ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 35 เหลวไหลขึ้นทุกวัน
แต่ฉินหรูเหลียงจะมาที่สวนสระวสันตฤดูทำไมหากไม่มีธุระสำคัญ
หลังจากที่หลิ่วเหมยอู่กลับไป นางก็เฝ้ารอฉินหรูเหลียงอย่างกระวนกระวายใจตลอดทั้งบ่าย
ในที่สุดฉินหรูเหลียงก็กลับมา เมื่อมาถึงเขาก็เข้าไปหานางในเรือนทันที
หลิ่วเหมยอู่ช่วยถอดเสื้อคลุมให้เขาอย่างคล่องแคล่วตามแบบอย่างของภรรยาที่ดี แต่ในใจยังคงคิดวนเวียนอยู่กับสิ่งที่เฉินเสียนพูดเมื่อเช้า ดังนั้นนางจึงต้องลองหยั่งเชิงฉินหรูเหลียงเพื่อความสบายใจ
หลิ่วเหมยอู่พูดวกไปวนมาและสุดท้ายก็วกเข้าเรื่องบาดแผลของนาง นางกล่าวว่า “เหมยอู่จำได้ว่าเมื่อครั้งก่อนท่านแม่ทัพบอกว่าจะทายาที่หลังให้เหมยอู่ แต่พอมานึกดูแล้วเหมยอู่ยังคงไม่หายผวา ในตอนนั้นโชคดีที่เซียงซั่นเข้ามาปกป้องไว้และหลังของเหมยอู่ก็อยู่ชิดติดกับผนัง ที่หลังจึงรอดพ้นจากการทำร้ายขององค์หญิง”
ความจริงฉินหรูเหลียงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เมื่อหลิ่วเหมยอู่พูดขึ้นมาอีกครั้งเขาจึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ราวกับว่านางพยายามปิดบังบางอย่างอย่างร้อนรน
การที่เพิ่งมาหยั่งเชิงในตอนนี้ก่อให้เกิดความตะขิดตะขวงขึ้นภายในใจของฉินหรูเหลียงโดยไม่รู้ตัว
ฉินหรูเหลียงขมวดคิ้วแปลกๆ เขาจับมือหลิ่วเหมยอู่และกล่าวว่า “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ไม่ว่านางจะพูดอะไรข้าก็จะไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว ต่อจากนี้เจ้าพยายามอยู่ให้ห่างนางไว้นะ จะได้ไม่เจ็บตัวอีก”
“เหมยอู่เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
แม้ปากของหลิ่วเหมยอู่จะตอบรับอย่างดิบดี แต่ภายในใจของนางจะยอมง่ายๆ ได้อย่างไรกัน
ดูเหมือนฉินหรูเหลียงไม่คิดจะยุ่งกับเด็กในท้องของเฉินเสียนอีก แต่นางจะทนมองท้องของเฉินเสียนโตขึ้นทุกวันๆ ได้อย่างไร อยากให้ไอ้เวรนั่นมันเกิดมากเลยสินะ!
ไม่ได้ นางจะต้องหาวิธีจัดการมันให้เร็วที่สุด
นางทำอะไรแบบโจ่งแจ้งไม่ได้ เป็นการดีที่สุดที่จะทำให้ทุกคนคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ
ด้วยเหตุนี้หลิ่วเหมยอู่จึงใช้สมองครุ่นคิดเรื่องนี้ทุกวันจนใบหน้าซูบเซียวและเต็มไปด้วยความฉุนเฉียว
เซียงซั่นเป็นคนหูไวตาไวเรื่องหาข่าว นางโน้มตัวมากระซิบว่า “บ่าวมีแผนแล้วเจ้าค่ะ บ่าวได้ยินมาว่าสระน้ำตื้นๆ ตรงมุมสวนดอกไม้ด้านหลังไม่ได้ทำความสะอาดมานานแล้ว เห็นว่าช่วงนี้ในสระมีปลิงเยอะจึงไม่มีใครกล้าลงไป ตอนนี้พ่อบ้านกำลังคิดจะหาคนนอกมาทำความสะอาด ถ้าทำให้นางสารเลวตกลงไปในสระนั่นได้ ไม่ต้องพูดถึงเด็กในท้องนั่น เพราะแม้แต่ชีวิตของตัวเองก็ยังยากที่จะรักษาไว้”
ดวงตาของหลิ่วเหมยอู่เป็นประกาย แววแห่งความโหดเหี้ยมฉายอยู่บนใบหน้าของนาง ถ้าเฉินเสียนตกลงไปในสระและคนไปพบช้าสักหน่อย นางคงจะถูกปลิงสูบเลือดจนตัวแห้งเป็นแน่
หลิ่วเหมยอู่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเฉินเสียน แต่เฉินเสียนกลับไม่ได้สนใจนางเลยแม้แต่น้อย
