กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ - บทที่ 992
กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 992
“เจ้าเพิ่งรู้หรือว่าตัวเองโง่? กองกำลังทหารที่เจ้าจัดวางไว้รอบตัวเมืองได้ถูกเราจัดการแล้ว และปรมาจารย์ควบคุมอสูรร้ายของเจ้าก็ถูกเราจัดการแล้วด้วยเช่นกัน”
“คิดไม่ถึงใช่หรือไม่ว่าข้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? เรื่องที่เจ้าคิดไม่ถึงยังมีอีกมาก”
กู้ชูหน่วนมองไปยังประตูวังหลวง และมีกลุ่มคนจำนวนมากสมทบกันเข้ามา
ผู้ที่นำมาก็คือท่านอ๋องเสวี่ย
ท่านอ๋องเสวี่ยเปลี่ยนจากผู้ที่มีความสง่าผ่าเผยกลายเป็นสวมชุดเกราะและถือมีดคม และนำกองทัพทหารผู้ยิ่งใหญ่มุ่งหน้าเข้าไปยังแท่นทำพิธีบวงสรวงสวรรค์
บรรดากองกำลังทหารที่เข้ามาก็ได้ปิดล้อมที่นี่ไว้ทั้งหมด
เหล่าขุนนางและข้าราชบริพารทั้งดีใจและตกใจอย่างมาก
“ท่านอ๋องเสวี่ย ท่านอ๋องเสวี่ยมาช่วยเราแล้ว”
หยางโม่และหยางม่านก็ต่างพากันตื่นเต้นดีอกดีใจ
“เสด็จอามาแล้ว ในที่สุดเสด็จอาก็มาแล้ว รัฐปิงของเรามีโอกาสรอดแล้ว”
ท่านอ๋องเสวี่ยชี้ดาบไปที่จักรพรรดินีและกล่าวอย่างเคร่งขรึม “จักรพรรดินีทรราช เจ้าฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างไร้ความปรานี เจ้าทำร้ายผู้จงรักภักดีอย่างเหี้ยมโหด วันนี้ข้าจะฆ่าเอาชีวิตเจ้า”
“ฆ่าข้างั้นหรือ? ฮ่าๆๆ เจ้าคิดจะทำการกบฏงั้นหรือ?”
“คิดกบฏแล้วจะทำไม? เจ้าคิดว่าในมือของเจ้ายังมีทหารที่ใช้งานได้อีกหรือ? ทหารของจักรพรรดิที่เจ้าสั่งออกไปประจำอยู่นอกเมืองและรวมถึงทหารในพื้นที่อื่นๆ ต่างก็ทำการประท้วง เจ้ายังมีอะไรที่สั่งการได้อีก”
บรรดาขุนนางต่างตกตะลึง “นั่นถือเป็นกองกำลังทหารชั้นยอดกว่าแสนนายเชียวนะ เหตุใดถึงทำการกบฏง่ายๆ เช่นนี้?”
“ใช่ บรรดาทหารจักรพรรดิเหล่านั้นเชื่อฟังคำสั่งของฝ่าบาทเพียงคนเดียวเท่านั้น เหตุใดถึงคิดกบฏได้? ท่านอ๋องเสวี่ยอย่าพูดเล่นหน่อยเลย”
“ใครจะกล้าล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้ อีกอย่าง หากพูดเล่นละก็ เหตุใดตอนนี้ทหารของจักรพรรดิถึงยังไม่มาสมทบสนับสนุนอีกล่ะ”
ท่านอ๋องเสวี่ยกล่าว “จักรพรรดินีทรราช นี่คือจุดจบของการที่เจ้าฆ่าสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ เดิมทีพวกเขาไม่คิดจะก่อกบฏด้วยซ้ำ ทว่าเจ้ากลับฆ่าสังหารแม่ทัพเฉิน แม่ทัพเฉินถือเป็นผู้อาวุโสที่อยู่มากว่าสามราชวงศ์ ตระกูลเฉินมีความดีความชอบด้านการทหารมาอย่างยาวนาน และแม่ทัพของกองกำลังทหารของจักรพรรดิก็เป็นคนที่เขาฝนซ้อมด้วยตัวเอง เจ้ากลับฆ่าเขาอย่างไร้ความปรานี เช่นนี้มีหรือที่เขาจะไม่คิดกบฏต่อเจ้า?”
