กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 929
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 929
เหวินเส่าอี๋กล่าว “เยี่ยจิ่งหานและเซี่ยวอวี่เซวียนอยู่ที่ใด?”
“อยู่ในวังหลวง ถูกจักรพรรดินีจับตัวเอาไว้ ข้าไม่รู้ว่าเซี่ยวอวี่เซวียนถูกขังไว้ที่ใด เยี่ยจิ่งหานถูกขังไว้ภายในหอดาบ”
กู้ชูหน่วนพูดออกมาจากการคาดเดาทั้งสิ้น
หนึ่ง เพื่อยื้อเวลา
สอง เพื่อล่อลวงให้เหวินเส่าอี๋ไปจัดการลงมือกับไป๋หลี่ป้าและจักรพรรดินี
ชายคนหนึ่งสวมใส่ชุดองครักษ์วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว จากนั้นคุกเข่าเดียว หลังจากทำความเคารพเหวินเส่าอี๋แล้ว และจึงเดินเข้าไปกระซิบข้างหูของเขาครู่หนึ่ง
กู้ชูหน่วนไม่ได้ยินว่าแท้ที่จริงแล้วพวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรกัน เห็นเพียงแค่เหวินเส่าอี๋เอาแต่จ้องมองมาที่นาง ราวกับต้องการจะมองนางให้ทะลุปรุโปร่งไปถึงข้างใน
ผ่านไปเป็นเวลานาน จากนั้นเหวินเส่าอี๋จึงกล่าวขึ้นมาว่า “ครั้งนี้ข้าจะยอมเชื่อเจ้า หากเจ้ากล้าที่จะโกหกข้า ข้าสาบานได้ว่าเจ้าจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน”
กู้ชูหน่วนยิ้มเยาะ “ชีวิตของข้าก็อยู่ในมือของเจ้าแล้ว ข้าจะกล้าโกหกเจ้าได้อย่างไร”
นางยังจำได้ไม่ลืมว่าครั้งที่แล้วที่เหวินเส่าอี๋ลงมืออย่างโหดเหี้ยมกับนางเพียงใด เพื่อที่จะแย่งชิงและได้ครอบครองวงแหวนอวกาศไปจากมือของนาง
“หัวหน้าเผ่า เช่นนั้นแล้ว เขาล่ะ?”
สามารถค้นหาดวงวิญญาณไปพร้อมกับการเพิ่มวรยุทธ์ไปถึงระดับเจ็ดได้
จอมมารหวาดกลัวจนเอาหน้าซุกเข้าไปในอ้อมแขนของกู้ชูหน่วน เพราะเกรงกลัวว่าจู่ๆ พวกเขาจะลงมือกับเขาอีก
เหวินเส่าอี๋เหลือบมองอย่างครุ่นคิดที่จอมมารผู้ตื่นตระหนกและหวาดกลัว
เมื่อนึกถึงอดีตตอนที่เขายังคงทรงอำนาจและครอบงำ คิดเพียงแค่ตัวเองนั้นยิ่งใหญ่และสูงส่ง ทำให้แววตาของเขาดูซับซ้อนเล็กน้อย
“ไม่เป็นไร ปล่อยเขาไปก่อน ถึงอย่างไรเสีย เขาก็หนีไปไหนไม่ได้”
“หัวหน้าเผ่า……”
บรรดาผู้อาวุโสทั้งแปดต่างพากันร้อนรนกระวนกระวายใจ
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเจอวิธีที่สามารถทำให้วรยุทธ์เพิ่มไปถึงระดับเจ็ดได้
เหตุใดถึงไม่เพิ่มวรยุทธ์ไประดับเจ็ดก่อนล่ะ?
แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะพูดข่มขู่ เช่นนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร พวกเขามีวิธีการมากมายให้ผู้หญิงคนนั้นยอมเชื่อฟัง
แต่ท่าทางของเหวินเส่าอี๋ดูมุ่งมั่นแน่วแน่ บรรดาผู้อาวุโสทั้งแปดจึงไม่กล้าพูดอะไรขึ้นมาเพื่อขัดใจเขา และทำได้เพียงเฝ้าจับตาดูกู้ชูหน่วนและจอมมารอย่างไม่ละสายตา
ทุกคนต่างพากันออกไป เหลือเพียงกู้ชูหน่วนและจอมมาร
กู้ชูหน่วนลูบศีรษะของเขาไปมา จากนั้นยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ต้องกลัว พวกเขาออกไปกันหมดแล้ว”
“พี่หญิง……”
“ยังรู้สึกเจ็บอีกหรือไม่?”
