ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ - ตอนที่ 201
ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ – ตอนที่ 201 โต้วาที เสน่ห์ของอวี๋กานกาน (1) / ตอนที่ 202 โต้วาที เสน่ห์ของอวี๋กานกาน (2)
ตอนที่ 201 โต้วาที เสน่ห์ของอวี๋กานกาน (1)
อวี๋กานกานถูกหวังไอ้เจินเดินจูงให้มานั่งด้านหน้า งานสัมมนาวันนี้ เธอก็ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ได้กะจะออกความเห็นอะไร
ในตอนที่เซียวเสี่ยวอิงเริ่มอภิปราย อวี๋กานกานรู้สึกมีลางสังหรณ์แปลกๆ เหมือนว่าตัวเองกำลังจะถูกเรียกชื่อ
เป็นดังคาด
“แพทย์แผนจีนสืบทอดมายาวนานเป็นพันๆ ปี แทนที่จะกล่าวว่าเพราะความทันสมัยของแพทย์แผนตะวันตก ทำให้แพทย์แผนจีนอยู่ในสภาวะตกต่ำ มิสู้กล่าวว่าแพทย์แผนจีนตกต่ำเพราะความเสื่อมทรามของตนเอง” เซียวเสี่ยวอิงกล่าวต่อ “ถึงแม้ดิฉันจะเป็นแพทย์แผนจีนเช่นกัน แต่สิ่งที่ดิฉันเจ็บปวดและขยะแขยงมากที่สุดก็คือพวกบรรดาแพทย์แผนจีนที่ชอบพูดให้ซับซ้อนเพื่อสร้างความสับสน เอะอะอะไรก็ก็บอกกับคนไข้ว่าหยินหยางเบญจธาตุ[1] พูดเหลวไหลไปเรื่อย”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สายตาของเซียวเสี่ยวอิงชำเลืองไปมองอวี๋กานกาน “คุณหมออวี๋ เห็นว่าคุณอายุยังน้อย วิชาแพทย์ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่แท้ มิเช่นนั้นคุณคงไม่ได้มานั่งอยู่ที่นี่ ดิฉันมีคำถามหนึ่งข้ออยากจะถามคุณหมออวี๋”
อวี๋กานกานตอบกลับอย่างมีมารยาท “คุณหมอเซียวชมเกินไปแล้วค่ะ ในฐานะรุ่นน้องดิฉันไม่บังอาจโอ้อวดตนเอง คุณปู่ของดิฉันวิชาแพทย์สูงส่ง ดิฉันก็แค่ศึกษามาจากท่านเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังต้องรบกวนขอคำแนะนำจากพวกรุ่นพี่อีกเยอะเลยค่ะ”
น้ำเสียงของเซียวเสี่ยงอิงแฝงไว้ด้วยเลศนัย “คุณหมออวี๋บอกว่าแพทย์แผนจีนกำเนิดจากอภิปรัชญา นี่ไม่เท่ากับบอกว่าแพทย์แผนจีนเป็นวิชาความรู้ที่มีจุดบอด ทำให้ผู้อื่นเกิดความสับสนแบบนี้ รังแต่จะทำให้แพทย์แผนจีนไม่มีวันไล่ตามแพทย์แผนตะวันตกได้ทัน”
อวี๋กานกานคลี่ยิ้มแล้วตอบ “ก็เหมือนกับแพทย์แผนตะวันตกที่มีจุดกำเนิดมาจากวิชาเคมีและกายวิภาคศาสตร์อันละเลียดซับซ้อน ส่วนแพทย์แผนจีนมีจุดกำเนิดมาจากทฤษฎีหยินหยางและเบญจธาตุ…”
เซียวเสี่ยวอิงพูดแทรกอวี๋กานกานขึ้นมาด้วยท่าทียืนกรานแน่วแน่ “ตำราแพทย์ที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศของพวกเรา ‘ตำรับจัดการโรคห้าสิบสองอย่าง’ ในตำราไม่เคยกล่าวถึงหยินหยาง เบญจธาตุ อภิปรัชญาเริ่มเข้าสู่แพทย์แผนจีนตอนสมัยซ่งใต้ ช่วงที่สาวกลัทธิขงจื้อเข้ามามีอิทธิผลในวงการแพทย์ อาศัยศาสตร์ที่ง่ายที่สุดคือยาต้มเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน คิดว่าตนเองสามารถท่องบทกลอนยาต้ม[2]ได้ไม่กี่บทก็สามารถเป็นแพทย์รักษาผู้คนได้ หึ! ที่แพทย์แผนจีนเสื่อมเสียก็เพราะน้ำมือของคนพวกนี้”
