ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 40 ถ้ามีหลักฐานก็แสดงออกมา
ทันใดนั้นเฉินเสียนก็บิดมืออย่างรวดเร็วและแย่งไม้พลองมาอย่างง่ายดาย เธอออกแรงฟาดบ่าวผู้นั้นไปหนึ่งที ทาสผู้นั้นกุมมือก่อนจะก้าวถอยหลังไปเล็กน้อย
กลายเป็นว่าทาสที่ถูกตีผู้นี้กลับรู้สึกโล่งใจ ใครกันจะอยากเข้าไปอยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้งของท่านแม่ทัพกับองค์หญิง
เฉินเสียนตั้งไม้พลองและกระแทกมันลงกับพื้น ดูเต็มไปด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่ไม่อาจมองข้าม ยากที่จะจินตนาการได้ว่านี่คือหญิงที่กำลังตั้งครรภ์
เธอเชิดหน้ามองฉินหรูเหลียง จากนั้นจึงเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ลองบอกเหตุผลที่ข้าต้องคุกเข่ามาสิ”
ฉินหรูเหลียงฟาดฝ่ามือลงบนที่พักแขนเก้าอี้ เขาหรี่ตาและเอ่ยเสียงแข็งว่า “ได้ ท่านต้องการเหตุผลใช่ไหม วันนี้ข้าจะทำให้ท่านต้องยอมรับโดยไม่มีข้อโต้แย้ง! เซียงซั่น เข้ามา!”
สิ้นเสียงของเขาเซียงซั่นก็เดินโซซัดโซเซเข้ามา พอมาถึงนางก็คุกเข่าลงร้องไห้สะอึกสะอื้น ผ้าพันแผลบนหน้าผากที่มีเลือดสีแดงก่ำซึมออกมาซึ่งยิ่งทำให้นางดูน่าสงสารมากขึ้น
เซียงซั่นเงยหน้ามองเฉินเสียนทั้งน้ำตา สายตาเต็มไปด้วยความคั่งแค้น นางชี้ไปที่เธออย่างแม่นยำก่อนจะกัดฟันกรอดและเอ่ยว่า “ท่านแม่ทัพ เป็นผู้หญิงร้ายกาจผู้นี้เจ้าค่ะที่ผลักนายหญิงตกลงไปในสระ! และก็เป็นพระองค์ที่ตีหัวบ่าวจนสลบ!”
เซียงซั่นหมอบลงไปกับพื้นและร้องห่มร้องไห้ราวกับทนรับไม่ได้กับความไม่เป็นธรรม “นายหญิงผู้น่าสงสารยังคงสลบไสลไม่ได้สติ… นายหญิงร่างกายอ่อนแออยู่แล้วยังต้องมาตกลงไปในสระเช่นนี้อีก ต้องใจดำอำมหิตแค่ไหนจึงผลักนางลงไปได้! นายหญิงซึ่งมีจิตใจที่ดีงามควรถูกข่มเหงรังแกเช่นนี้หรือ บ่าวแทบใจสลายที่ต้องเห็นนางตกอยู่ในสภาพนั้น…”
ขอบตาของฉินหรูเหลียงแดงก่ำ สองมือจับเก้าอี้ไว้แน่นจนเส้นเลือดบนหลังมือปูดโปนขึ้นมา “เฉินเสียน มาถึงขั้นนี้แล้ว ท่านมีอะไรจะพูดอีกไหม”
เฉินเสียนแสยะยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยัน “แน่นอนว่าต้องมี แค่ฟังความจากนางข้างเดียวท่านก็ปักใจเชื่อว่าข้าเป็นคนผลักเหมยอู่ตกลงไปในสระแล้วงั้นหรือ ท่านเห็นมันด้วยตาของท่านเองหรืออย่างไร”
“บ่าวเห็นกับตา!” เซียงซั่นรีบขัดขึ้นมา
เฉินเสียนแสยะยิ้มมุมปาก เธอเหลือบมองเซียงซั่นด้วยหางตาแล้วกล่าวว่า “เจ้าบอกว่าข้าตีเจ้าจนสลบไม่ใช่หรือ เจ้าสลบไปแล้วยังจะเอาตาที่ไหนมามองอีก”
เซียงซั่นตอบว่า “พระองค์ผลักนายหญิงลงไปก่อนแล้วกลัวว่าข้าจะเปิดเผยความลับ จึงตีจนข้าสลบไปด้วย!”
เฉินเสียนหัวเราะ หางตาของเธอกระตุกเล็กน้อย “แล้วตอนที่ข้าผลักเหมยอู่ลงไป ทำไมเจ้าถึงไม่หยุดข้า เป็นไปได้หรือว่าเจ้าจะยืนใจลอยอยู่เฉยๆ”
ทันใดนั้นหัวข้อสนทนาก็เปลี่ยนไป เธอเอ่ยเสียงเย็นว่า “ก็แค่ทาสชั้นต่ำ ดูแลเจ้านายไม่ดีเองยังจะมาใส่ร้ายผู้อื่น แม่ทัพฉินยังไม่ทันว่าอะไรเจ้าก็ป้ายสีผู้อื่นเสียแล้ว! ช่างพลิกลิ้นได้ว่องไวเสียจริง!”
