ขยะแห่งตระกูลเคานต์ Trash of the Count’s Family - ตอนที่ 209.2
บทที่ 209 เจ้ากลับมาแล้ว 4 (2)
อีกฝั่งหนึ่ง คาร์ลกําลังถูกราอนซักถามหลังจากที่พวกเขาเดินทางออกจากป้อมตรวจการแล้ว
“มนุษย์อ่อนแอ! ทําไมเจ้าถึงให้เวลาเขาเตรียมตัวด้วยล่ะ? ภายในหนึ่งสัปดาห์นี้จะมีอะไรเกิดขึ้นเหรอ?”
คาร์ลเอนตัวไปบนแผ่นหลังของอาร์ซีเมื่อเริ่มตอบคําถามของราอน
“โลกกําลังจะเกิดความวุ่นวายนะสิ”
“ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว คนทั้งโลกจะไม่ตกใจได้อย่างไรหากเห็นดาร์กเอลฟ์ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปี??”
คาร์ลกําลังจินตนาการถึงภาพเหล่านั้นเมื่อตอบกลับราอนอย่างมั่นใจ แน่นอนว่ากําลังมีคนเข้าใจต่างออกไปเล็กน้อย แผ่นหลังขนาดใหญ่ของวาฬเพชฌฆาตกระตุกเล็กน้อยพร้อมกับความรู้สึกราวกับเหงื่อท่วมแม้ตัวเองจะว่ายอยู่ในน้ําก็ตาม
ราอนไม่สนใจกับการร่างของอาร์ชีที่สะดุ้งขึ้น มันตอบรับคาร์ลอย่างแข็งขัน
“อ้อ! ข้าเข้าใจแล้ว!”
ราอนทิ้งตัวลงนอนข้างๆร่างของคาร์ลทันที ในขณะที่อาร์ซีก็ว่ายน้ําเร็วขึ้นกว่าเดิม มันเร็วกว่าที่เขาเคยว่ายมาตลอดทั้งชีวิตของเขา
“มนุษย์! องค์ชายรัชทายาทติดต่อมาหาเจ้า!”
ราอนถืออุปกรณ์เวทย์สื่อสารซึ่งกําลังส่องแสงสีแดงเข้าหาคาร์ลอย่างรวดเร็ว ตอนนี้คาร์ลกําลังพักผ่อนอยู่ในห้องนอนที่มีเพียงเด็กๆทั้งสามและรอนที่อยู่กับเขาเท่านั้น
“เชื่อมต่อสัญญาณได้เลย”
ราอนจัดการเชื่อมต่อสัญญาณทันทีก่อนจะปลีกตัวไปอยู่มุมห้องกับออนและฮง เด็กๆทั้งสามต่างมีคราบซอสเลอะอยู่ตรงมุมปาก
ตืดดดดด! คลิก!
อุปกรณ์เวทย์สื่อสารเชื่อมต่อสัญญาณอย่างรวดเร็วก่อนใบหน้าอันหล่อเหลาของอัลเบิร์กจะปรากฏตัวขึ้น
[“สวัสดีนายน้อยคาร์ลผู้เป็นดั่งดวงดาราแห่งอาณาจักรเรา..เจ้ากําลังทานอาหารอยู่รึ?”]