วาจาเสียดสีเหน็บแนม เซียวเสี่ยวอิงใช้การกระทำของสาวกขงจื้อ หลอกด่าอวี๋กานกานว่าไร้ความสามารถ ไม่มีความรู้ด้านวิชาแพทย์ หวังแต่จะหาผลประโยชน์จากวงการนี้
อวี๋กานกานไม่เคยคิดว่าตนเองจะเป็นจุดสนใจเพราะเรื่องอายุ ทั้งยังเป็นเหตุให้คนอื่นเกิดความไม่พอใจ เนื่องจากตั้งแต่เธออายุสิบขวบ คุณปู่ก็สอนให้เธอจับชีพจร วินิจฉัยโรคและจ่ายยาแล้ว
ถ้อยคำเสียดสีดูถูกเหยียดหยามของเซียวเสี่ยวอิง ไม่ได้ทำให้อวี๋กานกานรู้สึกโกรธแม้แต่น้อย และเธอก็ไม่ได้พูดถาถถางกลับ ทำเพียงแค่พูดอย่างจริงจังและใจเย็น “แพทย์ผู้ยิ่งใหญ่หลี่สือเจิน[3]เองก็เป็นสาวกขงจื้อ ฉะนั้นจะเหมารวมว่าสาวกขงจื้อไม่ดีทั้งหมดไม่ได้ ที่กล่าวกันว่าแพทย์แผนจีนเป็นศาสตร์ซับซ้อนจับต้องไม่ได้ แรกเริ่มเดิมทีไม่ได้ชี้ถึงศาสตร์แพทย์แผนจีนทุกแขนง แต่ชี้ถึงศาสตร์ของเส้นลมปราณและจุดฝังเข็ม ซึ่งในสมัยนั้นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของแพทย์แผนตะวันตกยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าสิ่งพวกนี้มีอยู่จริงหรือไม่ ดังนั้นจึงเกิดวลีที่ว่าแพทย์แผนจีนเป็นศาสตร์ที่จับต้องไม่ได้ขึ้น แต่ในปัจจุบันแพทย์ตะวันตกได้ทำการพิสูจน์ไปนานแล้วว่าจุดฝังเข็มและเส้นลมปราณมีอยู่จริง”
สีหน้าของเซียวเสี่ยวอิงปรากฏความเย้ยหยันออกมาเล็กน้อย ศาสตร์ของเส้นลมปราณและจุดฝังเข็มได้รับการมีพิสูจน์ว่ามีอยู่จริง แต่นั่นก็ไม่ได้หมายถึงว่ายัยอวี๋กานกานนี่จะมีวิชาความรู้จริง
อวี๋กานกานพูดต่อ “แพทย์แผนตะวันตกใช้การตรวจร่างกายและการทดสอบทางเคมี เพื่อยืนยันว่าคนไข้มีอาการป่วย แต่วิธีตรวจของแพทย์แผนจีนจะใช้การมอง ดม ถามและจับชีพจร แพทย์แผนตะวันตกมีวิธีการรักษาที่เป็นมาตรฐานต่อโรคแต่ละโรค ซึ่งไม่เหมือนกับแพทย์แผนจีน หนึ่งร้อยคนเรียนแพทย์แผนจีน สามารถสรุปออกมาเป็นทฤษฎีหนึ่งร้อยทฤษฎีที่แตกต่างกันออกไป แพทย์แผนจีนไม่มีหลักพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ผู้เรียนยากที่จะเข้าใจ ผู้ใช้ยากที่จะนำไปใช้ อาศัยเพียงแต่เนื้อหาในตำราแพทย์อย่างเดียวไม่มีทางที่จะกลายเป็นแพทย์ที่เก่งกาจได้ ทั้งหมดนี้จึงเป็นสาเหตุที่ฉันพูดว่าแพทย์แผนจีนซับซ้อนและเข้าใจได้ยากค่ะ”
——
[1] เบญจธาตุ หมายถึง ธาตุทั้งห้า ประกอบไปด้วย น้ำ ไฟ ไม้ โลหะและดิน
[2] บทกลอนยาต้ม เป็นกลอนหรือบทเพลงสูตรยา ช่วยให้สามารถจำสูตรยาได้ง่ายยิ่งขึ้น
