ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 44 ทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลตอบแทน
เมื่อออกมาจากโถงบุปผาจึงเห็นว่าเซียงซั่นกำลังนอนคว่ำอยู่บนม้านั่งอย่างอ่อนแรง บนแผ่นหลังของนางมีคราบเลือดให้เห็นประปราย นางเงยหน้าและจ้องมองเฉินเสียนอย่างจงเกลียดจงชัง
เฉินเสียนหยุดและชายตามองนางก่อนจะพูดว่า “ไม่ต้องกังวล เจ้ายังตายไม่ได้ อย่ามองข้าแบบนั้น แล้วอีกไม่นานเจ้าจะต้องขอบคุณข้า”
ทันทีที่สิ้นเสียงเฉินเสียน ร่างของใครบางคนก็ถลันเข้ามาจากด้านนอก
ปรากฏว่าหลังจากฟื้นคืนสติหลิ่วเหมยอู่ก็รู้ว่าเซียงซั่นถูกลงโทษอยู่ที่โถงบุปผา ดังนั้นนางจึงฝืนลุกขึ้นและให้แม่เฒ่าพยุงมาที่นี่
ทันทีที่เห็นสภาพของเซียงซั่น นางก็แทบจะเป็นลมไปอีกครั้ง
ฉินหรูเหลียงเห็นดังนั้นจึงปัดแม่เฒ่าออกไปและดึงหลิ่วเหมยอู่เข้ามาไว้ในอ้อมกอด หลิ่วเหมยอู่เอนกายซบลงกับอกเขา นางร้องไห้ราวกับดอกสาลี่ที่ต้องหยาดฝน ทั้งซีดเซียวและเปราะบาง
ฉินหรูเหลียงสั่งให้แม่เฒ่าพาเซียงซั่นออกไป ในขณะที่ตัวเขาก็อุ้มหลิ่วเหมยอู่ขึ้นมาและออกไปจากที่นี่ด้วย
เมื่อไปถึงสวนดอกพุดตานหลิ่วเหมยอู่ก็ร้องไห้อย่างทุกข์ระทม “ทำไมกัน… เห็นได้ชัดว่าเซียงซั่นไม่ได้ทำอะไรผิด… ทำไมจึงต้องถูกลงโทษเช่นนี้…”
“อย่าร้องเลย” ฉินหรูเหลียงเช็ดน้ำตาให้นางอย่างอ่อนโยน “เซียงซั่นเป็นแค่สาวใช้ พักฟื้นแค่ไม่กี่วันเดี๋ยวก็หาย”
หลิ่วเหมยอู่กล่าวว่า “แม้ว่านางจะเป็นแค่สาวใช้ แต่เหมยอู่ก็รักนางดั่งพี่สาว ตอนนี้นางถูกลงโทษเพราะช่วยทวงความยุติธรรมให้เหมยอู่ เหมยอู่รู้สึกทุกข์ทรมานใจยิ่งนัก… เหมยอู่รู้ว่านางเป็นองค์หญิง แต่องค์หญิงก็ไม่มีสิทธิ์มาข่มเหงเหมยอู่เช่นนี้ ถ้าครั้งนี้ไม่มีคนไปพบเข้า เกรงว่าเหมยอู่คงจะไม่ได้เห็นหน้าท่านแม่ทัพอีก…”
ฉินหรูเหลียงโอบกอดหลิ่วเหมยอู่ไว้ เขาทั้งโกรธทั้งทุกข์ใจ
“ตั้งแต่เหมยอู่แต่งงานเข้ามาจนถึงตอนนี้ องค์หญิงยังไม่เคยทำดีกับเหมยอู่เลย…”
หลิ่วเหมยอู่ร้องไห้อยู่นาน ไม่ว่าฉินหรูเหลียงจะปลอบใจอย่างไรนางก็ยังไม่หยุดร้อง