ท่านอ๋องเสวี่ยยิ่งพูดก็ยิ่งเศร้าใจ
แม่ทัพเฉินอุทิศตนเพื่อรัฐปิงมาโดยตลอด
ตระกูลเฉินทุกคนก็จงรักภักดีต่อจักรพรรดินีอย่างมาก
ทว่ากลับต้องมาตายลงด้วยเงื้อมมือของนาง
ทหารนายหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อนและคุกเข่าลงต่อหน้าท่านอ๋องเสวี่ย จากนั้นก็กล่าวรายงานว่า “ท่านอ๋อง ทหารรักษาพระองค์ได้ถูกเราควบคุมไว้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทหารรักษาพระองค์ก็ถูกควบคุม เช่นนั้นตอนนี้จักรพรรดินีก็ไม่มีกองกำลังทหารที่ไหนที่สามารถออกคำสั่งได้อีกแล้ว
มีขุนนางคนหนึ่งลุกขึ้นกล่าวหาท่านอ๋องเสวี่ย “ท่านอ๋อง ท่านคิดจะก่อกบฏวังหลวงอย่างนั้นหรือ? แม้ว่าฝ่าบาทจะมีความผิด เพียงแค่เหล่าขุนนางสั่งสอนชี้นำฝ่าบาทอย่างดี เชื่อว่าฝ่าบาทจะต้องตระหนักได้อย่างแน่นอน ท่านรีบวางมือเถอะ วางมือตอนนี้ฝ่าบาทอาจไว้ชีวิตท่านก็ได้”
กู้ชูหน่วนหัวเราะ “สมองของเจ้ามีปัญหาหรือไง? ผู้หญิงบ้าคลั่งคนนี้จะปล่อยเขาไปอย่างนั้นหรือ? หากนางคิดจะปล่อยจริง ตอนนั้นนางคงไม่ส่งคนตามไล่ฆ่าเขาหรอก”
จักรพรรดินีหัวเราะเสียงดังและใช้แววตาเหยียดหยามจ้องมองไปที่ทุกคน
“พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าควบคุมทุกคนได้แล้วงั้นหรือ? แล้วทหารอารักขาและกองทัพมังกรบินล่ะ?”
ทหารอารักขาฟังคำสั่งของจักรพรรดินีเพียงคนเดียวเท่านั้น และพวกเขามีความลึกลับอย่างมาก
ไม่มีทางที่จะเข้าถึงตัวพวกเขาได้อย่างแน่นอน
ทำให้ไม่สามารถเข้าไปควบคุมพวกเขาได้
ทว่ากองกำลังมังกรบินคืออะไร?
กองกำลังมังกรบินได้แยกย้ายกันไปนานแล้วไม่ใช่หรือ?