เฉินเสียนใช้โอกาสช่วงที่กำลังตั้งครรภ์ซึ่งเธอว่างมากถึงมากที่สุดในการวาดการ์ตูนโดยใช้ถ่าน เรื่องราวสั้นๆ ภาพแล้วภาพเล่าถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน
ที่มาของแรงบันดาลใจน่ะหรือ แน่นอนว่ามาจากเรื่องสองสามเรื่องของท่านแม่ทัพใหญ่และเมียน้อยนั่นเอง
เฉินเสียนวานให้อวี้เยี่ยนนำต้นฉบับภาพเขียนปึกนี้ส่งไปให้เหลียนชิงโจวเพื่อรวมเล่มและวางแผนขายเป็นหนังสือการ์ตูน สิ่งนี้ไม่เคยปรากฏในต้าฉู่มาก่อนจึงน่าจะตีตลาดได้ดีไม่น้อย
ตอนที่เหลียนชิงโจวรับภาพเขียนมาไว้ในมือ เขาถึงกับหน้าชาไปชั่วขณะ “องค์หญิงวาดภาพเหล่านี้เองหรือ”
อวี้เยี่ยนพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม “บ่าวเห็นองค์หญิงวาดกับตาเลยเจ้าค่ะ”
“น่าสนใจจริงๆ” เหลียนชิงโจวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ตอนเห็นครั้งแรกเขารู้สึกว่ารูปแบบการวาดตัวละครดูแปลกตาไปหน่อย แต่ยิ่งมองไปเรื่อยๆ กลับยิ่งสะดุดตา และการเล่าเรื่องโดยใช้ภาพแบบนี้ยิ่งทำให้รู้สึกถึงชีวิตชีวามากขึ้น
ในฐานะพ่อค้า เหลียนชิงโจวจะไม่ละทิ้งโอกาสทางการค้าใดๆ ทั้งสิ้น
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “กลับไปทูลองค์หญิงว่าข้าได้รับภาพเขียนคนตัวน้อยเหล่านี้แล้ว หลังจากนี้ข้าจะช่วยให้องค์หญิงได้รับชื่อเสียงเงินทองที่พระองค์สมควรได้รับเอง”
จากนั้นเหลียนชิงโจวจึงถามถึงชีวิตความเป็นไปของเฉินเสียน อวี้เยี่ยนเล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟังอย่างละเอียด พอได้ฟังแล้วเหลียนชิงโจวถึงกับครางเสียงต่ำ ความชื่นชมฉายชัดบนใบหน้าของเขา
ไม่คิดเลยว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองเดือนจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายถึงเพียงนี้
หลังจากอวี้เยี่ยนลากลับไป เหลียนชิงโจวก็พูดกับพ่อบ้านอย่างไม่ลังเลเลยว่า “เตรียมเกี้ยว”
หลังจากนั้นไม่นาน เหลียนชิงโจวก็อยู่บนเกี้ยวเตรียมมุ่งหน้าไปยังอุทยานหลวงตงเฉิง
ที่นี่มีแต่จวนและคฤหาสน์หลังใหญ่ๆ ใครก็ตามที่อาศัยอยู่ที่นี่ได้จะต้องร่ำรวยและมีหน้ามีตาในสังคม
เหลียนชิงโจวมาอยู่ที่นี่เพื่อหาลู่ทางทางการค้า จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องผูกสัมพันธ์การค้ากับทางราชวังเพื่อผลประโยชน์ ดังนั้นเขาจึงแวะเวียนมาที่นี่เป็นครั้งคราวเพื่อเยี่ยมเยียนเหล่าขุนนาง
และตัวเขาเองก็ซื้อที่พำนักที่อุทยานหลวงตงเฉิงไว้หลังหนึ่งเหมือนกัน
ตอนนี้เหลียนชิงโจวกลับมายังที่พำนักของตนเองในอุทยานหลวงตงเฉิงก่อน จากนั้นจึงเดินไปยังจวนที่อยู่ข้างๆ ผ่านทางประตูหลัง
จวนที่อยู่ถัดไปอยู่ห่างไกลพอสมควร มันตั้งอยู่ในอาณาเขตของขุนนางระดับสูงผู้หนึ่ง ตัวเรือนอยู่ลึกเข้าไปในลานบ้าน มันทั้งเงียบสงัดและวังเวง
เห็นได้ชัดว่าเจ้าของจวนเป็นผู้รักสันโดษ
ที่นี่มีคนใช้ไม่มากนัก ทุกคนต่างแสดงความเคารพเมื่อเห็นเหลียนชิงโจวเข้ามา จากนั้นจึงพาเหลียนชิงโจวเดินผ่านห้องโถงทะลุไปด้านหลังเรือน
ภายในห้องหนังสือด้านหลัง ประตูเปิดแง้มไว้ครึ่งหนึ่ง
