ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ - ตอนที่ 249-250
ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ – ตอนที่ 249 สามีกำมะลอก็กลายเป็นจริงได้ / ตอนที่ 250 ฟังจือหันพาเธอเสียคนแล้ว
ตอนที่ 249 สามีกำมะลอก็กลายเป็นจริงได้
[ซ่งฉาไป๋ : ใครจับเธอจูบ จะทำอะไรได้อีก ฟ้องฟังจือหันของเธอให้ไปต่อยหมอนั่นหนักๆ สักชุด เตือนให้มันรู้ซะบ้าง…แล้วทำไมเธอถึงซุ่มซ่ามได้ขนาดนี้เนี่ย ไปทำอิท่าไหนถึงได้เจอเรื่องเฮงซวยแบบนี้]
[อวี๋กานกาน : คนที่จับฉันจูบคือฟังจือหัน]
ซ่งฉาไป๋น่าจะช็อก ตะลึง อึ้งไปแล้ว เธอไม่ตอบกลับข้อความของอวี๋กานกาน แต่ต่อสายตรงเข้ามาทันที น้ำเสียงตื่นตะลึงถึงขีดสุด “อวี๋กานกานยัยตัวดี ตอนนี้ฉันโดนบังคับให้ทำโอทีอยู่อย่างทุกข์ทรมาน เธอไม่ปลอบใจฉันก็แล้วไป แต่ทำไมถึงต้องแอบสาดอาหารสุนัข[1]ใส่ด้วย เธอยังมีมโนธรรมอยู่บ้างไหม”
อวี๋กานกาน “…”
นี่เธอกำลังสาดอาหารสุนัขอยู่เหรอ ซ่งฉาไป๋ใช้หูข้างไหนฟังไม่ทราบ เธอกำลังบ่นโวยวายพร้อมกับขอให้ช่วยไขข้อข้องใจอยู่ชัดๆ !
ซ่งฉาไป๋เคืองเล็กน้อย “พวกเธอสองคนแต่งงานอยู่ด้วยกันนานเท่าไรแล้ว อะไรที่ควรทำก็น่าจะทำกันหมดแล้วล่ะมั้ง กะอิแค่จับจูบ ระดับขับรถไปโรงเรียนอนุบาลชัดๆ ไม่เร้าใจสักนิด”
อวี๋กานกานเนือยหน่าย “งั้นแบบไหนถึงจะทำให้เธอรู้สึกเร้าใจได้”
ซงฉาไป๋ตอบ “หลังจากนี้เก้าเดือดเธอกลายเป็นแม่คน”
อวี๋กานกานจะร้องไห้ก็ไม่ได้จะหัวเราะก็ไม่ออก “เธอก็รู้นี่ว่าฉันกับเขา เราเป็นสามีภรรยาปลอมๆ”
ซ่งฉาไป๋เสนอความคิดเห็น “ถ้าฟังจือหันชอบเธอจริงๆ ทั้งยังดีกับเธอมาก ไม่สู้ลองพิจารณาพัฒนาความสัมพันธ์ให้เป็นจริงดูหน่อยเหรอ”
อวี๋กานกานครุ่นคิด เป็นความจริงที่เป้าหมายการปรากฏตัวของฟังจือหันคือเขาต้องการอยู่ด้วยกันกับเธอ ถ้างั้นเธอควรลองพิจารณาอย่างจริงจังดูดีไหมนะ ในเมื่อฟังจือหันก็เป็นผู้ชายที่ใช้ได้เลยทีเดียว
เป็นค่ำคืนที่อวี๋กานกานนอนไม่หลับ เวลาตีสามมืดมิดและเงียบสงัด ทว่าเธอยังคงพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง กว่าจะข่มตาหลับได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่พอหลับก็จะฝัน และแน่นอนว่าฝันถึงเธอกับฟังจือหัน ทั้งยังเป็นเหตุการณ์ทั้งหมดของวันนี้ที่เกิดขึ้นท่ามกลางหิมะโปรยปราย ชายหนุ่มกำลังกอดจูบเธอ คันยุบยิบไปทั้งหัวใจ
อวี๋กานกานลืมตาโพลง มองเห็นพระจันทร์ผ่านหน้าต่าง กระพริบตานึกถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในความฝัน เธอเขินอายจนมุดเข้าไปในผ้าห่ม ภาพเหตุการณ์ที่ฟังจือหันจูบเธอท่ามกลางหิมะฉายซ้ำวนไปมา
นี่เธอชอบจูบของฟังจือหันมากแค่ไหนกันนะ
ผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งคืน ทว่าอวี๋กานกานยังคงเขินอายเล็กน้อยที่ต้องเผชิญหน้ากับฟังจือหัน ทันทีที่ตื่นนอน เธอก็ลุกขึ้นมาจัดเตียงนอนให้เรียบร้อย จากนั้นเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน
ป้าหูกำลังทำอาหารเช้าอยู่ในครัว เมื่อเห็นอวี๋กานกาน เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน “คุณผู้หญิงฟังตื่นแล้วเหรอคะ”