ใจของฉินหรูเหลียงเองก็ร้อนเป็นฟืนเป็นไฟ เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อยและพูดไปว่า “อย่าร้องไห้เลยเหมยอู่ วันนี้มีคนจากพระราชวังมาที่นี่ คนที่ต้องการปกป้องนางไม่ใช่ข้า แต่เป็นจักรพรรดิ”
หลิ่วเหมยอู่ชะงัก
ฉินหรูเหลียงยังกล่าวอีกว่า “ในภายภาคหน้าหากมีโอกาส ข้าจะต้องทวงความยุติธรรมให้เจ้าแน่นอน แต่ต่อจากนี้ไปเจ้าต้องอยู่ให้ห่างจากนางเข้าไว้และอย่าแตะต้องเด็กในท้องของนางเป็นอันขาด มิฉะนั้นเจ้าเองก็พบกับความหายนะเช่นกัน เจ้าเข้าใจใช่ไหม”
น้ำตาที่เอ่อคลออยู่ในดวงตาของหลิ่วเหมยอู่วูบไหว
สีหน้าของฉินหรูเหลียงผ่อนคลายลง เขาค่อยๆ อธิบายว่า “ไม่ใช่ว่าข้าต้องการเก็บเด็กคนนั้นไว้ แต่จักรพรรดิต้องการเห็นเด็กคลอดออกมาอย่างปลอดภัย พระองค์ทรงเตือนข้าครั้งหนึ่งแล้วเมื่อเช้านี้”
หลิ่วเหมยอู่หน้าซีด นางรีบพยักหน้าและกล่าวว่า “เจ้าค่ะๆ เหมยอู่จะเชื่อฟังท่านแม่ทัพทุกอย่าง เหมยอู่ไม่ต้องการให้ท่านแม่ทัพถูกองค์จักรพรรดิตัดสินโทษ และเหมยอู่ก็ไม่ต้องการออกไปจากจวนแม่ทัพด้วย…” ถ้าหากจักรพรรดิรู้ความลับของนาง นางก็คงจะถึงคราตายเข้าจริงๆ
ฉินหรูเหลียงกอดหลิ่วเหมยอู่อีกครั้งอย่างชื่นใจ เขาลูบผมของเธอและพูดว่า “เหมยอู่ เจ้าเชื่อข้าไหมว่าชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่มีทางเข้าไปพัวพันกับเฉินเสียน ในอนาคต ข้างกายของข้าจะมีแต่เจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
เมื่อได้ยินฉินหรูเหลียงพูดเช่นนี้ หลิ่วเหมยอู่จึงรู้สึกมีความสุขและหวามหวานในหัวใจอย่างสุดซึ้ง ไม่ว่าเฉินเสียนจะพยายามแค่ไหนเธอก็ไม่มีทางได้รับความรักจากฉินหรูเหลียง
ฉินหรูเหลียงรักนางเพียงคนเดียวเท่านั้น
เพียงแต่หลิ่วเหมยอู่คิดไม่ถึงว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ฉินหรูเหลียงจะเป็นฝ่ายฝ่าฝืนคำมั่นสัญญาด้วยตัวของเขาเอง
เมื่อกลับมาถึงสวนสระวสันตฤดูได้ครู่หนึ่ง พ่อบ้านก็นำของจากในวังมาส่งให้ที่สวนสระวสันตฤดูหลังจากจดและตรวจดูรายการของเรียบร้อยแล้ว
นี่เป็นของขวัญที่จักรพรรดิประทานมาให้ แม้ฉินหรูเหลียงจะลำเอียงไปทางหลิ่วเหมยอู่ แต่เขาก็ฮุบของเหล่านี้ไปจากเฉินเสียนไม่ได้