“ใช่พะย่ะค่ะองค์ชาย”
คาร์ลจิ้มสเต็กเนื้อเข้าปากก่อนจะพยักหน้ารับเบาๆ มืออีกข้างก็หันไปหยิบแก้วไวน์แดงที่ราอนยื่นส่งให้
เขาหันไปมององค์ชายรัชทายาทผ่านหน้าจอก่อนจะเอ่ยปากขึ้น
“ต้องขอประทานอภัยด้วยพะย่ะค่ะ..กระหม่อมเพิ่งเดินทางกลับมาจากอาณาจักรพารันเลย หิวไปสักหน่อย..กระหม่อมต้องขอประทานอภัยที่ต้องกินไปคุยไปพะย่ะค่ะ”
คาร์ลคาดเอาไว้ว่าอัลเบิร์กจะตอบกลับมาด้วยประโยค “เจ้าบ้า” หรือ “เจ้ากําลังทําให้ข้าเป็นบ้าเจ้ารู้หรือไม่?” ก่อนจะจัดการคุยธุระของเขาต่อทันที คาร์ลใช้ส้อมจิ้มสเต็กเตรียมเข้าปากอีกครั้ง แม้ว่าอัลเบิร์กจะพูดเช่นนั้นแต่ก็ใช่ว่าเขาจะสนใจกับกับการกินไปคุยไปของคาร์ลเช่นกัน อย่างไรก็ตามคาร์ลรู้สึกว่าวันนี้มีบางอย่างผิดปกติไป เขาชะงักซ้อมที่ค้างไว้ในมือก่อนจะเงยหน้าไปทางหน้าจอเวทย์
“เอ่อ…”
อัลเบิร์กกําลังยกยิ้มสดใสมาให้เขา
[“ใช่แล้ว! ถ้าเจ้าหิวเจ้าก็ต้องกิน! นายน้อยของเราจะต้องได้กินหากเขากําลังรู้สึกหิว!”]
“อะไรของเขา?”
คาร์ลรู้สึกว่ามันแปลกมาก เขาพยายามหาเหตุผลร้อยแปดเพื่อมาอธิบายท่าทางของอัลเบิร์กในตอนนี้
[“สเต็กเนื้อจานเดียวจะพอหรือนั่น? แม้แต่โต๊ะอาหารตัวนั้นก็ไม่ได้ดูหรูหราเหมาะสมกับนายน้อยของเราแม้แต่น้อย!”]
“ทําไมเขาถึงเป็นแบบนี้
คาร์ลรู้สึกถึงบางอย่างกับอาการที่อัลเบิร์กเป็นตอนนี้
ลิ้นกะล่อนของคนเจ้าเล่ห์ อัลเบิร์กพูดเช่นนี้เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง
คิ้วของคาร์ลเริ่มขมวดเป็นปม การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทําให้แววตาของอัลเบิร์กสั่นเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงพูดด้วยรอยยิ้มสดใสเช่นเดิม
“อืมมม…ข้าควรดูแลนายน้อยของเราให้ดีกว่านี้สิ! อย่างน้อยเจ้าก็ควรได้ทานอาหารอร่อยๆ จากครัวหลวงของเรา…เจ้าไม่คิดเช่นนั้นหรือ? แค่สเต็กกับไวน์คงไม่พอหรอกนะ!”
คาร์ลตอบกลับทันควัน
“กระหม่อมต้องไปเมืองหลวงใช่มั้ยพะย่ะค่ะ”
รอยยิ้มสดใสของอัลเบิร์กหายไปทันทีเมื่อคาร์ลเข้าใจในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว เขายังคงเอ่ยกับคาร์ลต่อไป
[“ข้าติดต่อมาหาเจ้าเพราะมีเรื่องอยากคุยด้วย”]
เป็นเพราะคาร์ลคือหัวหอกสําคัญในการทําศึกครั้งนี้ร่วมกับเขา นั่นคือเหตุผลที่เขาต้องการแบ่งปันข้อมูลทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงให้คาร์ลทราบ
[“ในที่สุดอาณาจักรคาโรก็ติดต่อมาหาเราและจักรวรรดิเพื่อขอความช่วยเหลือ..ดูเหมือนพวกเขาจะกลัวเราไม่น้อยเมื่อทราบว่ากองทัพเรือของเราสามารถชนะพันธมิตรไร้พ่ายได้”]
คาร์ลตระหนักได้ถึงบางอย่างเมื่อเห็นท่าทางใช้ความคิดของอัลเบิร์ก
[“และปัญหานี้มันเป็นเรื่องยากที่องค์ชายเช่นข้าจะสามารถออกตัวจัดการเรื่องนี้ได้ทั้งหมด”]
อาณาจักรโรมันยังอยู่ในภาวะสงคราม คงเป็นเรื่องยากที่จะปกป้องอาณาจักรของตนเองไปพร้อมๆกับการเข้าช่วยเหลืออาณาจักรคาโร หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมา เหล่าขุนนางก็สามารถกระจายข่าวลือไปยังประชาชนทั่วทั้งอาณาจักรโรมันว่าราชวงศ์ได้ละทิ้งพลเมืองของตนเอง เพื่อไปช่วยเหลืออาณาจักรอื่น
คาร์ลยกแก้วไวน์ขึ้นจิบ ใบหน้าของเขาเริ่มแดงก่ําเล็กน้อย
“ พวกขุนนางไม่เห็นด้วยที่จะเข้าช่วยเหลืออาณาจักรคาโรอย่างนั้นหรือพะย่ะค่ะ?”