ทีแรกอวี๋กานกานจะถามป้าหูว่าทำไมถึงเรียกเธอว่าคุณผู้หญิงฟัง เป็นเพราะฟังจือหันสั่งไว้หรือเปล่าว่าผู้หญิงที่เขาพากลับมาที่บ้านทุกคนให้เรียกแบบนี้ ทว่าจังหวะไม่ดี เธอได้ยินเสียงฝีเท้าของฟังจือหันกำลังเดินลงมา อวี๋กานกานผวา แก้มเป็นสีแดงระเรื่อ วิ่งหนีด้วยความเร็วสูงสูด
ฟังจือหัน “…”
อวี๋กานกานเจอลู่เสวี่ยเฉินที่หน้าประตู เขาสวมชุดสูทสีขาวทั้งตัว มือข้างหนึ่งสอดอยู่ในกระเป๋ากางเกง มุมปากแฝงรอยยิ้ม “อรุณสวัสดิ์ ปลาน้อย”
ลู่เสวี่ยเฉินมาหาฟังจือหัน เขาไม่แปลกใจแม้แต่น้อยที่เห็นอวี๋กานกาน ทำเพียงแค่ส่งยิ้มทักทาย
อวี๋กานกานฝืนฉีกยิ้ม สีหน้าเลิ่กลั่ก “อรุณสวัสดิ์”
ลู่เสวี่ยเฉินคงไม่เข้าใจผิดว่าเมื่อคืนเธอนอนกับฟังจือหันใช่ไหม น่าจะไม่ เพราะที่ไป๋หยางเธอเองก็พักอยู่คอนโดห้องเดียวกับฟังจือหันแต่แยกห้องนอนกัน
ลู่เสวี่ยเฉินที่เดิมทีกำลังจะเดินเข้าห้อง นัยน์ตาของเขาวูบไหวเล็กน้อย จู่ๆ ก็เดินมาหยุดตรงหน้าอวี๋กานกานอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่าเขาอยากรู้อยากเห็น ทว่าแสร้งทำเป็นถามออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ถามอะไรหน่อยสิ”
อวี๋กานกานจ้องหน้าลู่เสวี่ยเฉิน “อะไรล่ะ”
ลู่เสวี่ยเฉินกระแอมเบาๆ หนึ่งครั้ง คลี่ยิ้มแล้วกล่าว “ไม่ได้จะเมาท์นะ แค่อยากรู้เฉยๆ พ่อของเด็กในท้องหลินจยาอวี่เป็นใครเหรอ”
——
[1] สาดอาหารสุนัข หมายถึง คู่รักสวีทหวานต่อหน้าต่อตาคนโสดหรือเล่าเรื่องราวความรักให้คนโสดฟัง เนื่องจากคนโสดในภาษาจีน คือ 单身狗 แปลว่า สุนัขเปลี่ยว สุนัขที่อยู่ตัวเดียว หรือสุนัขโสด
ตอนที่ 250 ฟังจือหันพาเธอเสียคนแล้ว
อวี๋กานกานมองลู่เสวี่ยเฉินด้วยสายตางุนงง ค่อนข้างสับสน นี่ไม่เรียกว่าเมาท์ เรียกว่าอยากรู้เฉยๆ สวมเสื้อคลุมอยากรู้แต่เนื้อในเป็นอยากเมาท์รึเปล่า หรือแค่อยากรู้จริงๆ
อวี๋กานกานกระตุกยิ้มชั่วร้าย “มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า หลายครั้งหลายคราความอยากรู้ไม่เท่ากับความรัก แต่ความอยากรู้มักเป็นจุดเริ่มต้นของโชตชะตา เมื่อผู้ชายคนหนึ่งอยากรู้เรื่องของผู้หญิงคนหนึ่ง มักจะมาจากการที่ผู้ชายเริ่มหลงรักผู้หญิงคนนั้นอย่างช้าๆ ฉะนั้นผู้ชายจึงค่อยๆ เริ่มให้ความสนใจในตัวผู้หญิงคนนั้น อยากที่จะเรียนรู้และเข้าใจผู้หญิงคนนั้น”
ลู่เสวี่ยเฉินสีหน้าจริงจัง “ปลาน้อย ฟังจือหันพาเธอเสียคนแล้วนะ”
อวี๋กานกานยิ้มอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ “เสียคนอะไรกัน ฉันแค่วิเคราะห์อย่างมีหลักการก็เท่านั้น” เธอเลิกคิ้วขึ้น คลี่ยิ้มแล้วถาม “เรื่องเมื่อวาน นายอธิบายให้แม่นายเข้าใจแล้วใช่ไหม”
ลู่เสวี่ยตอบ “ยัง”
เขายังอธิบายไม่ได้ หากเขาอธิบายไปเกรงว่าแม่เขาต้องเริ่มแผนจับคู่เขากับเหวินซินเม่ยอีกครั้งแน่
เหวินซินเม่ยไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่ก็มักจะมาหาแม่เขาอยู่บ่อยๆ ตอนที่แม่เขาเชิญเหวินซินเหม่ยมาเป็นแขกที่บ้าน เขาถึงได้รู้ถึงความน่ากลัวที่แท้จริงของผู้หญิงคนนี้
คิดถึงเรื่องนี้ก็ปวดหัวขึ้นมาทันที
