ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 43 แค่หน้าตาไม่พอ ต้องใช้ฝีมือการแสดงด้วย
บ่าวรับใช้หันไปมองตามเสียงและหลีกทางให้โดยอัตโนมัติ
เฉินเสียนกะพริบตาปริบๆ เธอเห็นชายที่แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างดีผู้หนึ่งเดินมาจากข้างนอก เขาถือแส้ขนจามรีไว้ในอ้อมแขนอีกทั้งยังสวมชุดผ้าปักลวดลายสวยงาม
ทันใดนั้นความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของเธอ… นี่คือขันทีจริงๆ ใช่หรือไม่?
ฉินหรูเหลียงหยุดชะงัก เขายังคงควบคุมความเคลื่อนไหวของเฉินเสียนไว้ด้วยกริชในมือ ณ เวลานี้ขันทีเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ต่อให้อยากจะถอยก็ไม่ทันเสียแล้ว
ขันทีผู้นั้นตกตะลึงและเอ่ยขึ้นว่า “กระหม่อมเข้ามาเมื่อครู่ เห็นที่ลานด้านหน้าไม่มีใครมาคอยต้อนรับ เหลือเพียงคนเฝ้ายามอยู่แค่สองคน พอได้ยินว่าทุกคนพากันมาอยู่ที่โถงบุปผาแห่งนี้กระหม่อมจึงถือวิสาสะเดินเข้ามาดู ไหนเลยจะคิดว่าจะมีศึกใหญ่ขนาดนี้”
เฉินเสียนกะพริบตาอีกครั้ง รู้สึกเหมือนฟ้าชี้ทางสว่างให้แก่เธอ
ฉินหรูเหลียงรู้สึกถึงร่างกายที่สั่นไหวของสตรีที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเห็นชัดๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นร่างกายของเขาก็แข็งทื่อ
เขาเห็นน้ำตาสองสายไหลออกมาจากดวงตาของเฉินเสียนเมื่อเธอกะพริบตา อารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ท่าทีคับอกคับใจ เสียงร่ำไห้สะอึกสะอื้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นดูเหมือนสายน้ำที่ไหลริน มันเกิดขึ้นอย่างกะทันหันจนเขาตามไม่ทัน!
นับตั้งแต่วันที่เขาแต่งงานกับหลิ่วเหมยอู่ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉินหรูเหลียงเห็นเฉินเสียนหลั่งน้ำตากับตาของตัวเอง
เธอตัวสั่นเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างกลายเป็นเหมือนตาน้ำที่เสกน้ำตาออกมาได้อย่างง่ายดาย นี่ใช่ผู้หญิงหัวแข็งเลี้ยงไม่เชื่องคนเมื่อครู่จริงหรือ
ไม่เพียงแต่ฉินหรูเหลียงเท่านั้น แม้แต่บ่าวรับใช้ที่อยู่นอกโถงบุปผายังพากันตกตะลึง ผู้หญิงที่แกร่งดั่งเหล็กกล้าคนเมื่อครู่กลายเป็นผู้หญิงอ่อนแอเจ้าน้ำตา
แน่ใจหรือว่าทั้งสองคนเป็นคนคนเดียวกัน
หลังจากงงงันอยู่ครู่หนึ่งอวี้เยี่ยนก็เกิดติดเชื้อเจ้าน้ำตามาจากเฉินเสียนราวกับว่านางก็รู้สึกแบบเดียวกัน ดวงตาของนางแดงก่ำ น้ำตารินไหลลงมาเป็นสาย
ไม่รู้ว่าทำไม แม้ว่าองค์หญิงอาจจะแค่แสร้งทำ แต่นางกลับรู้สึกว่าพระองค์กำลังร้องไห้ราวกับไม่ได้เสแสร้ง!
อวี้เยี่ยนเป็นสาวใช้ที่ฉลาด เมื่อนึกถึงสถานการณ์เลวร้ายเมื่อครู่นางก็แอบหยิกต้นขาตัวเองและร้องไห้อย่างหนัก!
นางพูดพึมพำ “องค์หญิงอย่าทรงกันแสงเลยเพคะ… ทั้งหมดเป็นความผิดของบ่าว เป็นบ่าวเองที่ปกป้ององค์หญิงไม่ได้…”
เฉินเสียนขมวดคิ้ว แต่ในใจนึกชื่นชม แม่สาวน้อยผู้นี้มีอนาคต!
