ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ - ตอนที่ 145
ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ – ตอนที่ 145 เข้าข้างภรรยาแน่นอนอยู่แล้ว / ตอนที่ 146 คลินิกยังไงก็ต้องเป็นของฉัน!
ตอนที่ 145 เข้าข้างภรรยาแน่นอนอยู่แล้ว
อวี๋กานกานโมโหจนแทบอยากจะกระทืบเท้าเร่าๆ พูดอำเธอไม่พอ ทำไมถึงต้องอำแม้แต่ลู่เสวี่ยเฉินด้วย อีกทั้งลู่เสวี่ยเฉินยังเชื่ออีก นี่มันอุดหูขโมยกระดิ่งชัดๆ[1] เธอมองหน้าลู่เสวี่ยเฉินกล่าวอย่างจริงจัง “ฉันกับเขาไม่สนิทกันจริงๆ”
ลู่เสวี่ยเฉินเลิกคิ้วขึ้น “โอเคๆ คุณไม่สนิทกับเขาเนาะ”
ท่าทางของลู่เสวี่ยเฉินสุดแสนจะประชดประชัน มองแวบเดียวก็รู้ว่าเขาไม่เชื่อ เธอพูดต่อ “เขาไม่ใช่สามีของฉัน”
ลู่เสวี่ยเฉินพยักหน้า “ใช่ๆ คุณเป็นภรรยาของเขา”
อวี๋กานกานเอือมระอา เบ้ปาก “ที่ฉันพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง”
ลู่เสวี่ยเฉินยิ้มอย่างเสแสร้ง ทำหน้ามุ่ย “พอๆ พวกคุณสองคนช่วยหยุดสวีทหวานต่อหน้าผมสักที เหม็นกลิ่นความรัก”
อวี๋กานกานอ้าปากค้างดวงตาเบิกโต “…”
เธอกำลังพูดแยกแยะให้ชัดเจนอยู่แท้ๆ ทำไมถึงกลายมาเป็นสวีทหวานได้ อวี๋กานกานเอือมระอาสุดๆ บ่นพึมพำ “ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามาสนใจนาย”
เธอกำลังจะก้าวขาแต่กลับถูกฟังจือหันคว้าแขนไว้ “ไปไหน?”
“แน่นอนว่าทำเรื่องที่ควรทำ พลิกวิกฤตไงล่ะ” อวี๋กานกานหมุนกายมามองฟังจือหัน นัยน์ตาฉายแววความเจ้าเล่ห์ “เอ่อ…นายจะช่วยฉันไหม”
ดวงตาเรียวยาวทรงเสน่ห์ของฟังจือหันแฝงไว้ด้วยความหยอกเย้า “คุณอยากให้ผมช่วย”
“ใช่”
“ดีเลย”
ลู่เสวี่ยเฉินส่งเสียงจุ๊ปากสองครั้ง มองอวี๋กานกานแล้วพูดด้วยความเจ็บปวด “ผม!…ครั้งก่อนผมขอให้ฟังจือหันช่วย แต่เขาตั้งเงื่อนไขกับผมสิบข้อ น้องกานกาน เขาไม่ตั้งเงื่อนไขสักข้อกับคุณก็ตอบตกลงทันที คุณยังกล้าพูดอยู่อีกเหรอว่าพวกคุณไม่สนิทกัน” จากนั้นเขาก็หันไปแค่นเสียงขึ้นจมูกใส่ฟังจือหัน“เหอะ ลำเอียง”
แววตาของอวี๋กานกานปรากฏความประหลาดใจ “ขอช่วยเรื่องเดียวแลกกับสิบข้อ จริงหรือพูดอำเนี่ย”
ลู่เสวี่ยเฉินพูดด้วยความโมโห “จริงแท้แน่นอน”
อวี๋กานกานหัวเราะออกมา เธอไม่เชื่อ รู้สึกว่าลู่เสวี่ยเฉินพูดโอเวอร์เกินจริง เธอลุกขึ้นยืน “ในเมื่อจะช่วยฉัน งั้นก็รีบไปกันเถอะ”
“ไปไหน?”