เซียงซั่นสะอึก ใบหน้ายิ่งซีดลงกว่าเดิม นางโต้กลับว่า “บ่าวไม่ได้ใส่ร้ายใครนะเจ้าคะ บ่าวพูดความจริง! ตอนที่นายหญิงถูกผลักบ่าวเข้าไปห้ามไม่ทัน พระองค์จึงลงมือได้สำเร็จ!”
“โอ้?” เฉินเสียนพูดอย่างเฉยเมย “ข้าเป็นหญิงมีครรภ์ อายุครรภ์ก็ตั้งห้าเดือน แค่นี้ก็เคลื่อนไหวไม่สะดวกแล้ว ปกติข้าแทบจะไม่ออกไปจากสวนสระวสันตฤดูเลย ตอนนี้เจ้ากลับบอกว่าข้าไปที่สระในสวนด้านหลังซึ่งเป็นเวลาที่แม่บ้านจ้าวออกไปนำอาหารเที่ยงมาให้ข้า ส่วนอวี้เยี่ยนก็ถูกขังอยู่ในห้องยาอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ข้าตัวคนเดียว แต่เจ้ากับเหมยอู่ตั้งสองคนกลับหยุดข้าไม่ได้งั้นหรือ”
เฉินเสียนพูดอย่างมีเหตุผล แต่นั่นยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ฉินหรูเหลียงเชื่อ
ฉินหรูเหลียงรู้ดี ภายนอกเฉินเสียนดูเหมือนอ่อนแอแต่ความจริงเธอแข็งแรงมาก ถ้าหากต่อสู้กันจริงๆ หลิ่วเหมยอู่กับเซียงซั่นสองคนก็อาจสู้เธอไม่ได้
ครั้นแล้วเฉินเสียนก็พูดด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “คำถามก็คือ ข้าจะไปที่สระน้ำในสวนด้านหลังทำไม แล้วเซียงซั่นกับเหมยอู่ล่ะ จะไปที่สระนั่นทำไม”
เซียงซั่นคิดหาคำตอบไว้ล่วงหน้าแล้ว นางตอบไปว่า “นายหญิงหาโอกาสคืนดีกับพระองค์มาโดยตลอด แต่พระองค์กลับพานายหญิงไปยังสถานที่อันตรายแห่งนั้นและวางแผนจะฆ่านายหญิง!”
“เฮอะ ตลกจริง” เฉินเสียนเอ่ยอย่างนิ่งเฉยว่า “วันนี้ข้าไม่ได้ออกไปจากสวนสระวสันตฤดูเลย แล้วข้าจะพานางไปที่นั่นได้อย่างไร”
เซียงซั่นไม่คิดมาก่อนว่าเฉินเสียนจะปฏิเสธเสียงแข็งขนาดนี้ ไม่ว่านางจะพูดอะไรเธอก็ปฏิเสธทุกอย่างและยืนยันว่าตนเองไม่ได้ออกไปไหนทั้งนั้น
แม้ว่าอวี้เยี่ยนกับแม่บ้านจ้าวจะไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่เซียงซั่นก็ไม่มีหลักฐานใดที่จะยืนยันได้ว่าเฉินเสียนเป็นคนพาหลิ่วเหมยอู่ไป
สิ่งต่างๆ มาถึงทางตัน
เมื่อไม่มีทางเลือกเซียงซั่นจึงร้องห่มร้องไห้ พูดกับฉินหรูเหลียงอีกครั้งว่า “องค์หญิงเถียงข้างๆ คูๆ ท่านแม่ทัพได้โปรดเชื่อบ่าว บ่าวไม่ได้โกหกจริงๆ นะเจ้าคะ! พระองค์เป็นคนผลักนายหญิงตกไป!”