[“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็มักจะมีคนต่อต้านอยู่เสมอ..แต่ครั้งนี้มาร์ควิสไอลันกลับมีข้อเสนอบางอย่าง]
มาร์ควิสไอลัน ตระกูลของเขาเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นตระกูลนักสู้และเป็นผู้เชี่ยวชาญชาญด้านศิลปะป้องกันตัวที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักรโรมัน
คาร์ลรู้สึกแปลกใจพอสมควร ในขณะที่อัลเบิร์กก็ยังคงพูดต่อไป
[“ข้าอยากฟังความเห็นของเจ้า”]
คาร์ลยกมือขึ้นมานวดขมับทันที
[“ฝ่ายของมาร์ควิสไอลันและฝ่ายขุนนางภาคกลางต้องการจัดประชุมขุนนางอย่างเป็นทางการ..เพื่อรับฟังความคิดเห็นของเจ้า”]
ตระกูลเฮนิตัสร่วมกับขุนนางจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ขุนนางจากภาคตะวันตกเฉียงเหนือนําทัพโดยตระกูลสแตนซึ่งมี“เทย์เลอร์ สแตน” เป็นหัวเรือใหญ่ของตระกูล
ภาคตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งมีพื้นที่ติดกับจักรวรรดินําทัพโดยตระกูลกิลล์ซึ่งมี “อันโตนิโอ กิลล์” เป็ นหัวเรือใหญ่ในปัจจุบัน
มีกลุ่มขุนนางจากภาคตะวันตกเฉียงใต้และภาคกลางเช่นกัน
[ “พวกเขาบอกว่าจะเป็นการดีที่สุดหากได้รับฟังความเห็นจากผู้บัญชาการทหารของภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่สามารถชนะศึกจนปกป้องอาณาจักรโรมันของเราไว้ได้”]
เหล่าขุนนางต้องการคํายืนยันว่าอาณาจักรโรมันจะสามารถปลอดภัยได้ในระยะยาวและจะไม่มีปัญหาอะไรหากแบ่งกําลังไปช่วยอาณาจักรคาโร พวกเขาไม่ต้องการได้ยินสิ่งนี้จากองค์ชายรัชทายาทแต่ต้องการได้ยินจากคนที่สามารถชนะศึกมาได้เท่านั้น นั่นคือสิ่งที่คาร์ลคาดเอาไว้เช่นกัน เขาจึงจัดเตรียมเอกสารต่างๆเพื่ออธิบายผ่านอุปกรณ์เวทย์สื่อสารให้กับขุนนางทุกคนได้ทราบ
แต่ปัญหาก็คือมันไม่ใช่คําขอร้องโดยบริสุทธิ์ใจ
ไม่ว่าจะเป็นเพราะพวกเขาเกิดความไม่มั่นใจหรือเป็นเพราะความปรารถนาดีที่จะหารือเรื่องนี้จากใจจริงก็ตาม แต่คาร์ลมั่นใจว่ามันคือการหยั่งเชิงชุมอํานาจของเหล่าขุนนางด้วยกันเอง มันเป็นการกระทําของคนที่ไม่ต้องการสูญเสียฐานอํานาจของตนแม้จะเป็นช่วงสงครามก็ตาม
คาร์ลเอ่ยเสียงเรียบ
“การกระทําของภาคตะวันออกเฉียงใต้และภาคกลางช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก”
[“จริงอย่างที่เจ้าว่า”]