นั่นถือเป็นกองกำลังทหารที่แข็งแกร่งที่สุดของรัฐปิงที่อยู่ยงคงกระพันและไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง
หลายร้อยปีก่อนรัฐปิงมีความอ่อนแอและเกือบถูกทำลายลง แต่หลังจากที่กองกำลังมังกรบินออกมาทำการสงคราม ก็ทำให้ทหารของศัตรูพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
ทว่าพวกเขาก็ประสบกับความสูญเสียอย่างหนักเช่นกัน
และหลังจากนั้น รัฐปิงก็ไม่เคยมีการก่อตั้งกองกำลังมังกรบินขึ้นมาอีกเลย
และทันทีที่จักรพรรดินีปรบมือ ทหารอารักขาก็พากันพุ่งเข้ามาจากไหนไม่รู้
จากนั้นก็มาหยุดยืนประจันหน้ากับท่านอ๋องเสวี่ย
“ท่านอ๋อง…จู่ๆ ก็มีกองทัพลึกลับปรากฏขึ้นในเมืองหลวง พวกเขามีความแข็งแกร่งอย่างมาก และมีจำนวนมากพอๆ กับจำนวนของเราพ่ะย่ะค่ะ” ไกลออกไปมีเปลวเพลิงพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า มีเสียงคำรามแห่งการฆ่า และกลิ่นของเลือดก็อบอวลไปพร้อมกับลม
เมื่อมองไปรอบๆ เมืองหลวงกลับเต็มไปด้วยควันดินปืน
สีหน้าของผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านอ๋องเสวี่ยเปลี่ยนไปอย่างมาก
ไม่ง่ายเลยที่พวกเขาจะควบคุมสถานการณ์โดยรวมเอาไว้ได้ ทว่าเวลาผ่านไปไม่นานก็ถูกโจมตีกลับ?
ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างกำยำและมีสีหน้าที่เคร่งขรึมในชุดเกราะก้าวขึ้นไปหาจักรพรรดินี คุกเข่าลงด้วยขาข้างหนึ่งและทำคำนับพร้อมกับยกกำปั้นขึ้นมา
“หลินเฟย หัวหน้ากองกำลังมังกรบินคารวะฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดินียิ้มออกมาอย่างเจือจางและกล่าวว่า “สถานการณ์การรบเป็นอย่างไรบ้าง?”
“แม้ว่าทหารของจักรพรรดิจะก่อกบฏขึ้น แต่ประตูเมืองก็ถูกเราควบคุมไว้ ทำให้พวกเขาไม่มีทางเข้ามายังเมืองหลวงเพื่อเสริมทัพกองกำลังกบฏได้ และตอนนี้ทหารของเรากำลังต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างดุเดือด อย่างมากคาดว่าจะใช้เวลาสามวันก็สามารถกำจัดพวกเขาหมดลงพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดินีขมวดคิ้วและกล่าวน้ำเสียงไม่พอใจ “สามวัน? นานเกินไป ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไร ข้าให้เวลามากสุดเพียงครึ่งวัน พวกเจ้าต้องกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก”
หลินเฟยแสดงสีหน้าเคร่งเครียด ทว่าก็ตอบรับคำสั่ง
ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านอ๋องเสวี่ยล้วนเป็นผู้กล้าหาญ สามวันก็ถือว่ารวดเร็วมากแล้ว
หากเป็นครึ่งวัน นอกจากว่ากองกำลังมังกรบินทั้งหมดจะออกมาต่อสู้กับพวกเขา
การต่อสู้นั้นดุเดือดและมีเสียงการต่อสู้อยู่ทุกหนทุกแห่ง แม้ว่าท่านอ๋องเสวี่ยจะกังวลมาก ทว่าเขาก็ไม่ได้แสดงออกให้เห็น ทว่าเขากลับตะโกนใส่หลินเฟย
“ช้าก่อน ล้วนเป็นกองกำลังทหารของรัฐปิง คิดจะฆ่ากันเองเช่นนี้หรือ”
หลินเฟยกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉย “หากใครคิดก่อการกบฏ กองกำลังมังกรบินก็จะฆ่าสังหารผู้นั้นและกองกำลังมังกรบินก็เชื่อฟังคำสั่งของฝ่าบาทเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น”
“นางสั่งให้พวกเจ้าจัดการสถานการณ์สงครามลงภายในเวลาครึ่งวัน เช่นนั้นก็เท่ากับนางต้องการให้พวกเจ้าไปตายกันทั้งหมด”
“ต่อให้ต้องตาย กองกำลังมังกรบินก็จะต้องกำจัดพวกคนที่คิดก่อการกบฏให้สิ้นซาก”
จากนั้นก็มีทหารคนหนึ่งมีร่างกายเปียกโชกไปด้วยเลือดวิ่งเข้ามารายงาน “ท่านอ๋องเสวี่ย กองกำลังมังกรบินใช้วิธีการฆ่าล้างอย่างราบคาบ แม่ทัพจ้าว แม่ทัพอวี๋และแม่ทัพเทียนได้ขอกำลังสมทบด่วน พวกเขาใกล้จะรับมือต่อไม่ไหวแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ทุกคนต่างโกลาหลและต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานาด้วยความเจ็บปวดใจ
มีเพียงจักรพรรดินีที่ยังคงมีความสุขและรอฟังข่าวดี
ท่านอ๋องเสวี่ยเดินออกไปชี้ไปที่จักรพรรดินีและตะโกนใส่หลินเฟย “เจ้าบอกว่ากองกำลังมังกรบินเชื่อฟังคำสั่งของฝ่าบาทเพียงคนเดียวเท่านั้น เช่นนั้นหากนางไม่ใช่ฝ่าบาทตัวจริงล่ะ?”