นอกจากอาหารบำรุงแล้ว ทางวังยังส่งผ้าแพรพรรณและเครื่องประดับมาด้วย ทั้งหมดเป็นของที่ทำขึ้นเองอย่างประณีตงดงามและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
เฉินเสียนให้อวี้เยี่ยนนำผ้าไปตัดชุดใหม่สำหรับพวกเธอทั้งสามคนที่อยู่ในเรือนนี้
แม่บ้านจ้าวตามเธอไปและบ่นว่า “คราวหลังถ้าองค์หญิงจะเสด็จไปไหนอีกต้องบอกบ่าวด้วยนะเพคะ ถ้าเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีกบ่าวเองจะได้หาวิธีโต้ตอบได้ บ่าวจำเป็นต้องพูดเช่นนี้อีกเพราะองค์หญิงก็ทราบดีว่าท่านแม่ทัพโปรดปรานนายหญิงน้อยมาก หากเกิดอุบัติเหตุไม่คาดคิดขึ้นกับนางอีก ท่านแม่ทัพจะต้องโกรธเคืององค์หญิงอีกเป็นแน่ อีกไม่กี่เดือนก็จะประสูติแล้ว บ่าวไม่ขออะไรเลยนอกจากความสงบ…”
เฉินเสียนเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ พาดขาทั้งสองข้างเข้าหากันในท่าทีสบายๆ จากนั้นจึงหลับตาลงท่ามกลางเสียงบ่นจู้จี้ของแม่บ้านจ้าว
เมื่อตื่นขึ้นมาอีกทีก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
อากาศแจ่มใสและสายลมอ่อนๆ ในตอนกลางวันกลายเป็นแสงตะวันรอนในยามพลบค่ำที่ทอดยาวออกไปเป็นพันๆ ลี้ ฉาบตัวบ้านทุกหลังให้กลายเป็นสีทองอร่าม
“องค์หญิง รีบมาเสวยอาหารเย็นเถอะเพคะ” อวี้เยี่ยนเข้ามาเรียกหลังจากจัดสำรับเรียบร้อยแล้ว
เฉินเสียนกินข้าวได้มากกว่าปกติในคืนนี้อีกทั้งยังขอให้อวี้เยี่ยนตักข้าวให้เพิ่ม
อวี้เยี่ยนเอ่ยอย่างกังวลว่า “องค์หญิงเสวยมากขนาดนี้ ถ้าคืนนี้อาหารไม่ย่อยจะทำอย่างไรเพคะ เสวยให้น้อยลงเถอะเพคะ ถ้าอีกสักพักยังหิว บ่าวจะไปนำของว่างมื้อค่ำมาให้”
เฉินเสียนเอ่ยออกมาด้วยคำพูดที่ยากจะเข้าใจว่า “อีกสักครู่ข้าจะออกไปยืดเส้นยืดสาย เป็นธรรมดาที่จะต้องกินข้าวเพิ่มอีกสักถ้วยสองถ้วย”
“ยืดเส้นยืดสายอะไรหรือเพคะ” อวี้เยี่ยนถาม
หลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง อวี้เยี่ยนรู้สึกงงงันเมื่อเห็นเฉินเสียนกำลังเตรียมกระสอบกับเชือกรวมถึงกระบองท่อนหนึ่ง
เมื่อได้เวลา เฉินเสียนก็พาอวี้เยี่ยนไปนั่งหลบอยู่ที่พงหญ้าตรงทางเข้าออกเพียงทางเดียวของสวนดอกพุดตาน ถึงตอนนี้อวี้เยี่ยนก็ตระหนักได้ทันทีว่าองค์หญิงกำลังจะก่อเรื่อง!