“ตรวจสอบ”
…
หลังจากนั้นสามสิบนาที ลู่เสวี่ยเฉินขับรถมาถึงใต้อาคารที่อยู่อาศัยหลังหนึ่ง เขาหันไปมองอวี๋กานกานและฟังจือหันที่นั่งอยู่ด้านหลังอย่างไม่เข้าใจ “ที่นี่ที่ไหน มาทำอะไรที่นี่”
อวี๋กานกานโน้มตัวเกาะอยู่บนกระจก ท่าทางระแวดระวัง “บอกไปแล้วไง มาตรวจสอบ”
ลู่เสวี่ยเฉินถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ตรวจสอบอะไรล่ะ” เขาหันไปมองฟังจือหันอย่างไม่เข้าใจ แววตาของฟังจือหันเองก็มองอวี๋กานกานด้วยความงุนงงเช่นกัน
อวี๋กานกานกล่าว “นี่เป็นบ้านของผู้ตายคนนั้น ถึงแม้เรื่องจะเข้าสู่ขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมแล้ว แต่ฉันรู้สึกว่าข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ ฉันต้องตรวจสอบด้วยตัวเองอีกรอบ”
ลู่เสวี่ยเฉินตะลึงงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นมองอวี๋กานกานด้วยสีหน้างงงวย “แล้วคุณจะให้ฟังจือหันช่วยอะไร”
“ขับรถพาฉันมา ช่วยฉันสืบ คุ้มกันฉันประมาณนี้”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบของอวี๋กานกาน ลู่เสวี่ยเฉินก็หลุดขำก๊ากออกมาชนิดที่เรียกได้ว่าชักดิ้นชักงอ
อวี๋กานกานขมวดคิ้วมองลู่เสวี่ยเฉิน สีหน้าสับสนงุนงง “นายขำอะไรไม่ทราบ” เมื่อครู่มีคนเดินผ่านไป อวี๋กานกานสะดุ้งเล็กน้อยจ้องลู่เสวี่ยเฉิน “นายหยุดหัวเราะสักที มีคนเห็นเราแล้ว…”
ลู่เสวี่ยเฉินไม่เพียงแต่ไม่หยุดหัวเราะ มิหนำซ้ำยังหัวเราะหนักกว่าเก่าจนน้ำตาแทบจะเล็ดออกมาอยู่แล้ว เขาฟุบลงไปกับพวงมาลัยรถยนต์ หัวเราะอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้
คิ้วของอวี๋กานกานมุ่นเข้าหากัน มองฟังจือหัน “ฉันพูดอะไรผิดเหรอ”
หน้าตาหล่อเหลาของเขาแสดงออกว่าเข้าข้างเธอ “ไม่นิ”
อวี๋กานกานงุนงง “แล้วเขาขำอะไร”
ฟังจือหันตอบ “เขาป่วย กลับไปคุณจัดยาให้เขาสักสองสามชุด”
อวี๋กานกาน “…อ่า”
ลู่เสวี่ยเฉิน “…”
——
[1] อุดหูขโมยระฆัง มาจากนิทานอีสปจีน เรื่องมีอยู่ว่ามีโจรคนหนึ่งต้องการขโมยระฆังขนาดใหญ่ ซึ่งเขาไม่สามารถแบกได้ไหว เขาจึงตัดสินใจตีระฆังให้แตกก่อนแล้วค่อยขนเศษระฆังไปขาย แต่เมื่อเขาตีระฆังเข้าไปหนึ่งทีเสียงระฆังก็ดังก้องกังวานขึ้น เขาจึงแก้ไขโดยการเอาเศษผ้ามาอุดหูโดยที่นึกว่าเมื่อตัวเองไม่ได้ยินเสียงผู้อื่นก็ย่อมไม่ได้ยินด้วย อุปหมายถึง การหลอกตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่ากลบเกลื่อนไม่อยู่แต่ก็ยังดันทุรังทำ
ตอนที่ 146 คลินิกยังไงก็ต้องเป็นของฉัน!
