กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 931
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 931
กระทิงไฟเก้าเขาอยู่ในอารมณ์เดือดจัด และพ่นไฟออกมาราวกับทะเลเพลิง แผดเผาจนคนของตระกูลไป๋หลี่กรีดร้องอย่างโอดครวญ
กระทิงไฟเก้าเขาตะโกนออกมา “เข้ามาสิ เข้ามาทีละคน ข้าก็จะฆ่าทีละคน เข้ามาสองคนข้าก็จะฆ่าสองคน วันนี้ข้าจะทำให้ตระกูลไป๋หลี่ของพวกเจ้าต้องนองไปด้วยเลือด”
ผู้อาวุโสโมโหอย่างมากจนลูบเคราและจ้องตาเขม็ง
ตระกูลไป๋หลี่มีความยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์มาโดยตลอด และไม่เคยต่ำต้อยและถูกดูถูกเช่นนี้มาก่อนเลย
และตอนนี้สัตว์ร้ายที่พวกเขาดูถูกมากที่สุด กลับกล้าทำร้ายผู้คนในตระกูลพวกเขา ช่างเป็นเรื่องน่าตลกสิ้นดี
เมื่อเห็นว่าลูกศิษย์ของตระกูลไป๋หลี่สูญเสียและบาดเจ็บสาหัส ผู้อาวุโสกัดฟันกรอดและเปล่งเสียงออกมา “ช่างเหิมเกริม คลุ้มคลั่ง ปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายสร้างค่ายกล”
ปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายเข้าใจและทำการสร้างค่ายกล เพื่อใช้จิตวิญญาณในการควบคุมสัตว์ร้ายทั้งหมด
หางของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์สะบัดอย่างแรง
ขนาดของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ช่างใหญ่มากเหลือเกิน ซึ่งมีขนาดหนึ่งร้อยกว่าเมตร หางของมันมีขนาดใหญ่กว่าใบหน้าอย่างมาก
ปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายท่องคาถาเวทมนตร์ ทว่ากลับไม่สามารถทำอะไรเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ได้
ทว่าความไวของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ช่างว่องไวเหลือเกิน
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะต่อต้านขัดขืนก็ถูกหางของมันตบสะบัดจนกระเด็นออกไป และตายคาที่
ผู้อาวุโสของตระกูลไป๋หลี่ค่อยๆ ออกมาทีละคน
เมื่อเห็นสัตว์ร้ายแต่ละชนิดฆ่าลูกศิษย์ของตระกูลไป๋หลี่ลงอย่างอนาถ
และเมื่อเห็นหัวทั้งเก้าหัวและมีขนาดใหญ่ของเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กำลังกัดปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายจนตายอย่างไม่หยุดหย่อน หางของมันดูเหมือนจะขยับไปมาอย่างผ่อนคลาย ทว่าความจริงแล้วกลับสะบัดแกว่งไปมาจนทำให้ปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายตายไปเป็นจำนวนมาก
ดูเหมือนว่ามันจะมุ่งเป้าจงใจจัดการกับปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้าย มันยืนอยู่ข้างหน้าโดยเฉพาะเพื่อเปิดทางให้กับสัตว์ร้ายหลากหลายชนิดจำนวนมาก
“น่าโกรธเกรี้ยวอย่างมาก จัดการเจ้างูละโมบตัวนั้นให้ได้เสียก่อน”
“ขอรับ”
ผู้อาวุโสของตระกูลไป๋หลี่ต่างรู้ดีว่า หากคิดอยากจะกำจัดสัตว์ร้ายทั้งหมดลง มีเพียงการทำให้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ยอมจำนนหรือฆ่ามันให้ตายเสียก่อนเท่านั้น ไม่เช่นนั้นปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายทุกคน ไม่มีใครเลยที่จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้กับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ได้เลย
ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างพากันใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อจู่โจมเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์
ทันใดนั้น เงาของคนสองคนก็ปรากฏขึ้น