อวี้เยี่ยนพูดอย่างเห็นห่วงว่า “เรากลับกันเถอะเพคะองค์หญิง ที่นี่อันตรายเกินไป”
ต้องเข้าใจว่าฉินหรูเหลียงมักจะผ่านมาทางนี้เสมอเพื่อเข้าไปที่สวนดอกพุดตาน ถ้าเขาจับได้และพบเครื่องมือก่ออาชญากรรมเช่นนี้ละก็ ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำฮวงโหก็ช่วยกลบเกลื่อนอะไรไม่ได้
เพียงแต่ว่าเป้าหมายของเฉินเสียนไม่ใช่หลิ่วเหมยอู่ แต่เป็นสาวใช้ที่เพิ่งได้เลื่อนขั้นไปรับใช้อยู่ข้างกายหลิ่วเหมยอู่ต่างหาก
สาวใช้ผู้นี้ชื่ออวิ๋นเอ๋อร์ นางไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่ขังอวี้เยี่ยนไว้ในห้องยาเมื่อเช้านี้ อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ส่งเสียงขึ้นมาอย่างพลการตอนอยู่ที่โถงบุปผา
ในจวนแห่งนี้มีสาวใช้มากมายที่อยากประจบประแจงเจ้านายเพื่อจะได้ไปเป็นผู้รับใช้ข้างกาย และอวิ๋นเอ๋อร์ผู้นี้ก็กล้าหาญพอและเข้ามาได้จังหวะพอดี
วันนี้เซียงซั่นถูกโบยไปถึงสามสิบครั้ง แค่จะยืนยังยืนไม่ไหว จะเอาแรงที่ไหนกลับไปปรนนิบัติดูแลหลิ่วเหมยอู่ นางกลับไปพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บที่เรือนคนใช้ หลิ่วเหมยอู่ที่ไม่มีสาวใช้ข้างกายจึงสั่งให้อวิ๋นเอ๋อร์มาเป็นผู้ดูแล
เฉินเสียนตบยุงจนตายและเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ใครทำอะไรไว้ก็ต้องได้รับผลตอบแทน อย่ากลัวที่จะจัดการกับคนแบบนั้นอวี้เยี่ยน ถ้าเกิดอะไรขึ้นองค์หญิงอย่างข้าจะรับผิดชอบแทนเจ้าเอง”
อวี้เยี่ยนทั้งรู้สึกอบอุ่นและเป็นกังวลไปพร้อมๆ กัน นางเม้มปากพลางสะบัดแขนเสื้อเพื่อไหล่ยุงให้เฉินเสียน “องค์หญิง มันไม่คุ้มเลยนะเพคะที่ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้เพื่อสาวใช้เพียงคนเดียว! เดี๋ยวพรุ่งนี้บ่าวค่อยไปจัดการนางก็ได้เพคะ”
“ไม่ต้องกลัว วันนี้องค์หญิงอย่างข้ามีเวลาเหลือเฟือ”
แสงไฟในสวนดอกพุดตานยังคงสว่างไสว
ไม่นานทั้งคู่ก็เห็นร่างสูงโปร่งของใครคนหนึ่งมุ่งตรงไปยังสวนดอกพุดตานผ่านเส้นทางเล็กๆ นั้น แค่เห็นนิสัยเจ้าชู้นั่นก็รู้แล้วว่าคือฉินหรูเหลียง
นายบ่าวทั้งสองกลั้นหายใจและไม่ขยับเขยื้อน ซ่อนตัวอยู่ในพงหญ้าและเฝ้ามองฉินหรูเหลียงเดินผ่านไปเงียบๆ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูใกล้ๆ เฉินเสียนก็แทบอดใจไม่ไหวที่จะพุ่งออกไป เอากระสอบคลุมหัวเจ้าสุนัขฉินผู้นี้ไว้แล้วทุบเขาให้น่วมด้วยไม้กระบอง!
อวี้เยี่ยนกดกระบองในมือของเธอไว้… องค์หญิง อย่าหุนหันพลันแล่น! เงียบๆ ไว้!
เฉินเสียนถูกยับยั้งเอาไว้และเฝ้าดูฉินหรูเหลียงเดินเข้าไปในสวนดอกพุดตาน ตอนนี้เขายังไม่ใช่เป้าหมายของเธอ
หลังจากฉินหรูเหลียงเข้าไปได้ไม่นาน ทั้งคู่ก็เห็นอวิ๋นเอ๋อร์เดินออกมา