เฉียวพั่นเอ๋อร์ติดตามเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดของอวี๋หมิงถางจากอินเทอร์เน็ต ตอนที่ผู้ช่วยโหย่วเดินทางไปหาอวี๋กานกาน เธอเตรียมแชมเปญไว้รอดื่มเฉลิมฉลองเรียบร้อยแล้ว เพราะขอแค่เป็นคนฉลาดย่อมรู้อยู่แล้วว่าหนทางในภายภาคหน้าควรเลือกเดินไปทางไหน อวี๋กานกานเป็นคนฉลาดหลักแหลม อย่างไรก็ไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอของผู้ช่วยโหย่ว
ยังไม่ทันได้รับข่าวคราวจากผู้ช่วยโหย่ว หลินจยาอวี่กลับมาถึงก่อนซะแล้ว เฉียวพั่นเอ๋อร์ออกมาต้อนรับ ยิ้มแล้วจูงมือหลินจยาอวี่พร้อมทั้งพูดอย่างเป็นกันเอง “จยาอวี่ มาได้ไงเนี่ย มาหาฉันดื่มชายามบ่ายเหรอ ฉันกำลังคิดอยู่เลยว่าเคลียร์งานสองวันนี้เสร็จแล้วจะไปหาเธอ”
หลินจยาอวี่ไม่พูดพร่ำทำเพลง นั่งลงปุ๊บก็ยิงคำถามออกมาตรงๆ “ต้องทำยังไงเธอถึงจะยอมล้มเลิกแผนการซื้อคลินิก”
เฉียวพั่นเอ๋อร์ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นยิ้มแล้วถาม “อวี๋กานกานขอให้เธอมาช่วยพูดเหรอ”
หลินจยาอวี่ส่ายหน้า “ไม่ใช่”
เห็นได้ชัดว่าเฉียวพั่นเอ๋อร์ไม่เชื่อในคำตอบนี้ รู้สึกว่าหลินจยาอวี่ถูกอวี๋กานกานเป่าหู เธอคลี่ยิ้มบางๆ แล้วกล่าว “ฉันไม่ได้จะว่าอะไรเธอนะจยาอวี่ เพื่อนคนนี้ที่เธอคบเขาเป็นคนประเภทไหนกันแน่ ฉันบอกกับเขาไปชัดเจนแล้วนะว่าฉันเห็นแก่เธอ เรื่องราคาขายฉันยินดีให้ราคาที่เขาพอใจ ทำไมเขาถึงยังลากเธอให้มาเกี่ยวด้วยอีก”
“อวี๋กานกานไม่ขายคลินิก”
“แต่ฉันจะเอา”
“ทำไมถึงต้องเป็นอวี้หมิงถางเท่านั้น”
“เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน ฉันจะพูดกับเธอตรงๆ ก็แล้วกัน ตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์บ้านพักคนชราเมืองไป๋หยางคืออวี้หมิงถาง สองปีมานี้โรงพยาบาลของฉันถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ตระกูลเฉียวภายนอกดูดียิ่งใหญ่ แต่สภาพความเป็นจริงไม่ได้ดีเหมือนอย่างที่เห็น ทางด้านการเงินก็ประสบปัญหา ตระกูลของฉันทุ่มทุกสิ่งทุกอย่างลงไปที่โครงการนี้ เพราะฉะนั้นฉันต้องเอาคลินิกนี้มาให้ได้ก่อนถึงจะสามารถเจรจาขอโครงการศูนย์บ้านพักคนชราได้” หากกับคนอื่นเธอย่อมไม่เล่าให้ฟังอยู่แล้ว แต่มารดาของหลินจยาอวี่เป็นถึงผู้มีอิทธิพลมากที่สุดเป็นอันดับสองของเมืองไป๋หยาง ต่อให้เธอไม่เล่า หลินจยาอวี่กลับไปถามก็รู้ถึงสาเหตุอยู่ดี ฉะนั้นไม่สู้บอกต่อหน้าหลินจยาอวี่แสดงความจริงใจไม่ดีกว่าหรอกเหรอ