กลิ่นไม้กฤษณาลอยอบอวลมาจากด้านใน
เหลียนชิงโจวก้าวเข้าไปและนั่งลงบนเสื่อไม้ไผ่ที่วางอยู่หลังม่านอย่างคุ้นชิน ก่อนจะกล่าวทักทายด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์”
เมื่อมองลอดผ่านม่านไม้ไผ่ที่ห้อยลงมาเบื้องหน้า จะเห็นรางๆ ว่ามีใครคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้น ชายเสื้อของเขากรุยกรายอยู่บนพื้นและยังคงนั่งอยู่อย่างสงบ มองผ่านๆ แล้วอาจนึกว่าเป็นภาพวาด
เหลียนชิงโจวส่งปึกภาพเขียนของเฉินเสียนให้เขา
เขาพลิกดูมันช้าๆ เสียงพลิกแผ่นกระดาษดังขึ้นในห้องที่เงียบสงบอย่างต่อเนื่อง รอยถ่านสีดำบนกระดาษยิ่งขับให้นิ้วที่ละเอียดอ่อนของเขาดูขาวราวกับต้นหอม
“อาเสียนเป็นคนวาดภาพเหล่านี้รึ”
“ขอรับ”
“ดูมีเอกลักษณ์เป็นพิเศษ” เมื่อเขาอ่านจบเขาก็ส่งมันคืนให้เหลียนชิงโจวโดยพูดเน้นตอนท้ายประโยคเล็กน้อย “ต่อไปเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ต้องถามความเห็นของข้าก็ได้ ถ้ามันเป็นความต้องการของนาง ตราบใดที่มันไม่น่าเกลียดจนเกินไปเจ้าก็ตามใจนางไปเถอะ ”
เหลียนชิงโจวเงียบไปก่อนจะเอ่ยอย่างไม่รู้ว่าควรยินดีหรือเสียใจ “ตั้งแต่องค์หญิงได้สติกลับมานิสัยของพระองค์ก็เปลี่ยนไปมาก ถ้าหากท่านอาจารย์ยังปล่อยให้ทำเช่นนี้ต่อไปโดยไม่ห้ามปราม ไม่ช้าก็เร็วองค์หญิงคงจะเหลวไหลมากขึ้น อวี้เยี่ยนเล่าให้ฟังว่าตอนนี้องค์หญิงกล้าที่จะตบสู้ท่านแม่ทัพแล้วนะขอรับ”
“หือ?” ผู้ที่อยู่หลังม่านชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด ทว่าสิ่งแรกที่เขาสนใจคือ “ตบไปแล้วงั้นหรือ”
เหลียนชิงโจวอับอายจนเหงื่อตกและกล่าวว่า “ตบแล้วขอรับ นางตบฉินหรูเหลียงเต็มแรงแล้วถีบเขาซ้ำ ฉินหรูเหลียงพยายามจะตอบโต้ แต่องค์หญิงก็จ่อมีดไว้ที่หน้าอกของเขาแล้ว องค์หญิงในตอนนี้ไม่ยอมให้ใครรังแกอีกต่อไป กลายเป็นคนที่จ้องแต่จะแก้แค้น ถ้าหากทำให้ไม่พอใจพระองค์อาจจะเผาจวนแม่ทัพเลยก็เป็นได้”
ริมฝีปากของชายหนุ่มที่อยู่หลังม่านโค้งขึ้นจนเกิดเป็นรอยยิ้ม “นางน่าจะดุดันกว่านี้ เรื่องโง่ๆ อย่างการแต่งงานกับฉินหรูเหลียงนางยังทำมาแล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องเหลวไหลแค่นี้”
เห็นรอยยิ้มที่คลุมเครือแบบนี้ เหลียนชิงโจวเองก็ดูไม่ออกเหมือนกันว่าอาจารย์ของเขาดีใจหรือเปล่า เหมือนผู้เป็นอาจารย์จะปลื้มอกปลื้มใจกับสิ่งที่องค์หญิงทำลงไป ในขณะเดียวกันก็โกรธที่องค์หญิงอภิเษกสมรสกับฉินหรูเหลียง
“แล้วเด็กล่ะ” เขาถามต่อ
เหลียนชิงโจวตอบว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับ ตอนนี้องค์หญิงกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อหาทางออกสำหรับตัวเอง”
หลังจากคิดแล้วคิดอีก เขาก็ตัดสินใจว่าจะปกปิดเรื่องที่เฉินเสียนเกือบแท้งเอาไว้ ถึงอย่างไรเรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ถ้ารื้อฟื้นขึ้นมาอีกก็รังแต่จะนำความยุ่งยากมาให้
ทว่าวันที่อวี้เยี่ยนนำปึกภาพเขียนมาส่งให้เหลียนชิงโจวนั้น หลิ่วเหมยอู่ที่จ้องหาโอกาสอยู่นานก็พบว่านี่เป็นโอกาสที่สมบูรณ์แบบ