ท่ามกลางแสงอันเยือกเย็น ยอดฝีมือระดับสี่ขั้นสูงสุด แม้แต่ผู้อาวุโสที่มีวรยุทธ์ระดับห้าขั้นต้นก็ถูกหักคอลง
“ฉับๆ ควับๆ……”
ทุกคนต่างมองเห็นไม่ชัดเจน ผู้อาวุโสก็ได้ล้มลงทีละคน ภายในชั่วพริบตา ผู้อาวุโสตระกูลไป๋หลี่ก็ตายลงกว่าสิบคน
น่าสะพรึงกลัว……
ช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก
และยังมีความเร็วเช่นนั้น ช่างเร็วมากเสียเหลือเกิน
“ตุ่บ……”
และมีผู้อาวุโสอีกหนึ่งคนถูกมีดทิ่มแทงที่คอ
จากนั้นทำให้ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจน
คนที่ฆ่าพวกเขามีอยู่สองคน
วัยรุ่นสองคน
คนหนึ่งหล่อเหลา อายุไม่มาก ใบหน้าคล้ายกับตุ๊กตา ซึ่งดูแล้วช่างอ่อนเยาว์มาก
คนหนึ่งรูปงาม อายุก็ไม่มากเช่นกัน ทว่าปลดปล่อยรังสีเยือกเย็น สีหน้าของเขาว่างเปล่าและห้ามใครเข้าใกล้ ร่างกายของเขาแทบไร้อุณหภูมิ ดูไปแล้วไม่เหมือนคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทว่ากลับเหมือนคนตาย
วรยุทธ์ที่แข็งแกร่งน่าทึ่ง……
วิชาตัวเบาที่ว่องไวอย่างมาก……
“พวกเจ้าเป็นใครกัน? เหตุใดถึงต้องฆ่าผู้อาวุโสตระกูลไป๋หลี่ของพวกข้าด้วย?”
“ลงไปถามพญามัจจุราชที่นรกสิ”
ฝูกวงและลั่วอิ่ง คนหนึ่งใช้ดาบคู่ อีกคนหนึ่งใช้กระบี่คู่
เมื่อดาบและกระบี่รวมตัวกัน ทำให้เกิดการร่วมมือกันอย่างดีและมีอำนาจคงกระพัน
ไม่ว่าผู้อาวุโสของตระกูลไป๋หลี่จะแข็งแกร่งและเก่งกาจมากเพียงใด เช่นนั้นก็ไม่สามารถรอดพ้นการรวมพลังร่วมมือกันของดาบและกระบี่ของพวกเขาไปได้
เมื่อมีคนเข้าใกล้แม้เพียงนิดเดียว มีเพียงความตายเท่านั้นที่แทนที่
ผู้อาวุโสตายเพราะฝูกวงและลั่วอิ่ง
ปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายตายเพราะเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์
เหล่าสัตว์ร้ายยิ่งต่อสู้ยิ่งกล้าหาญขึ้นเรื่อยๆ
ทว่าลูกศิษย์ของตระกูลไป๋หลี่ยิ่งต่อสู้ก็ยิ่งพ่ายแพ้เรื่อยๆ
เพียงชั่วขณะหนึ่ง เลือดของตระกูลไป๋หลี่ก็นองเป็นแม่น้ำ
เจ้าเสือน้อยลูบไล้เท้าของมัน “นายท่าน ข้าก็อยากไปเช่นกัน”
“รีบร้อนอะไร……ประเดี๋ยวยังมีให้ต่อสู้อีก”
ตระกูลไป๋หลี่นั้นมีการสืบทอดกันมานับพันปี ยอดฝีมือในตระกูลก็มีนับไม่ถ้วน และไม่ได้มีเพียงคนเหล่านี้เท่านั้น
อีกทั้งไป๋หลี่ป้าก็ยังไม่ปรากฏออกมา
ผู้อาวุโสสูงสุดก็ยังไม่ออกมาเช่นกัน
โดยเฉพาะ……
เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์บอกไปแล้วว่าตระกูลไป๋หลี่มียอดฝีมือวรยุทธ์ระดับหกหนึ่งคนด้วยเช่นกัน
และตระกูลอื่นจะเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุนตระกูลไป๋หลี่ด้วยหรือไม่ก็ไม่อาจรู้ได้
นี่คือการต่อสู้ที่ยากเข็ญ และนางจำเป็นต้องได้รับชัยชนะเท่านั้น
เวลาผ่านไปเป็นเวลานาน การต่อสู้เริ่มดุเดือดขึ้น ตระกูลไป๋หลี่ล้มตายเป็นกองเลือด และมีจำนวนมากที่บาดเจ็บสาหัสกระดูกแขนขาหักกระจัดกระจาย
ทว่าผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสสูงสุดที่มีอำนาจทั้งหลายกลับยังไม่ปรากฏตัวออกมา
กู้ชูหน่วนได้กลิ่นแปลกๆ และรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
นางมองไปยังเขตพื้นที่หวงห้ามของตระกูลไป๋หลี่ และมองไปยังประตูใหญ่ของตระกูลไป๋หลี่
เมื่อสักครู่ในระหว่างที่ทำการต่อสู้นั้น ผู้อาวุโสของตระกูลไป๋หลี่ได้ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกไปนับครั้งไม่ถ้วน
ผู้นำตระกูลกลับไม่มาช่วยเหลือสนับสนุน
อีกทั้งสำนักและนิกายอื่นๆ ก็ไม่ได้เดินทางมาช่วยเหลือด้วยเช่นกัน
จักรพรรดินีเป็นผู้สั่งห้ามอย่างนั้นหรือ?
