ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 38 การพิจารณาของผู้บังคับบัญชา
แม่บ้านจ้าวไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นและตกใจจนพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง จากนั้นทั้งสามคนจึงกลับไปที่สวนสระวสันตฤดู
เมื่อเดินผ่านจากห้องยามาถึงลานด้านหน้าเฉินเสียนก็เห็นพ่อบ้านเดินผ่านมาพอดี เธอหยุดและเรียกพ่อบ้านไว้ “ไม่กี่วันก่อนข้าได้ยินมาว่ามีปลิงอยู่ที่สระหลังบ้าน พ่อบ้านไปหาคนมาจัดการที ถ้ามันหลุดจากสระไปทำร้ายใครเข้าจะทำยังไง”
พ่อบ้านโค้งคำนับและกล่าวว่า “วันนี้บ่าวกำลังจะส่งคนไปทำความสะอาดที่สระพ่ะย่ะค่ะ ไปตามมาแล้ว คาดว่าอีกไม่นานคงจะมาถึง”
เฉินเสียนเดินผ่านเขาไปพร้อมกล่าวว่า “ดีแล้ว เรื่องแบบนี้ควรรีบดูแลแต่เนิ่นๆ จัดการให้เร็วกว่านี้หน่อย ไม่อย่างนั้นปลิงในสระจะยิ่งดื้อด้านจัดการยาก”
หลังจากกลับมาที่สวนสระวสันตฤดู อวี้เยี่ยนก็เล่าให้ฟังว่าทันทีที่กลับมาถึงจวน สาวใช้ผู้หนึ่งก็อ้างว่านางจ้าวขอให้นางไปช่วยหยิบยาบำรุงร่างกายมาให้เฉินเสียน
เดิมทีแม่บ้านจ้าวเป็นคนทำหน้าที่นี้มาตลอด อวี้เยี่ยนคิดว่าแม่บ้านจ้าวยุ่งจนปลีกตัวมาไม่ได้จึงตามสาวใช้ผู้นั้นไปที่ห้องยา ใครจะไปคิดว่าสาวใช้ผู้นั้นจะขังนางไว้ทันทีที่เข้าไปในห้อง
โชคดีที่ติดอยู่แค่พักเดียวจึงไม่เป็นอะไรมาก
เฉินเสียนถามว่า “จำได้ไหมว่าสาวใช้คนนั้นหน้าตาเป็นยังไง”
“ถ้าบ่าวเห็นนางอีกที บ่าวต้องจำได้แน่เพคะ”
ช่วงบ่ายวันนี้จวนแม่ทัพถูกกำหนดให้ตกอยู่ในความไม่สงบ
เฉินเสียนทำนู่นนี่นั่นอยู่ในเรือนของตัวเองอย่างใจเย็นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นที่สวนด้านหลัง
พ่อบ้านรีบพาคนไปทำความสะอาดสระน้ำที่อยู่ลึกเข้าไปในสวนด้านหลัง แล้วพบว่าหลิ่วเหมยอู่กำลังดิ้นรนอยู่ในสระในสภาพที่ดูไม่ได้
หลังจากช่วยนางออกมาก็พบว่ามีปลิงเกาะอยู่ทั่วร่าง น่ากลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะมอง ตอนนั้นนางยังพอมีสติ เมื่อได้รับความช่วยเหลือจึงค่อยผ่อนคลายความกังวลลงก่อนจะหมดสติไปในที่สุด
พอรู้ข่าวนี้แม่บ้านจ้าวก็ชักสงสัยว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางมองเฉินเสียนแล้วพูดว่า “เมื่อตอนเที่ยงองค์หญิงไปไหนมาเพคะ”
เฉินเสียนกะพริบตาอย่างไร้เดียงสา “ข้าก็ชมดอกซิงอยู่ที่ศาลาไม่ใช่หรือ”
แม่บ้านจ้าวปาดเหงื่อ “ดอกซิงร่วงโรยไปนานแล้วนะเพคะ”
เรื่องชักจะยุ่งยาก ถ้าองค์หญิงยืนยันไม่ได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่นายหญิงน้อยตกลงไปในสระ นางไม่รู้เลยว่าแม่ทัพจะลงโทษอย่างไรเมื่อเขากลับมา!