โอ้ว….
สถานการณ์ที่โกลาหลอยู่แล้วกลับยิ่งโกลาหลวุ่นวายมากกว่าเดิมเพราะคำพูดของท่านอ๋องเสวี่ย
นางไม่ใช่ฝ่าบาท?
เช่นนั้นฝ่าบาทตัวจริงอยู่ที่ไหนกันแน่?
ขุนนางอาวุโสกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านบอกว่าฝ่าบาทไม่ใช่ฝ่าบาทตัวจริง ท่านมีหลักฐานอะไรอย่างนั้นหรือ? คำนี้จะพูดออกมาลอยๆ ไม่ได้”
“ท่านอ๋องเสวี่ยอย่าพูดเพียงเพื่อต้องการให้ตัวเองได้รับชัยชนะเลย”
เหวินเส่าอี๋จับจ้องสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างจดจ่อ
และอดไม่ได้ที่จะคาดหวังว่าผู้หญิงคนนี้คือจักรพรรดินีตัวปลอม
ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาก็จะได้ไม่ต้องแต่งงานกับนาง
กู้ชูหน่วนมองไปที่ท่านอ๋องเสวี่ยอย่างตกใจ
ทว่ากลับเห็นว่าท่านอ๋องเสวี่ยใช้สายตาแห่งความเคารพนอบน้อมจ้องมองมาที่นาง
หรือว่า…..
ท่านอ๋องเสวี่ยจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของนาง?
จักรพรรดินีตัวจริงไม่ได้บอกความลับนี้กับคนอื่นก่อนที่นางจะตายไปไม่ใช่หรือ? ท่านอ๋องเสวี่ยจะรู้ได้อย่างไร?
ท่านอ๋องเสวี่ยกล่าวอย่างซาบซึ้งใจและเสียงดัง “ทุกคนลองสังเกตดูให้ดีว่านิสัยของฝ่าบาทเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนอย่างมากใช่หรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อสามปีก่อน”
บรรดาขุนนางต่างครุ่นคิด
แม้ว่าก่อนหน้านี้ฝ่าบาทจะไม่มีความเฉลียวฉลาดเท่าไรนัก ทว่าก็ไม่ได้เป็นคนที่ฆ่าสังหารผู้บริสุทธิ์อย่างไร้ความปรานีเช่นนี้
อีกทั้งยังไม่มีความคิดสนใจมักใคร่ในกามเช่นนี้อีกด้วย
ทว่าฝ่าบาทกลับมีนิสัยเปลี่ยนไปมาก ทำอะไรก็มักนึกถึงความต้องการความชอบของตัวเองเป็นใหญ่ โดยไม่รับฟังความคิดเห็นของประชาชนคนอื่นเลย
และยังค้นหายอดฝีมือที่หล่อเหลาสง่างามเข้ามายังวังหลวงเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังทรมานพวกเขาให้ตายทั้งเป็น
ต่อให้ความชอบส่วนตัวจะเปลี่ยนไปมากแค่ไหนก็ไม่สมควรที่จะเปลี่ยนไปมากเช่นนี้