[3] หลี่สือเจิน ได้รับฉายาว่าเป็น ราชาแห่งสมุนไพรจีน มีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์หมิง เขาได้ใช้ประสบการณ์ทั้งชีวิตเขียนตำราสมุนไพรจีน ‘เปิ่นเฉ่ากังมู่’ ขึ้น ภายในตำราบันทึกสรรพคุณของสมุนไพรไว้ 1,892 ชนิด และใบสั่งยากว่า 11,000 ใบ ทั้งยังแบ่งหมวดหมู่ชัดเจนโดยแบ่งสมุนไรที่มาจากพืชและมาจากสัตว์ ปัจจุบันตำราเล่มนี้เป็นหนึ่งในตำราเล่มสำคัญสำหรับผู้ที่ศึกษาศาสตร์แพทย์แผนจีน
ตอนที่ 202 โต้วาที เสน่ห์ของอวี๋กานกาน (2)
หัวใจของเซียวเสี่ยวอิงกระตุกวูบ จู่ๆ ก็หัวตื้อไม่รู้ว่าจะโต้ตอบอวี๋กานกานกลับอย่างไรดี
“มีผู้คนมากมายที่มีอคติต่อแพทย์แผนจีนจากก้นบึ้งของหัวใจ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมแพทย์แผนจีนหลายคน พวกเขารู้สึกว่าการป้องกันการเกิดโรคและการพยุงอาการป่วยของโรคเรื้อรังเป็นจุดเด่นของแพทย์แผนจีน แต่ว่าแพทย์แผนจีนไม่ใช่หมอเฉื่อยที่มีดีแค่ประคับประคองอาการอย่างแน่นอนค่ะ! เมื่อสองพันปีก่อน ตอนที่ศาสตร์ของแพทย์แผนตะวันตกยังไม่เผยแผ่เข้าสู่ประเทศจีน เหล่าบรรดาผู้ป่วยฉุกเฉิน ผู้ป่วยหนัก ผู้ป่วยที่เป็นโรคซับซ้อนรักษายาก มีใครคนไหนบ้างคะที่ไม่พึ่งพาแพทย์แผนจีนและสมุนไพรจีน”
อวี๋กานกานกล่าวถึงตรงนี้ คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ถ้าจะกล่าวว่าอภิปรัชญาทำให้แพทย์แผนจีนโดนดูถูกเหยียดหยาม มิสู้กล่าวว่าหมอเฉื่อยที่มีดีแค่ประคับประคอง คำนี้ต่างหากที่เป็นการดูถูกเหยียดหยามแพทย์แผนจีน ไม่อยากให้ผู้คนรู้สึกว่าแพทย์แผนจีนรักษาอาการไม่รักษาโรค แต่รักษาทั้งโรคและอาการ นี่เป็นเพียงความคิดเห็นเล็กน้อยจากรุ่นน้องอย่างดิฉัน รุ่นพี่ทุกท่านโปรดอย่าถือสา” ในขณะที่พูด อวี๋กานกานยืนขึ้นและโค้งคำนับ
เสียงปรบมือดังกึกก้องขึ้น ผู้อาวุโสหวงจ้องมองอวี๋กานกาน ภายในแววตาเต็มไปด้วยความชื่นชม เขาเอี้ยวตัวเล็กน้อย ก่อนจะโน้มไปข้างใบหูของหัวหน้าสมาคม “แผ่นผับโฆษณาแพทย์แผนจีนของสมาคมเราที่กำลังจะถ่าย ไม่ใช่ว่าต้องการแพทย์สองคนหรอกหรือ ผมว่าให้เสี่ยวอวี๋กับเสี่ยวซย่าไปถ่าย”
หัวหน้าสมาคม กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างลำบากใจ “แต่ว่าก่อนหน้านี้คุยกันมาตลอดว่าจะให้เสี่ยวซูกับเสี่ยวซย่าไปนี่”
ผู้อาวุโสหวงยิ้มแล้วกล่าว “แผ่นผับโฆษณาปีนี้ ไม่ใช่ว่ามีคอนเซปต์ยุคคนหนุ่มสาว สนับสนุนให้คนมาเรียนแพทย์แผนจีนมากขึ้นหรอกหรือ พูดถึงวัยรุ่น ผมว่าเสี่ยวอวี๋ดูจะเหมาะสมกว่าเล็กน้อย อีกอย่างผมถามผู้อำนวยการเฉินมาแล้ว เสี่ยวอวี๋เป็นแพทย์ที่ค่อนข้างมีความสามารถเลยทีเดียว”
หัวหน้าสมาคมขบคิด ก่อนจะยอมรับข้อเสนอ “ได้ครับ งั้นก็เอาเป็นเสี่ยวอวี๋”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