แต่เฉินเสียนทำเหมือนไม่มีปัญหาอะไร เธอไม่ตื่นตระหนกเลยแม้ว่าฟ้าจะถล่มลงมา
เธอหยิบถ่านสีดำขึ้นมาก้อนหนึ่งและเริ่มวาดรูปอีกครั้ง พึมพำกับตัวเองว่า “นี่คือแรงบันดาลใจที่มาจากชีวิตจริง”
หลังจากจัดการหลิ่วเหมยอู่ไปแล้ว เธอก็พบว่าตัวเองวาดภาพได้ลื่นไหลขึ้น เค้าโครงเรื่องเกี่ยวกับการทะเลาะในครอบครัวดูสมจริงมาก เธอวาดทุกอย่างได้ง่ายดาย เสริมเติมแต่งได้อย่างที่ใจต้องการ
***
ตั้งแต่ครั้งสุดท้ายที่หมอหลวงมาและเขียนใบสั่งยาให้ใหม่ เฉินเสียนก็ปลงตก
สุดท้ายลูกของเธอจะอยู่หรือตายก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้อื่น เธอพูดสิ่งที่ควรพูดและทำในสิ่งที่ควรทำไปแล้ว เหลือแค่ว่าคนในวังจะยอมปล่อยเธอไปหรือไม่
เฉินเสียนไม่ได้พยายามหลีกเลี่ยงภัยใดๆ หมอหลวงเองก็ไม่ได้สั่งยาที่มีผลเสียต่อร่างกายเช่นกัน หนำซ้ำยาเหล่านั้นยังเป็นยาที่มีผลดีต่อลูกของเธอด้วย
หมอหลวงไม่กล้าละเลยสิ่งที่เฉินเสียนพูดกับเขาวันนั้น เมื่อกลับมาถึงจึงรายงานให้จักรพรรดิฟังอย่างไม่มีตกหล่น
ในขณะนั้นจักรพรรดิกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรเพื่อออกว่าราชการแผ่นดินและฟังราวกับไม่ได้สนใจ หลังจากหมอหลวงทูลจบจักรพรรดิก็โบกมือให้เขาออกไป
หลังจากเขาออกไปแล้วพระองค์จึงทรงวางพู่กันในมือ เงยพระพักตร์ขึ้นและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากว่าราชการเสร็จเมื่อเช้านี้ จักรพรรดิปล่อยให้ฉินหรูเหลียงอยู่คนเดียวในห้องตำราหลวงของพระองค์
“ข้าได้ยินจากหมอหลวงว่าบุตรขององค์หญิงจิ้งเสียนยังคงมีชีวิต แม้จะกินยามาตลอดหนึ่งเดือนอีกทั้งยังเกิดอุบัติเหตุเช่นนั้น แต่ตอนนี้เด็กก็ยังอยู่ดี”
ฉินหรูเหลียงคุกเข่าลงและพูดว่า “ขอพระองค์ทรงลงโทษกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“ลงโทษเรื่องอะไร” จักรพรรดิตรัสถาม “ควรลงโทษเจ้าข้อหาทำร้ายองค์หญิง หรือควรตั้งข้อหาที่ทำให้เกิดข่าวอื้อฉาวโจษจันกันไปทั้งเมือง”
จักรพรรดิลุกจากบัลลังก์มังกรและเอามือไพล่หลัง ตรัสอีกว่า “แม่ทัพใหญ่โปรดอนุภรรยาจนทำร้ายภรรยาเอก ข่าวนี้แพร่ออกไปทั่วแล้ว เพื่ออนุภรรยาเพียงคนเดียว การนำพระเกียรติของข้ากับชื่อเสียงจวนแม่ทัพของเจ้าไปแลก เจ้าคิดว่าคุ้มแล้วหรือ ก่อนนี้ข้าพอจะมองข้ามไปได้ แต่ทุกเรื่องจะต้องมีขอบเขต หากเจ้าอยากจะให้ทุกคนรู้ขนาดนั้น ข้าคิดว่าข้าคงปล่อยอนุภรรยาผู้นั้นไว้ไม่ได้”
ฉินหรูเหลียงหน้าถอดสี รีบยอมรับผิดและขอประทานอภัย
จักรพรรดิหยุดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงผ่อนคลายน้ำเสียงลง “คำพูดที่จิ้งเสียนขอให้หมอหลวงนำมาถ่ายทอดทำให้ข้าประหลาดใจจริงๆ นึกไม่ถึงว่านางจะยังมีด้านที่มีสติอยู่ด้วย”
ฉินหรูเหลียงเม้มปากและกล่าวว่า “ตั้งแต่กลับมานางก็เปลี่ยนไป ต่างจากคนที่เคยโง่เขลาเมื่อก่อนนี้โดยสิ้นเชิงพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหรี่พระเนตร “ยอมก้มหัวอยู่ใต้การปกครอง เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือไม่”
ฉินหรูเหลียงนิ่งเงียบ เขาจะกล้าตัดสินใจแทนจักรพรรดิได้อย่างไร