“อืม”
“ข้าจะเป่าให้เจ้า”
“อืม”
“ยังเจ็บอีกหรือไม่?”
“ดีขึ้นมากแล้ว พี่หญิง พวกเขาจะฆ่าพวกเราหรือไม่?”
“ไม่ ข้าไม่มีทางให้พวกเขาฆ่าเจ้าอย่างแน่นอน”
“ห้องลับแห่งนี้สร้างขึ้นด้วยหินขนาดใหญ่ ประตูใหญ่ของห้องลับก็มีหินขนาดใหญ่จัดวางอยู่ อีกทั้งยังถูกวางเครื่องรางมนต์ตราเอาไว้อย่างแน่นหนา มีเพียงการสัมผัสกลไกเท่านั้นที่สามารถแก้และเปิดเครื่องรางมนต์ตราได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ใครก็ไม่สามารถเปิดห้องลับนี้ได้ พี่หญิง เราไม่มีหนทางออกไปจากที่นี่ได้เลย”
“ไม่ต้องหนี พวกเขาจะเป็นฝ่ายปล่อยเราออกไปเอง”
จอมมารฟังอย่างงงงวย ทว่าเขากลับไม่ถามอะไรอีก และยังคงซุกอยู่ในอ้อมแขนของนาง
ดูเหมือนจะมีเพียงวิธีการนี้ ที่ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย
“เจ้าลุกขึ้นก่อน ข้าจะใช้โอกาสในช่วงเวลานี้รวบรวมพลังของข้าขึ้นมา”
“ข้าสอนท่านเอง”
กู้ชูหน่วนอยากจะตอบปฏิเสธออกไป
ทว่าเมื่อนึกถึงเมื่อสักครู่ที่พวกเขาบอกว่าซือม่อเฟยเคยเป็นยอดฝีมือระดับหกขั้นสูงสุด ทำให้นางพยักหน้า
มีเขาเป็นผู้คอยชี้นำ ไม่แน่นางอาจสามารถเพิ่มระดับวรยุทธ์ได้เร็วขึ้นก็เป็นได้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านไปแล้วสามวัน
กู้ชูหน่วนภายใต้การช่วยเหลือของซือม่อเฟย นางไม่เพียงแค่ฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บ อีกทั้งพละกำลังและวรยุทธ์ของนางก็กลับคืนมา และยังรู้สึกได้ถึงความรู้สึกในการที่กำลังจะเพิ่มระดับวรยุทธ์อีกด้วย
“ครื่น” เกิดเสียงดังขึ้น ประตูใหญ่ถูกเปิดออก
เหวินเส่าอี๋สวมใส่ในชุดสีขาว ราวกับเป็นเทพเทวดามาโปรดโลกมนุษย์
จอมมารถอยหลังออกไปตามสัญชาตญาณ
กู้ชูหน่วนยืนอย่างสงบและจ้องมองเขาอย่างกล้าหาญ
เหวินเส่าอี๋ไม่ต้องการพูดกับนางมากเกินไป
จากนั้นจึงกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา “เมื่อเจอดวงวิญญาณที่อยู่ในมือของจักรพรรดินีแล้ว เจ้าต้องนำมามอบให้ถึงมือของข้า จากนั้นค่อยทำการฆ่าสังหารจักรพรรดินี”
“เจ้าเป็นถึงยอดฝีมือระดับหกขั้นสูงสุดไม่ใช่หรือ? เจ้าไม่มีปัญญาฆ่าแม้เพียงจักรพรรดินีคนเดียวอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าเพียงตอบมาว่า ตกลงยอมทำตามหรือไม่”
กู้ชูหน่วนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า “ข้าตกลง ทว่าข้าเพียงคนเดียวไม่สามารถฆ่าพระนางได้ เจ้าจะต้องช่วยข้าก่อน”
“พูดมา”
“เรื่องแรก ช่วยข้ากำจัดพิษกู่ให้กับพวกเขาทั้งสองคน และช่วยชีวิตพวกเขาออกมา”
“สองคนไหน”
