดี เผาเขาซะ”
“สำหรับคนเช่นนี้ ทำไมถึงต้องรอให้เที่ยง ฆ่าเขาเสียตอนนี้เลย”
“ตุ๊บ……”
คนจำนวนไม่น้อยปาไข่เน่าใส่ชายหนุ่มที่ถูกจับตัวไว้
มือและเท้าของชายหนุ่มถูกมัดไว้ เขาหวาดกลัวจนเบือนหน้าหนี และไม่สามารถต่อต้านได้ จึงทำได้เพียงแบกรับไข่และหินทุกชนิด
กู้ชูหน่วนรู้สึกเจ็บปวดใจอย่างบอกไม่ถูก
โดยเฉพาะผมที่ขาวทั้งหัวของเขา
ในใจของนาง คนเช่นนี้ไม่มีพิษมีภัยอย่างเห็นได้ชัด น่าจะเป็นคนที่รูปงาม และมีผมสีดำสนิท
เขาน่าจะสะอาดสะอ้าน และไม่ได้เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งเหมือนตอนนี้
“เงียบ ๆ” ผู้นำตระกูลไป๋หลี่ตะโกนเสียงดัง ผู้คนจึงค่อย ๆ เงียบสงบลง
ผู้นำตระกูลไป๋หลี่กล่าวว่า “ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ รัฐปิงของเราประสบกับภัยพิบัติจากตั๊กแตน ทางใต้เกิดอุทกภัย ทางเหนือเกิดภัยแล้ง ราษฎรไม่มีพืชผลทางการเกษตร ผู้คนอดตาย ก็เพราะปีศาจร้ายมาที่รัฐของเรา แต่สวรรค์เมตตา ทำให้พวกเราหาตัวการที่ก่อให้เกิดความหายนะพบ วันนี้เราในนามของฝ่าบาท ในนามของราษฎรใต้หล้า ในนามของสวรรค์ ปีศาจร้ายตนนี้จะต้องถูกกำจัด”
“กำจัดเขา ๆ คืนชีวิตที่ดีให้กับพวกเรา”
เหล่าราษฎรต่างพากันตะโกนตอบรับ
กู้ชูหน่วนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธ
จากนั้นพวกเขาก็จุดไฟ และตั้งใจจะเผาเขาทั้งเป็น
เมื่อเห็นว่าไฟกำลังจะลุกไหม้ นางไม่อาจละเลยพระประสงค์ของจักรพรรดินีที่ต้องการให้นางควักดวงตาของเขาออกมาทั้งเป็น นางจึงเตะคนที่กำลังจะจุดไฟจนกระเด็น
นางโบกแขนเสื้อ และยืนข้าง ๆ ชายหนุ่ม จากนั้นก็มองไปที่ฝูงชนอย่างเยือกเย็นชาและกล่าวเสียงดังว่า “ใครกล้าเผาเขา”
เหตุการณ์สงบลงในทันที ทุกคนต่างมองไปที่กู้ชูหน่วน
รัฐปิงและแม้แต่ดินแดนวิญญาณเยือกแข็ง เพียงแค่มีดวงตาที่สีต่างกัน ก็ล้วนเป็นเป้าหมายในการประณามของทุกคนอย่างไม่ต้องสงสัย
รัฐปิงมีความเชื่อที่สืบทอดมาแต่ตั้งแต่สมัยโบราณว่า เมื่อเห็นดวงตาของที่มีสีต่างกัน ต้องฆ่าอย่างไม่ละเว้น
แต่นางกล้าที่จะช่วยปีศาจตนนี้ นางจะเป็นศัตรูกับผู้คนใต้หล้างั้นหรือ?
ไป๋หลี่ป้าต่อต้านเป็นคนแรก เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดอะไร?”