เฉินเสียนรวบกระโปรงและนั่งยองๆ ลงข้างๆ เซียงซั่น เธอบีบคางของนางและบังคับให้นางเงยหน้าขึ้น ให้ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาหันมาเผชิญหน้ากับใบหน้าอันสงบเยือกเย็นของเธอ
เฉินเสียนเอ่ยเบาๆ ว่า “แม่สาวใช้ เจ้ากินของมั่วซั่วได้แต่เจ้าจะพูดจามั่วซั่วไม่ได้ เศษมูลที่พ่นออกมาจากปากของเจ้า เจ้าต้องชดใช้ บางทีเหมยอู่อาจโชคร้ายก้าวพลาดจนตกลงไปในสระก็ได้ เจ้าจำเป็นจะต้องลากคนอื่นมารับบาปให้ได้หรือ
เป็นเจ้าที่ไม่ดูแลเหมยอู่ให้ดี ไม่เพียงแค่ปล่อยให้นางไปยังสถานที่ที่อันตราย แต่ยังไม่ดูแลนางให้รอบคอบ เป็นเพราะความประมาทของเจ้านั่นแหละที่ทำให้เหมยอู่เป็นเช่นนี้ เจ้าพยายามโยนความผิดมาให้ข้าเพื่อหลบเลี่ยงความรับผิดชอบ แม่ทัพฉินไม่ได้ตาบอดนะ เขาจะเชื่อเจ้าหรือ”
เซียงซั่นเบิกตากว้าง รูม่านตาของนางหดเล็กลงเพราะความตื่นตระหนก
หญิงสาวผู้นี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน… ไม่เพียงแค่ไม่ยอมรับ แต่เธอยังปัดความผิดกลับมาหานางอย่างมีเหตุมีผลอีกด้วย!
เซียงซั่นกล่าวเสียงสั่นว่า “ท่านแม่ทัพเชื่อบ่าวนะเจ้าคะ บ่าวไม่ได้โกหก! ถ้ามันเป็นอย่างที่พระองค์พูด ทำไมบ่าวถึงถูกตีจนหัวแตกแบบนี้ ทำไมบ่าวต้องหลั่งเลือดมากขนาดนี้ด้วย ท่านแม่ทัพ! พระองค์ปลิ้นปล้อน พูดจามั่วซั่วไปหมด!”
แม้ว่าฉินหรูเหลียงจะโกรธแค่ไหนแต่เขาก็ต้องพิจารณาสิ่งที่ทั้งสองคนพูดอย่างละเอียดอีกครั้ง เฉินเสียนปฏิเสธทุกอย่าง และคำพูดของเซียงซั่นก็มีช่องโหว่มากมาย
ใครกันแน่ที่โกหก? แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่หวังจะทำร้ายเหมยอู่ เขาจะไม่ยอมปล่อยไปอย่างแน่นอน!
เฉินเสียนชำเลืองมองนางด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ใครจะไปรู้ว่าหัวเจ้าไปกระแทกอะไรมา บางทีเจ้าอาจจะเห็นว่าการที่หลิ่วเหมยอู่ตกน้ำเป็นความผิดใหญ่หลวงและอยากหนีความผิด เจ้าจึงยอมตีหัวตัวเองแล้วโยนความผิดมาให้ข้าก็ได้นี่”
ฉินหรูเหลียงขมวดคิ้ว เขาจ้องเซียงซั่นด้วยสายตาที่เย็นเยียบ
ในที่สุดเซียงซั่นก็ลุกลี้ลุกลน นางชี้หน้าเฉินเสียนและกรีดร้องเสียงแหลม “พระองค์ พระองค์โกหก! เห็นๆ กันอยู่ว่าพระองค์ไม่บริสุทธิ์ใจ ทรงร้ายกาจมาก เป็นพระองค์นั่นแหละที่ตีหัวข้า!”
เฉินเสียนหรี่ตาและกล่าวว่า “แล้วข้าใช้อะไรตีหัวเจ้า จะจับโจรต้องมีหลักฐาน ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่าข้าใช้อะไรตีเจ้า ถ้าเจ้าหาอาวุธที่ข้าใช้ทำร้ายเจ้าเจอและบนนั้นมีเลือดของเจ้า ข้าจะยอมรับผิดแต่โดยดี ถ้าไม่อย่างนั้นแค่พูดลอยๆ แบบนี้จะหวังให้คนอื่นเชื่อได้อย่างไร”
ฉินหรูเหลียงถามว่า “นางใช้สิ่งใดตีเจ้า”
“บ่าว บ่าวเห็นไม่ชัดเจ้าค่ะ…” เซียงซั่นกัดฟันพูด
เฉินเสียนหัวเราะ เธอเงยหน้ามองฉินหรูเหลียงและพูดว่า “พูดกันมาตั้งนานแล้วข้ายังไม่เห็นเลยว่ามีเหตุผลอะไรที่ข้าต้องคุกเข่าให้ท่าน ยังมีอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าก็ขอตัวกลับไปนอนกลางวันก่อนละ”
เฉินเสียนทิ้งไม้พลองและหันหลังเดินออกไปจากโถงบุปผาอย่างสง่างาม
แต่ไม่คิดว่าอยู่ๆ จะมีคนที่อยู่ด้านนอกโถงบุปผาเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านแม่ทัพ บ่าวสาวสองคนนี้แอบกระซิบกระซาบกัน ดูเหมือนตอนนั้นพวกนางจะเห็นองค์หญิงออกไปจากสวนสระวสันตฤดูและเสด็จไปยังสวนด้านหลังเจ้าค่ะ”