“ฝูกวงและลั่วอิ่ง ตอนนี้พวกเขาทั้งสองถูกขังอยู่ภายในวังหลวงของรัฐปิง”
เมื่อได้ยินชื่อของฝูกวงและลั่วอิง แววตาของเหวินเว่าอี๋ก็เต็มไปด้วยรัศมีอาฆาตสังหาร
กู้ชูหน่วนรู้สึกตัวแข็งทื่ออยู่ครู่หนึ่ง
นางคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว
ว่าความสัมพันธ์ของเหวินเส่าอี๋ เซี่ยวอวี่เซวียน เยี่ยจิ่งหานและคนอื่นๆ นั้นซับซ้อนอย่างมาก
อีกทั้งฝูกวงและลั่วอิ่งนั้นต่างเป็นห่วงเป็นใยเยี่ยจิ่งหานเสียยิ่งกว่าอะไร
เรื่องระหว่างพวกเขาจะต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอน
นางไม่เข้าใจ จากวรยุทธ์และความสามารถของเหวินเส่าอี๋แล้ว ต่อให้เป็นจักรพรรดินี เพียงแค่วางแผนอย่างรอบคอบ เช่นนั้นก็ไม่ยากที่จะกำจัดจักรพรรดินีไปได้
ทว่าเหวินเส่าอี๋กลับมาหานาง
อีกทั้งเขายังเดินทางมาคนเดียว
หากนางคาดเดาไม่ผิด เขาน่าจะอยากฆ่าจักรพรรดินีด้วยตัวของเขาเอง ไม่ใช่ว่าตระกูลเหวินต้องการฆ่าจักรพรรดินี
ฉะนั้น……เขาจึงปกปิดเรื่องนี้กับคนตระกูลเหวินทั้งหมดและมาหานาง
“ยังไม่ต้องพูดว่าวรยุทธ์ของจักรพรรดินีอยู่ที่ระดับใด ทว่าข้างกายของพระนางนั้นมียอดฝีมืออยู่นับไม่ถ้วน อีกทั้งพระนางยังเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐปิง คิดจะฆ่าพระนางนั้นไม่ง่าย ข้าไม่สามารถกระทำการด้วยมือเปล่าได้ ข้าจำเป็นต้องมีผู้ช่วยสองคน”
“ได้”
ใบหน้าของเหวินเส่าอี๋เผยให้เห็นถึงสัญญาณอันตราย
ถึงแม้ว่าเขาจะตอบตกลง ทว่าคำพูดของเขากลับทำให้รู้สึกขนหัวลุกไปถึงกระดูก
กู้ชูหน่วนรู้ว่า หลังจากที่จักรพรรดินีสวรรคต เหวินเส่าอี๋ไม่มีทางปล่อยฝูกวงและลั่วอิ่งอย่างแน่นอน
ไม่เป็นไร จัดการปัญหาที่อยู่ตรงหน้าไปเสียก่อน จากนั้นค่อยว่ากัน
“แม่กู่อยู่ในมือของเสด็จอา หากต้องการกำจัดพิษกู่ เช่นนั้นจำเป็นต้องฆ่าเสด็จอาเสียก่อน และความต้องการของข้าก็คือ เสด็จอาจะตายไม่ได้”
“เผ่าเพลิงฟ้ามีวิชาอาคมของตัวเองที่สามารถกำจัดพิษกู่ไปได้”
เผ่าเพลิงฟ้า?
อ๋า……
ที่แท้ ตระกูลเหวินเป็นเพียงสถานะอัตลักษณ์และอำนาจเพียงผิวเผินเท่านั้น
เผ่าเพลิงฟ้าต่างหากที่เป็นหัวหน้าใหญ่สินะ
“เรื่องที่สอง หลังจากที่จักรพรรดินีสวรรคต แต่งตั้งสถาปนาให้หยางโม่เป็นจักรพรรดิคนต่อไป”
เหวินเส่าอี๋หัวเราะเยาะอย่างเย็นชา “ฮึ……สถาปนาหยางโม่เป็นจักรพรรดิ? เหตุใดเจ้าถึงไม่สถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดินี?”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น ทว่าข้าไม่ได้อยู่ในตระกูลสายเลือดของราชวงศ์ เช่นนั้นแล้วใครจะเข้าข้างข้า?”
“ตระกูลลเหวินไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก”
“ตระกูลเหวินไม่ยุ่งเกี่ยว แต่ทว่าเผ่าเพลิงฟ้ายุ่งเกี่ยวนี่ อีกอย่าง หลังจากที่จักรพรรดินีสวรรคต หากยังมีจักรพรรดิที่ชั่วร้ายโผล่มาอีก เช่นนั้นเจ้ายังต้องเสียเวลาเพื่อฆ่าสังหารอีกครั้งหนึ่ง เช่นนั้นจัดการเสียให้จบในครั้งเดียวไปเลยไม่ดีกว่าหรือ”
“หยางโม่เสนออะไรให้กับเจ้า เหตุใดถึงทำให้เจ้าต้องการคิดจะช่วยเขา?”
“เขาไม่ได้เสนออะไรให้กับข้า เพียงแต่ข้าเห็นว่าเขาเป็นคนดี เมื่อเขาได้เป็นจักรพรรดิแล้ว คงไม่ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนก็เท่านั้นเอง”
“รัฐปิงมีเพียงจักรพรรดินีเสมอมา และไม่เคยมีจักรพรรดิผู้ชาย หยางโม่ไม่มีทางได้รับโอกาสนั้น”
กู้ชูหน่วนขมวดคิ้ว “กฎเกณฑ์เป็นสิ่งตายตัว ทว่าคนนั้นเป็นสิ่งมีชีวิต”
“ฟังให้ชัดเจน ตระกูลลเหวินไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในราชสำนัก ใครจะเป็นจักรพรรดินั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า”
“เจ้าต้องการให้รัฐปิงเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายอย่างนั้นหรือ?”
“……”
เหวินเส่าอี๋มีท่าทางแน่วแน่ ไม่มีพื้นที่แม้แต่จะต่อรองเลยสักนิด
เดิมทีกู้ชูหน่วนคิดจะลองใจของเขาดูสักเล็กน้อย
ทว่าเมื่อมองดูตอนนี้ เหวินเส่าอี๋ไม่มีความสนใจในเรื่องของราชวงศ์เลยสักนิดเดียว
ดูไปแล้ว เขาคิดเพียงต้องการฆ่าสังหารจักรพรรดินีเท่านั้น
ใครจะขึ้นมาเป็นจักรพรรดิในรัฐปิง เขาไม่สนใจเลยสักนิดเดียว
“ไม่เป็นไร เรื่องนี้ค่อยพูดกันวันหลัง เรื่องที่สามคือ ปล่อยอาม่อไป และห้ามรังแกหรือทำอะไรเขาอีกไปตลอดชีวิต”
“มู่หน่วน ความต้องการของเจ้าช่างสูงเสียเหลือเกิน”
“ข้าสามารถกำจัดตระกูลไป๋หลี่แทนเจ้าได้”
“ตระกูลไป๋หลี่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า?”
“เกี่ยวข้องแน่นอน หากไม่กำจัดตระกูลไป๋หลี่ เช่นนั้นแล้วจะครอบครองดวงวิญญาณได้อย่างไร”
ยังไม่ทันที่เหวินเส่าอี๋จะพูดขึ้นมา กู้ชูหน่วนก็พูดเสริมอีก “ข้ารู้ว่าด้วยความสามารถและวรยุทธ์ของเจ้าแล้ว หากต้องการกำจัดตระกูลไป๋หลี่นั้นเป็นเรื่องง่ายดายอย่างมาก ทว่าตระกูลไป๋หลี่ก็มียอดฝีมือจำนวนมาก หากเจ้าต้องกำจัดพวกเขา เช่นนั้นก็ต้องใช้กำลังความสามารถไม่น้อย และที่สำคัญก็คือ กระดาษไม่สามารถห่อไฟได้ เจ้าทำลายตระกูลไป๋หลี่ ไม่นานทุกคนบนโลกนี้จะต้องรู้ว่าพวกเจ้าเป็นคนทำ ถึงเวลานั้น ชื่อเสียงของตระกูลเหวินจะย่อยยับและเสียหายไม่น้อย”
“ข้าไม่เพียงสามารถกำจัดตระกูลไป๋หลี่ได้ ข้ายังสามารถนำดวงวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในตระกูลไป๋หลี่มาได้”