“รู้สิ”
กู้ชูหน่วนมองฝูงชนด้วยสายตาที่เคร่งขรึม นัยน์ตาสีขาวดำเผยให้เห็นความมุ่งมั่นอย่างไม่อาจบรรยายได้
“แค่ช่วยเขาก็เป็นศัตรูกับคนทั้งรัฐปิง” ผู้นำตระกูลไป๋หลี่กล่าวเตือนอีกครั้ง
กู้ชูหน่วนหัวเราะเยาะด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม “ต่อให้ต้องเป็นศัตรูของผู้คนทั้งใต้หล้าแล้วอย่างไร ข้าจะปกป้องชายผู้นี้”
เมื่อได้ยินว่าข้าจะปกป้องชายผู้นี้ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นในทันที นัยน์ตาที่ข้างหนึ่งสีฟ้าข้างหนึ่งสีม่วงจ้องมองไปที่กู้ชูหน่วนด้วยความงุนงง
ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า หน้าตาอัปลักษณ์ แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาดใจ
ไม่ใช่เพียงแค่ชำเลืองมอง แต่กลับไว้ใจนางอย่างสุดใจ และดูเหมือนว่าความไว้ใจนี้จะมาจากจิตวิญญาณที่แท้จริงของเขา
ชายหนุ่มอ้าปากค้างเล็กน้อย และพลั้งปากตะโกนออกมาว่า “พี่หญิง……”
เสียงของเขาชัดเจนเช่นเดียวกับดวงตาของเขา แต่ด้วยเสน่ห์ที่น่าดึงดูด จึงยากที่จะพรรณนา
กู้ชูหน่วนตกตะลึงในใจ และรู้สึกเจ็บปวดอย่างอธิบายไม่ถูก
พี่……พี่หญิง……
เป็นใคร……
ใครที่มักจะเรียกนางเช่นนี้?
กู้ชูหน่วนหันหลังกลับมามองชายหนุ่มที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงและใบหน้าสกปรก จากนั้นก็ถามว่า “เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
“พี่หญิง……อาม่อเรียกท่านเช่นนี้นได้หรือไม่?”
“เจ้าชื่ออาม่อ?”
อาม่อ……
ดูเหมือนว่านางจะเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อน
“ไม่……ไม่รู้”
ดวงตาที่สับสนของชายหนุ่ม เริ่มสับสนมากยิ่งขึ้น
เขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองชื่ออะไร และยิ่งไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร
ในหัวของเขาว่างเปล่า และจำอะไรไม่ได้เลย
“แล้วทำไมเมื่อครู่เจ้าถึงเรียกตัวเองว่าอาม่อ?”
ชายหนุ่มส่ายหัว เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกปวดหัว
กู้ชูหน่วนไม่สนใจร่างกายที่สกปรกของเขา เขายกแขนเสื้อขึ้น ไม่รู้ว่ามีดสั้นปรากฏขึ้นมาบนฝ่ามือตั้งแต่เมื่อไหร่
และไม่รู้ว่านางลงมือตั้งแต่เมื่อไหร่ นางตัดเชือกที่มัดชายหนุ่มไว้แล้ว
นางจับศีรษะของเขาและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “คิดไม่ออกก็จะไม่ต้องคิดแล้ว ต่อไปพี่หญิงจะอยู่ข้าง ๆ เจ้า เจ้าจะไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะว่าตัวเองสูญเสียความทรงจำไปบางส่วนหรือไม่ นางถึงได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจเขา กู้ชูหน่วนจึงต้องการที่จะปกป้องชายที่อยู่ตรงหน้ามากยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มยิ้มอย่างโง่เขลาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็น้ำตาไหล และเอาหัวของตัวเองพิงไปบนหน้าอกของกู้ชูหน่วน และถูไปมาไม่หยุด
“มีพี่หญิงคอยปกป้องอาม่อ อาม่อก็ไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว”
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว
นางไม่ได้ขมวดคิ้วเพราะเขาเอาร่างกายที่สกปรกมาพิงนาง
และไม่ใช่เพราะไม่คุ้นเคยกับเขา
แต่เป็นเพราะ……
ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เป็น……คนโง่เขลา……
ในความทรงจำของนาง ผู้ชายเช่นนี้ไม่น่าจะเป็นคนโง่เขลา
อย่างน้อยหากกล่าวว่าเป็นแค่คนคนหนึ่งที่หลงทางหรือคนที่สมองต่างไปจากเดิม
แต่ตอนนี้……
นางรู้สึกว่าชายผู้นี้ไร้เดียงสา ไม่มีพิษภัย และสมองไม่ปกติ……
กู้ชูหน่วนยื่นมือออกไปและตบหลังของเขาเบา ๆ
“ต่อไปพี่จะไม่ยอมให้ใครมารังแกเจ้าอีก”
“อืม……”
ดวงตาของอาม่อแดงก่ำ
เขาอิงแอบอยู่ในอ้อมแขนของกู้ชูหน่วน ดูดดมกลิ่นกายของนางอย่างตะกละตะกลาม และไม่ยอมปล่อยอยู่เป็นเวลานาน
การได้กอดผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้า ราวกับว่าเขาได้โอบกอดโลกทั้งใบ