อวี๋กานกานอยากถามลู่เสวี่ยเฉินว่าทำไมถึงไม่อธิบาย หรือเขาอยากให้แม่ของเขาเข้าใจผิดต่อไป คิดว่าเด็กในท้องหลินจยาอวี่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของลู่เสวี่ยเฉินจริงๆ
รถแท็กซี่ที่อวี๋กานกานเรียกมาถึงแล้ว อวี๋กานกานไม่ได้คุยอะไรกับลู่เสวี่ยเฉินต่อ เพียงแค่พูดทิ้งท้ายก่อนจะขึ้นรถไป “ถ้านายไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ อธิบายให้ชัดเจนก็น่าจะดีกว่า ไม่งั้นในอนาคตถ้าแม่นายรู้ว่าเด็กไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของนาย ระยะเวลายิ่งนานเท่าไรแม่ของนายก็จะยิ่งเสียใจมากเท่านั้น”
ลู่เสวี่ยเฉินนวดหัวคิ้วของตัวเอง แม่จะเสียใจ? งั้นก็ไม่ต้องให้แม่รู้ไปตลอดกาลว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกเขา
จากข้อมูลที่ลู่เสวี่ยเฉินสืบมา หลินจยาอวี่เป็นสาวโสด แล้วทำไมจู่ๆ ถึงท้องได้ เธอวางแผนคลอดลูกแล้วเลี้ยงดูด้วยตัวคนเดียวอย่างงั้นเหรอ
ถ้าเช่นนั้นเด็กจำเป็นต้องมีพ่อในนามสักคนหรือเปล่า เขารู้สึกว่าเป็นพ่อของแม่ลูกติดก็ยังดีกว่าโดนผู้หญิงโรคจิตตามตอแยไม่เลิก ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัวตั้งแต่เมื่อวานที่เขาไปลากตัวแม่กลับบ้านแล้ว
ตกบ่ายลู่เสวี่ยเฉินนัดหลินจยาอวี่ออกมา เขาสวมชุดสูทรองเท้าหนัง ทว่ากลับไม่ได้ดูเรียบร้อยเป็นทางการ ใบหน้าสวยหยาดเยิ้มพยายามแผ่รังสีดิบเถื่อนอย่างสุดกำลัง ทำให้ยังคงแยกได้ยากว่าเขาเป็นเพศหญิงหรือเพศชาย
ส่วนหลินจยาอวี่สวมชุดเดรสเรียบง่าย คลุมทับด้วยเสื้อโค้ทหนึ่งชั้น เธอค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อยที่ลู่เสวี่ยเฉินนัดเธอออกมา
ลู่เสวี่ยเฉินลุกขึ้นยืน เดินมาดึงเก้าอี้ให้หลินจยาอวี่อย่างสุภาพบุรุษ “เชิญนั่ง คุณหนูหลิน”
หลินจยาอวี่ชำเลืองสายตาไปมองลู่เสวี่ยเฉินแวบหนึ่ง ก่อนจะนั้งลงตรงข้ามอย่างสุภาพเรียบร้อย “คุณลู่นัดฉันออกมาไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรเหรอคะ”
จู่ๆ ก็มาทำดีด้วย ต้องมีจุดประสงค์บางแอบแฝงแน่นอน
ลู่เสวี่ยเฉินไม่ตอบหลินจยาอวี่ ทำเพียงแค่ถาม “คุณหนูหลินชอบทานอะไรครับ วันนี้ทางภัตตาคารมีฟัวกราส์และไข่ปลาคาเวียร์สดใหม่ที่เพิ่งส่งมาทางอากาศจากประเทศฝรั่งเศส คุณหนูหลินทานไหมครับ”
หลินจยาอวี่ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับอาหารการกินมื้อนี้เท่าไรนัก “แล้วแต่คุณตัดสินใจเลยค่ะ”
ลู่เสวี่ยเฉินตัดสินใจเลือกเมนูทั้งหมดเอง เขาสั่งฟัวกราส์และไข่ปลาคาเวียร์มาอย่างละสองชุด ทั้งคู่ต่างเป็นลูกหัวแก้วหัวแหวนของครอบครัว พวกเขาพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่ากลับไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนอะไร
หลังจากที่สั่งอาหารแล้ว ลู่เสวี่ยเฉินยิ้มแล้วกล่าว “ปกติแล้วคุณหนูหลินมีงานอดิเรกอะไรหรือครับ ปกติชอบไปเที่ยวที่ไหน”
จู่ๆ ก็ถามถึงงานอดิเรกของเธอ…
หัวข้อสนทนานี้ มันสำหรับเปิดประเด็นพูดคุยตอนนัดบอดไม่ใช่หรือ
หลินจยาอวี่รู้สึกว่ามีเรื่องอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เลยดีกว่า ไม่จำเป็นต้องบ่ายเบี่ยงเปลี่ยนเรื่อง “คุณลู่มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาตรงๆ เถอะค่ะ”