หลินจยาอวี่ค่อนข้างตกใจ เธอเงียบไปชั่วขณะหนึ่งก่อนจะกล่าว “ฉันเคยรับปากอวี๋กานกานว่าจะไม่ยอมให้คลินิกของเขาเกิดปัญหา นี่ถือเป็นค่ารักษาที่ฉันจ่ายให้เขา ดังนั้นฉันจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเหลือเขา”
หัวคิ้วของเฉียวพั่นเอ๋อร์มุ่นเข้าหากัน “จยาอวี่ นี่เธอหมายความว่าอะไร” ในน้ำเสียงมีความเย็นชาเพิ่มเข้ามา “ตอนนี้ชื่อเสียงของอวี๋กานกานและคลินิกฉาวโฉ่ ยับเยินป่นปี้ ถ้าเธอหวังดีกับเขาจริงๆ ละก็ ไม่สู้เธอไปเกลี้ยกล่อมให้เขายอมขายไม่ดีกว่าเหรอ ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝัง”
หลินจยาอวี่ไม่พูดอะไรต่ออีก นั่งอยู่เพียงครู่เดียวก็ลุกออกไป หลังจากที่เธอปิดประตูแล้ว เฉียวพั่นเอ๋อร์หน้าบูดหน้าบึ้ง ระหว่างเธอกับอวี๋กานกาน เธอไม่เชื่อว่าหลินจยาอวี่จะเลือกอวี๋กานกาน เพราะเธอและหลินจยาอวี่ต่างหากที่เป็นคนในแวดวงเดียวกัน อีกทั้งโครงการนี้ยังเกี่ยวเนื่องกับเมืองไป๋หยาง หากสำเร็จลุล่วง หลินฮูหยินมารดาของหลินจยาอวี่ก็ย่อมได้รับผลประโยชน์เช่นกัน
สำหรับอวี๋กานกานอะไรนั้น…ก็แค่แพทย์แผนจีนคนหนึ่งเท่านั้น ที่รักษาโรคของหลินจยาอวี่ได้ไม่ใช่เพราะเงินหรอกเหรอ เธอไม่เชื่อว่าหลินจยาอวี่จะไม่เข้าใจในเหตุผลข้อนี้
ทันใดนั้นเองเสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เฉียวพั่นเอ๋อร์รับสาย เสียงปลายสายเป็นเสียงของผู้ช่วยโหย่ว น้ำเสียงผิดหวังแฝงไว้ด้วยความขุ่นเคือง “คุณหนูเฉียว เธอปฏิเสธอีกแล้วครับ”
“คุณไม่ได้บอกเธอเหรอว่าผลลัพธ์ที่ตามมาคืออะไร” ยัยอวี๋กานกานมันคิดว่าตัวเองเป็นใคร ให้สีสามสีจะเปิดโรงย้อมผ้า[1]
ผู้ช่วยโหย่วกล่าว “ผมบอกไปแล้วครับ แต่เธอก็ยังไม่ยอมขายคลินิก ท่าทีหนักแน่นมั่งคงเหมือนกับวันก่อนไม่มีผิด ไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร!”
เฉียวพั่นเอ๋อร์หัวเราะเสียงเย็น “มันคงนึกว่าหลินจยาอวี่จะช่วยมันได้น่ะสิ ดูท่าฉันคงต้องแสดงให้มันเห็น ให้มันรู้ว่าหลินจยาอวี่ก็ช่วยมันไม่ได้!”
คลินิกยังไงก็ต้องเป็นของฉันเฉียวพั่นเอ๋อร์!
——
[1] ให้สีสามสีจะเปิดโรงย้อมผ้า หมายถึง ทำอะไรเกินตัวจนน่าขัน