เฉินเสียนสะอื้นไห้พลางพูดว่า “ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง จึงทำให้ท่านแม่ทัพเกลียดข้าขนาดนี้”
คิดไม่ถึงว่าเสียงของเธอจะอ่อนนุ่มราวกับแมวน้อย ยิ่งเมื่อคลุกเคล้ากับเสียงสะอื้นก็ยิ่งแทงทะลุเข้าไปในหัวใจของผู้คนประหนึ่งกรงเล็บแมวที่ข่วนเข้ามาเบาๆ
ขันทีเห็นดังนั้นก็เริ่มรู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมา เขากล่าวว่า “องค์หญิงอย่าทรงกันแสงเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเห็นแล้วรู้สึกเหมือนหัวใจแทบจะแตกสลาย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดแม่ทัพฉินถึงใช้กริชจ่อพระศอองค์หญิงไว้อย่างนั้น ท่านแม่ทัพฉิน องค์หญิงเป็นสตรีผู้อ่อนแอ ถึงแม้พระองค์จะไม่เป็นที่รักของท่าน แต่ท่านก็ปฏิบัติต่อองค์หญิงเช่นนี้ไม่ได้ แล้วแบบนี้ข้าจะกลับไปทูลเสด็จได้อย่างไร องค์จักรพรรดิจะต้องกริ้วมากแน่ๆ”
ฉินหรูเหลียงปล่อยเฉินเสียนและก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สีหน้าของเขาเย็นชาและแข็งกระด้าง
เฉินเสียนเดินซวนเซไปสองก้าว อวี้เยี่ยนตาไวรีบปราดเข้าไปประคอง
แล้วเฉินเสียนก็เอ่ยอย่างเป็นกันเองว่า “ข้ายังนึกถึงเสด็จพี่เสมอ เพื่อช่วยให้จิ้งเสียนได้แสดงความซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของเสด็จพี่ ไม่คิดว่ากงกงจะมาเห็นเหตุการณ์วันนี้เข้า กงกงโปรดอย่ากราบทูลเสด็จพี่เลย ความจริงแล้วมันเป็นความผิดของจิ้งเสียนเองที่ทำให้ท่านแม่ทัพโกรธ”
ไม่ใช่ว่าเฉินเสียนจะยอมแพ้ไม่เป็น เธอยอมลดศักดิ์ศรีอันสูงส่งก้มหัวให้ผู้อื่นได้ แต่แค่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเธอว่าจะทำหรือไม่เท่านั้น
ยิ่งบอกให้กงกงไม่พูดเรื่องนี้ เกรงว่ากงกงกลับไปแล้วเรื่องจะยิ่งถึงหูจักรพรรดิเร็วขึ้น
อวี้เยี่ยนได้ยินดังนั้นจึงแสดงท่าทีโกรธเคือง “องค์หญิง ท่านแม่ทัพจ่อมีดที่พระศอของพระองค์นะเพคะ เหตุใดยังต้องออกรับแทนเขาอีก พระองค์ทรงอยู่ในความลุ่มหลง มันไม่คุ้มเลยนะเพคะ!”
กงกงมีสีหน้าเย็นชากว่าเดิม เอ่ยถามว่า “อวี้เยี่ยน เจ้าคือผู้ที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายองค์หญิง เจ้าจงเล่ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
อวี้เยี่ยนตอบอย่างเป็นธรรมชาติว่า “วันนี้นายหญิงหลิ่วตกลงไปในสระด้วยเหตุบางอย่าง สาวใช้ของนางยืนกรานว่าองค์หญิงเป็นคนผลักลงไป แต่วันนี้องค์หญิงของเราไม่ได้ออกมาจากเรือนเลยแม้แต่ก้าวเดียว พระองค์จะผลักนางตกลงไปได้อย่างไร! แต่ท่านแม่ทัพไม่เชื่อและต้องการจะลงโทษองค์หญิง ไม่สนใจสักนิดเลยว่าองค์หญิงที่น่าสงสารจะทรงพระครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว สั่งให้โบยองค์หญิงตั้งสามสิบทีเจ้าค่ะ!”
อวี้เยี่ยนร้องห่มร้องไห้ “กงกง องค์หญิงยังพอมีทางรอดใช่ไหมเจ้าคะ หากกงกงมาไม่ทัน ท่านแม่ทัพคงจัดการกับองค์หญิงด้วยตัวเองไปแล้ว!”
“มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นจริงๆ หรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็ยินดีจริงๆ ที่มาได้ทันเวลา” กงกงถอนหายใจ เขาสะบัดแส้หางจามรีและกล่าวว่า “วันนี้ข้าพเจ้าได้รับพระราชโองการจากองค์จักรพรรดิให้นำยาบำรุงกำลังจากวังมาให้องค์หญิงเพื่อบำรุงพระครรภ์ พระองค์กำลังรอคอยให้องค์หญิงประสูติอย่างปลอดภัย แต่ท่านแม่ทัพฉินกลับคิดจะลงมือกับองค์หญิงโดยไม่คำนึงเลยว่าองค์หญิงกำลังทรงพระครรภ์อยู่ ทำให้ข้าพเจ้าลำบากใจยิ่งนักในการทูลเรื่องนี้แก่องค์จักรพรรดิ”
โดยไม่รอให้ฉินหรูเหลียงออกปากพูด เฉินเสียนก็ยิ้มทั้งน้ำตาและกล่าวว่า “กงกง เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นความเข้าใจผิด เพราะได้ฟังคำพูดให้ร้ายของสาวใช้ต่ำช้า ท่านแม่ทัพจึงโกรธข้า คราวหน้าเขาจะไม่ทำเช่นนี้อีกเป็นแน่”
เฉินเสียนโยนบาปไปให้เซียงซั่นอย่างแนบเนียน
เมื่อมาถึงขั้นนี้กงกงก็ไม่พูดอะไรมาก เพียงแต่บอกว่า “ท่านแม่ทัพฉินต้องรับรองความปลอดภัยขององค์หญิง ต่อไปอย่าให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก ไม่อย่างนั้นหากองค์จักรพรรดิไม่ได้เห็นการประสูติ พระองค์จะต้องลงโทษแม่ทัพฉินเป็นแน่ ท่านเองก็ต้องปฏิบัติตนให้ดี”
เฉินเสียนกล่าวว่า “จิ้งเสียนขอบคุณกงกงล่วงหน้า”
จากนั้นกงกงก็หันไปมองเซียงซั่นที่อยู่บนกระดานแล้วพูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นแล้ว คิดไม่ถึงว่าสาวใช้ต่ำช้าผู้นี้จะกล้าใส่ร้ายองค์หญิง สมควรแล้วที่จะถูกโบย วันนี้ข้าพเจ้าขอเป็นคนตัดสินให้โบยนางสามสิบครั้ง ท่านแม่ทัพฉินมีข้อโต้แย้งใดๆ หรือไม่”
กงกงผู้นี้เป็นผู้ทรงอิทธิพลที่อยู่ข้างกายจักรพรรดิ ในเมื่อวันนี้เขามาเยี่ยมด้วยตัวเองถึงที่ทั้งยังนำสิ่งของมาส่งให้ นั่นหมายความว่าเป็นพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ
ฉินหรูเหลียงไม่มีทางเลือก จำต้องพูดไปว่า “ลงโทษนาง”
ดังนั้นบ่าวสองคนจึงก้าวไปข้างหน้าและใช้ไม้โบยลงไปที่ร่างของเซียงซั่นอย่างแรงเพราะไม่กล้าทำชุ่ยๆ เล่นละครตบตา เสียงกรีดร้องของเซียงซั่นดังมาถึงในโถงบุปผา นางจิกเล็บมือทั้งสองข้างกับแผ่นกระดานจนเล็บหัก
เมื่อเห็นว่าการลงโทษใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว กงกงจึงกลับออกไปพร้อมกับขันทีที่นำของมาส่ง
เฉินเสียนยืนอยู่ตรงประตูของโถงบุปผา เธอพูดกับบ่าวว่า “วันนี้พอแค่นี้ แยกย้ายได้แล้ว มีอะไรต้องทำก็ไปทำซะ ไม่เช่นนั้นเมื่อมีแขกมาเยือน เขาจะมาเห็นเรื่องอื้อฉาวภายในครอบครัวได้”
บ่าวรับใช้รีบพากันแยกย้ายไป
เฉินเสียนมีอวี้เยี่ยนคอยประคองอยู่ข้างๆ และรับรู้ได้ถึงแรงกดดันที่อยู่ด้านหลัง เธอหันกลับไปมองฉินหรูเหลียงและยกมือขึ้นปาดน้ำตาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความเยือกเย็นปรากฏขึ้นในแววตาของเธออีกครั้ง เธอเอ่ยเรียบๆ ว่า “ท่านแม่ทัพฉิน ตั้งแต่นี้ไปท่านไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับลูกในท้องของข้า ทางที่ดีท่านควรไปดูแลหลิ่วเหมยอู่ให้ดี ถ้าคิดจะลงมือกับท้องของข้าอีกเสด็จพี่จะกริ้ว แล้วนางจะไม่ได้อยู่ดีแน่ๆ”
“เฉินเสียน ท่านกำลังเสแสร้งอะไรอยู่” ฉินหรูเหลียงหรี่ตามอง “ข้าไม่คิดว่าท่านจะเล่นละครตบตาเช่นนี้”
เฉินเสียนยิ้มและพูดว่า “ขออภัยด้วย ข้าเพิ่งเปิดตัวการแสดงน่ะ แล้วก็ไม่ใช่แค่เสแสร้งธรรมดา แต่ข้ายังเล่นละครได้มากว่านี้อีก ฉินหรูเหลียง… วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นท่านก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการแตกแยกของครอบครัวได้ ท่านไม่ต้องการเด็กคนนี้ แต่บางคนต้องการเขา”
พูดจบเธอก็หันหลังและให้อวี้เยี่ยนประคองออกไป