หรือว่าเหวินเส่าอี๋เป็นผู้สั่งห้าม?
“ซู่วๆ……”
งูจงอางตัวหนึ่งเลื้อยเข้ามา และโผล่ไปที่กู้ชูหน่วนด้วยความตื่นเต้นและกล่าวว่า “นายท่านๆ ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ไม่มีกองกำลังที่เดินทางเข้ามาช่วยเหลือตระกูลไป๋หลี่ในระยะทางหลายร้อยเมตร เรารออยู่นานก็ไม่มีใครปรากฏตัวขึ้นมา ไม่เช่นนั้นให้พวกข้าเข้าร่วมการสนามต่อสู้เลยเถอะ เพื่อจะได้ทำลายตระกูลไป๋หลี่ให้สิ้นซากไปเลย”
“ไม่มีแม้แต่คนเดียวเลยหรือ?”
“เอ่อ……มียอดฝีมือเพียงไม่กี่คนใกล้เข้ามา ทว่า……ข้าเห็นว่าพวกเขาไม่มีทีท่าจะลงมือ ฉะนั้นจึงไม่ได้ทำการขัดขวางพวกเขา ลูกน้องของข้าได้คอยเฝ้าสอดส่องพวกเขาอยู่ หากพวกเขาลงมือ เช่นนั้นพวกข้าก็จะเริ่มลงมือด้วยเช่นกัน”
“แล้วไป๋หลี่ป้าพวกเขาล่ะ? พวกเขาอยู่ที่ไหนหรือ?”
“พวกเขาล้วนต่างอยู่ภายในห้องลับในเขตพื้นที่หวงห้าม นายท่านเคยบอกข้าว่าเขตพื้นที่หวงห้ามอยู่ที่ใด ไม่เช่นนั้น ข้าจะพาท่านเข้าไป”
“เจ้าเสือน้อย พาเพื่อนๆ เสือของเจ้าบุกไปต่อสู้ในแนวหน้า แล้วเราไปหาไป๋หลี่ป้าด้วยกัน”
“ได้ขอรับ”
“นายท่านๆ เช่นนั้นแล้วพวกข้าล่ะ?”
“เฝ้าอยู่ที่นี่ต่อไป หากมีคนเข้ามาช่วยเหลือสนับสนุน ไม่ว่าใครก็ตาม ให้ทำการขัดขวางและห้ามปรามโดยไม่มีข้อยกเว้น”
ดูเหมือนงูจงอางยังต้องการจะพูดอะไร ทว่ากู้ชูหน่วนกลับไม่อยู่ตรงหน้าแล้ว จากนั้นจึงทำได้เพียงเลื้อยออกไป
เขาเป็นถึงงูจงอางที่ยิ่งใหญ่ ทว่าเขากลับเป็นเพียงตัวสำรอง และมองดูคนอื่นต่อสู้อย่างอิจฉา ความรู้สึกเช่นนี้ช่างไม่มีความสุขเอาเสียเลย
ไกลออกไป
ท่านผู้เฒ่าหนิงมองดูพลุไฟที่ลุกโชติช่วงบนท้องฟ้าของตระกูลไป๋หลี่ และสูดดมกลิ่นคาวเลือดที่เหม็นฉุน รวมไปถึงศพที่ล้มตายลงเรื่อยๆ จากนั้นเขาจึงถอนหายใจออกมา
หนิงเทียนโย่วที่อยู่ข้างๆ กล่าวขึ้นมาอย่างโศกเศร้า “ช่างน่าอนาถเหลือเกิน เป็นถึงตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ทว่ากลับถูกสัตว์ร้ายกลุ่มหนึ่งฆ่าสังหาร และที่น่าเจ็บแค้นที่สุดคือตระกูลไป๋หลี่ได้รับสมญานามว่ามีปรมาจารย์ควบคุมสัตว์ร้ายที่เชี่ยวชาญเก่งกาจนับร้อยคน และเป็นตระกูลใหญ่ที่ทำหน้าที่ในการควบคุมสัตว์ร้ายโดยเฉพาะ”
ไม่สามารถควบคุมสัตว์ร้ายได้
ทว่ากลับถูกเหล่าสัตว์ร้ายลงมือทำลายตระกูล
นี่ไม่ใช่การประชดประชันจะเรียกว่าอะไร
“ท่านปู่ เราต้องยื่นมือให้ความช่วยเหลือหรือไม่ขอรับ?”
“ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ? จะช่วยอย่างไร? เจ้าไม่เห็นหรือว่าบริเวณรอบๆ นั้น มู่หน่วนได้วางกับดักซุ่มโจมตีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และยังมีอีกตั้งเท่าไรไม่รู้”
“อ๋า……ที่ไหนหรือขอรับ เหตุใดข้าถึงมองไม่เห็น”
ท่านผู้เฒ่าหนิงตบศีรษะของเขา “เหตุใดข้าถึงมีหลานชายที่โง่เขลาอย่างเจ้าด้วยนะ ตอนที่ตระกูลไป๋หลี่จุดพลุไฟส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ มีหลายสำนักและนิกายอยากยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ ทว่ากลับถูกฆ่าสังหารลงเพียงชั่วพริบตา นี่หมายความว่าอย่างไร? นี่ก็หมายความว่านอกจากเด็กผู้หญิงคนนั้นแล้ว ยังมีคนที่ต้องการให้ตระกูลไป๋หลี่ต้องถูกทำลายอย่างสิ้นซาก อีกทั้งคนคนนี้ไม่ได้มีเพียงวรยุทธ์ที่น่าสะพรึงกลัวเท่านั้น ทว่าเขายังมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก”
“เจ้าไม่เห็นหรือว่าตระกูลเหวินและตระกูลซั่งกวนต่างปิดประตูไม่ต้อนรับแขกหรือ? หากตระกูลหนิงของเราอยากยื่นมือเข้าช่วย เช่นนั้นก็เกรงว่าเมื่อตระกูลไป๋หลี่ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น เช่นนั้นก็ถึงเวลาของตระกูลหนิงของเราอย่างแน่นอน”
หนิงเทียนโย่วตกตะลึง “ท่านปู่ ท่านไม่ได้พูดเกินจริงใช่หรือไม่?”
“เจ้าเห็นว่าข้าพูดเกินจริงอย่างนั้นหรือ?”
“เช่นนั้นแล้วใครกันหรือที่ต้องการช่วยมู่หน่วน? หรือว่าจะเป็นเซี่ยวอวี่เซวียน นอกจากเซี่ยวอวี่เซวียนแล้ว ดูเหมือนจะไม่มีใครคิดจะช่วยเหลือนางเช่นนี้แล้ว”
“ถึงแม้ว่าเซี่ยวอวี่เซวียนจะเก่งกาจ ทว่าเขาเก่งกาจมากเพียงใดก็มีเพียงเขาคนเดียว เขาจะวางกับดักเอาไว้มากมายเช่นนั้นได้อย่างไร อีกทั้งเขาจะลงมือกำจัดคนที่เดินทางเข้าไปช่วยเหลือตระกูลไป๋หลี่ในเวลาเดียวกันได้อย่างไร”
ผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ในรัฐปิงนั้น
นอกจากตระกูลซั่งกวน ตระกูลเหวิน เห็นจะมีเพียงจักรพรรดินีและขุนนางในราชสำนักเท่านั้น
หนิงเทียนโย่วกล่าว “ไม่ว่าใครช่วยมู่หน่วน อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนดี ตระกูลไป๋หลี่ทำชั่วร้ายนับไม่ถ้วนและสมควรถูกกำจัดไปนานแล้ว วันนี้หากต้องฆ่าล้างตระกูลก็ปล่อยไปเถอะ เพียงแต่ข้ารู้สึกสงสารคนใช้ผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นเหลือเกิน”