“แต่พวกเขาก็ไม่ผิดเช่นกันพะยะค่ะ”
[“แต่มันก็ยังน่ารําคาญอยู่ดี”]
คาร์ลมองเห็นสีหน้ายุ่งเหยิงของอัลเบิร์ก เขาสัมผัสได้ถึงความรําคาญใจจากสีหน้าของอัลเบิร์กในตอนนี้
อัลเบิร์กจะไม่รู้สึกรําคาญเลยสักนิดหากขุนนางเหล่านี้ต้องการพูดคุยกับคาร์ลเพราะเป็นห่วงอาณาจักรโรมันด้วยใจจริงและต้องการทราบข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์การทําศึกจากปากของผู้บัญชาการภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วยตัวเอง
แต่เจตนาของพวกเขาไม่ดีเลยสักนิด!
ก็อก ก็อก ก็อก!
คาร์ลเริ่มเคาะนิ้วไปที่โต๊ะเป็นจังหวะช้าๆ
[“พวกเขาต้องการให้เจ้าพาปรมาจารย์ดาบและหมอผีมาด้วย พวกเขาอ้างว่าต้องการเอ่ยชม ความสามารถของทั้งสองด้วยตัวพวกเขาเอง”]
ก็อก! ก็อก
นิ้วที่เคาะไปบนโต๊ะหยุดชะงักลง
พวกขุนนางไม่ได้มีเจตนาดีต่อเชวฮันและแมรี่ นั่นคือสาเหตุที่อัลเบิร์กติดต่อมาหาเขาในครั้งนี้
[“เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องลูกน้องของเจ้ามากนัก.ข้าจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้เองเจ้าไม่ต้องไปสนใจคําพูดไร้สาระจากพวกขุนนางภาคกลางนั้นด้วย”]
“ไม่เป็นไรพะย่ะค่ะ”
แววตาของอัลเบิร์กชะงักเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา หลังจากเห็นสีหน้าของคาร์ล เขาก็เข้าใจเจตนาของคาร์ลได้ทันที
[“เจ้าคงดูแลลูกน้องของเจ้าเป็นอย่างดีทีเดียว”]
ความหงุดหงิดบนใบหน้าของคาร์ลเมื่อครู่นี้ถูกเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นชาจนอัลเบิร์กรู้สึกได้ เขามองดูใบหน้านั้นนิ่งๆก่อนจะเอ่ยเพิ่มเติม
[“ประชาชนในเมืองหลวงก็ต้องการเห็นเจ้าเช่นกัน..ดูเหมือนอาวุธที่ขายดีที่สุดในเมืองหลวงตอนนี้จะเป็นโล่เงินแบบเดียวกับของเจ้าฯ]
“เฮ้อ “
คาร์ลถอนหายใจยาวจากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่ ถึงเวลาแล้วที่เขาจะเผยโฉมวีรบุรุษ และวีรสตรีคนใหม่ให้กับประชาชนได้เห็น
“กระหม่อมคิดว่าจะสร้างความครึกครื้นให้กับเมืองหลวงสักหน่อยพะย่ะค่ะ”
[“ในเมืองหลวงงั้นรึ?”]
ทั่วทั้งอาณาจักรจะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย อย่างไรก็ตามเขาไม่ค่อยมั่นใจนักว่าความวุ่นวาย ดังกล่าวมาจากเสียงร้องเชียร์หรือเสียงอุทานเพราะความหวาดกลัวกันแน่