แต่จากสภาพการณ์เช่นนี้ ใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมพอย่อมไม่เชื่อง่ายๆ แล้วนับประสาอะไรกับองค์จักรพรรดิ
แต่จักรพรรดิกลับมีความคิดเป็นอีกอย่าง
ถึงอย่างไรในครรภ์ของเฉินเสียนก็คือบุตรของฉินหรูเหลียง ตอนนี้ฉินหรูเหลียงเป็นแม่ทัพใหญ่อันดับหนึ่งของต้าฉู่ จะประมาทอำนาจทางการทหารอยู่ในกำมือไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
หากวันข้างหน้าเกิดมีอำนาจมากขึ้นจนทำให้บัลลังก์สั่นคลอนก็คงยากที่จะหยุดยั้ง ถ้านางใช้ประโยชน์จากลูกชายของตัวเอง มันจะเป็นภัยต่อฉินหรูเหลียงเช่นกัน
นอกจากนี้เฉินเสียนยังมีสถานะพิเศษและเป็นถึงอดีตองค์หญิง แม้จะเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วที่มีการเปลี่ยนถ่ายอำนาจในต้าฉู่ ถึงเบื้องหน้าจะดูสงบ แต่ในราชสำนักยังคงมีความเคลื่อนไหวของคลื่นใต้น้ำจากข้าราชบริพารของราชวงศ์เก่า ถ้าทำให้เฉินเสียนยอมเป็นข้าใต้ฝ่าพระบาทได้ ข้าราชบริพารเหล่านั้นก็จะไม่หลงเหลือความหวังอีก
ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าการปล่อยเด็กคนนี้เอาไว้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ทว่าก็ยังมีข้อดีมากกว่า
ในที่สุดจักรพรรดิก็ตรัสกับฉินหรูเหลียงว่า “ไม่ต้องกังวล เอาอย่างนี้ก่อน ต่อไปข้าจะหาโอกาสทดสอบนาง ดูว่าจริงๆ แล้วนางจำเรื่องในอดีตได้มากน้อยแค่ไหน เจ้ากลับไปเถอะ ต่อไปถึงจะโปรดปรานอนุภรรยาอย่างไรก็ต้องมีขอบเขต ถึงอย่างไรจิ้งเสียนก็ยังเป็นองค์หญิงแห่งต้าฉู่”
ฉินหรูเหลียงตอบ “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉินหรูเหลียงไม่คิดเลยว่าแค่เขากลับไปช้ากว่าปกติไม่เท่าไหร่ จวนแม่ทัพจะเกิดความโกลาหลอลหม่านขนาดหนัก
หลิ่วเหมยอู่ตกลงไปในสระและถูกปลิงเกาะเต็มตัว ร่างกายของนางเสียหายอย่างสิ้นเชิง ปลิงบางตัวถึงขนาดเจาะเข้าไปในผิวหนังของนางจนเกิดเป็นรูเลือดสองสามรูบนผิวหนัง
หญิงสูงวัยกับหมอกำลังยุ่งอยู่ในสวนดอกพุดตาน อาการของหลิ่วเหมยอู่ไม่ได้ร้ายแรงถึงชีวิต แต่บาดแผลทั่วร่างกายนั้นจะต้องรีบจัดการโดยเร็วที่สุด
แผลที่หน้าผากของเซียงซั่นถูกพันไว้อย่างง่ายๆ และคราบเลือดบนใบหน้าก็ถูกเช็ดออกไปแล้ว ใบหน้าเล็กๆ นั้นยังคงขาวซีด นางรีบไปคุกเข่าอยู่แทบเท้าฉินหรูเหลียงและร้องไห้สะอึกสะอื้น “ท่านแม่ทัพ! ท่านแม่ทัพจะต้องจัดการให้นายหญิงนะเจ้าคะ!”
ฉินหรูเหลียงชายตาลงมอง มีพายุโหมกระหน่ำในดวงตาที่มืดมนคู่นั้น เขาจ้องตรงไปที่เซียงซั่น “เป็นฝีมือใคร”
เฉินเสียนกินอาหารมื้อกลางวันช้ากว่าปกติ พอกินอิ่มก็เริ่มง่วงจึงเอนหลังอยู่ในห้องพักใหญ่ โดยมีอวี้เยี่ยนนั่งพัดให้อยู่ข้างๆ อย่างสบายอารมณ์
ต่อมาพ่อบ้านก็มาที่นี่พร้อมกับหญิงมีอายุผู้เป็นกลางคนหนึ่งและทำลายความสงบของสวนสระวสันตฤดูแห่งนี้
พ่อบ้านกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพให้มาเชิญองค์หญิงไปที่ห้องโถงด้านหน้า”
แม่บ้านจ้าวใจไม่ดี แต่ปากยังคงเอ่ยไปว่า “ท่านแม่ทัพบอกหรือไม่ว่ามีเรื่องอะไร”
“เกี่ยวกับนายหญิงน้อย”
แม่บ้านจ้าวยิ้ม พยายามซ่อนความกังวลไว้ “ตอนนี้องค์หญิงกำลังนอนกลางวัน ไว้เมื่อองค์หญิงตื่นข้าจะบอกพระองค์ให้ไปที่นั่น”