เมื่องานสัมมนาจบลง ผู้อาวุโสหวงเดินมาหาอวี๋กานกาน จากนั้นแจ้งข่าวนี้ให้กับอวี๋กานกานทราบ เธอตกตะลึงเป็นอย่างมากจนนิ่งค้างไปเรียบร้อย
หวังไอ้เจิ้นยิ้มแล้วพูดกับอวี๋กานกาน “ยินดีด้วยนะ กานกาน พยายามเข้าล่ะ”
“ต้องตอบแทนผู้อาวุโสหวง อย่าทำโอกาสที่ผู้อาวุโสหวงให้เธอศูนย์เปล่าล่ะ”
“จากนี้ต้องเผยแผ่แพทย์แผนจีนของพวกเรา ทำให้แพทย์แผนจีนโชติช่วงชัชวาล”
มองดูอวี๋กานกานยืนอยู่ตรงกลางที่ลายล้อมไปด้วยผู้คน รอยยิ้มอันแสนฝืนฉีกที่ประดับอยู่บนใบหน้าของซูจิ่วซาน ค่อยๆ มลายหายเข้าไปในดวงตากลายเป็นลมเหมันต์และธารน้ำแข็ง
ในฐานะที่เป็นแพทย์หญิงวัยสาวผู้มีสิทธิอย่างเต็มที่ในการยืดอกภาคภูมิใจ ซูจิ่วซานคิดมาตลอดว่าตนเป็นลูกรักของพระผู้เป็นเจ้า[1] แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าตนเองถูกล้อมรอบไปด้วยความมืดมิดจากทั่วทุกมุมโลก รอบข้างไม่เหลืออะไรเลย เห็นเพียงตรงหน้ามีแสงสว่างบริสุทธิ์อยู่วงหนึ่ง ซึ่งตรงกลางมีอวี๋กานกานยืนอยู่
แม้ว่าตัวแทนถ่ายโฆษณายังไม่ได้ถูกกำหนดออกมา แต่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องเป็นเธออย่างแน่นอน ทำไมตอนนี้จู่ๆ ถึงมาเปลี่ยนเป็นอวี๋กานกาน เธอไม่ยอม ไม่ยอมอย่างเด็ดขาด แต่ว่าเธอก็ไม่สามารถตะโกนร้องออกมาตรงๆ ได้ นั่นรังแต่จะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเธอไม่คู่ควร
เซียวเสี่ยวอิงคาดไม่ถึงเลยว่าตนเองไม่เพียงแต่จะไม่สามารถเผด็จศึกอวี๋กานกาน ทำให้มันอับอายขายขี้หน้าไม่สำเร็จไม่พอ ยังโดนอวี๋กานกานย้อนมาสังหารตัวเธอเองอีก จะขยับเขยื้อนไปทางไหนก็ไม่ได้ และที่ยิ่งคาดไม่ถึงก็คือเธออยากจะช่วยซูจิ่วซาน ผลปรากฏว่ากลับทำให้ซูจิ่วซานเสียโอกาสในการเป็นตัวแทนการถ่ายโฆษณา
เซียวเสี่ยวอิงรู้สึกละอายใจ ตอนพักรับประทานอาหาร เธอเรียกซูจิ่วจาน หวังจะชวนไปกินข้าวด้วยกัน
ซูจิ่วซานเหลือบมามองเธอด้วยสายตาเย็นยะเยือกแวบหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวแล้วเดินจากไปทันที ซูจิ่วซานไม่อยากสนใจเซียวเสี่ยวอิง เธอเพียงแค่ต้องการยืมมือของเซียวเสี่ยวอิง ให้ทุกคนได้เห็นว่าอวี๋กานกานเป็นแค่คนไร้ความสามารถที่ไม่เอาไหนเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงว่าเซียวเสี่ยวอิงจะไร้ประโยชน์ขนาดนี้ แค่โต้วาทีงานสัมมนาก็ยังเอาชนะอวี๋กานกานไม่ได้
เธอจะทำให้คนพวกนี้ต้องรู้สึกเสียใจภายหลัง การที่ไม่เลือกเธอนั้นต่างหากที่เป็นความเสียหายใหญ่หลวงที่สุดของวงการแพทย์แผนจีน!
——
[1] ลูกรักของพระผู้เป็นเจ้า อุปมาถึงคนที่บุญวาสนาดี ทำอะไรราบรื่น ใครเห็นใครก็รักใคร่เอ็นดู