ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 45 ทำได้ดีมาก
ขณะที่สุนัขฉินและไก่หลิ่วกำลังพลอดรักกันจะไม่มีสาวใช้อยู่เป็นก้างขวางคอ และก่อนนอนหลิ่วเหมยอู่ยังต้องกินยาอีกครั้ง ดังนั้นตอนนี้อวิ๋นเอ๋อร์จึงออกมาจากสวนดอกพุดตานเพื่อนำยาไปให้หลิ่วเหมยอู่
หลังจากดูลาดเลาแล้ว เฉินเสียนก็ลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆ เธอปัดเศษหญ้าที่กระโปรงก่อนจะก้าวออกมาจากพงหญ้าและปรากฏกายที่ด้านหลังอวิ๋นเอ๋อร์
ขณะนั้นอวิ๋นเอ๋อร์ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจากทางด้านหลังและสังเกตเห็นใครบางคน นางหันกลับไปมองด้วยความตื่นตระหนก
แต่ยังไม่ทันที่นางจะเห็นว่าเป็นใคร เฉินเสียนก็ฟาดกระบองในมือลงที่ศีรษะของอวิ๋นเอ๋อร์จนนางสลบไปทันที
เธอเคลื่อนไหวอย่างแคล่วคล่องว่องไวปานสายฟ้าจนอวี้เยี่ยนที่อยู่ข้างกายถึงกับตะลึงงัน
เฉินเสียนหยิบกระสอบออกมาและใส่ร่างของอวิ๋นเอ๋อร์ไว้ในนั้น จากนั้นก็ลากกระสอบเดินออกไปอย่างสบายๆ ราวกับกำลังลากสิ่งของ เธอส่งกระบองในมือให้อวี้เยี่ยนถือไว้พลางพูดโดยที่ไม่หันกลับไปมองว่า “อวี้เยี่ยน เข้ามาใกล้ๆ หน่อย อีกสักพักถ้านางฟื้น เจ้าช่วยตีนางให้สลบไปอีกทีนะ เข้าใจไหม”
อวี้เยี่ยนกอดท่อนไม้ไว้แน่นและพยักหน้าอย่างงงงัน “เข้าใจ เข้าใจเพคะ”
เด็กสาวตัวน้อยเดินตามองค์หญิงของนางต้อยๆ ทันใดนั้นก็รู้สึกขึ้นมาว่าเบื้องหลังขององค์หญิงของตนนั้นช่างสูงส่งนัก และมันทำให้นางรู้สึกปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก
แถมองค์หญิงยังลากอวิ๋นเอ๋อร์ไปด้วยมือเพียงข้างเดียว ช่างทรงพลังไม่ต่างจากวัว!
หลังจากเดินไปสักพัก เฉินเสียนก็สลับเป็นมืออีกข้าง
อวี้เยี่ยนเห็นดังนั้นจึงรีบเดินมาข้างหน้าและกล่าวว่า “องค์หญิงพักเถอะเพคะ ให้บ่าวทำแทนเอง ถ้าออกแรงมากแล้วเกิดเจ็บครรภ์ขึ้นมาจะทำอย่างไรเพคะ”
เฉินเสียนหยุดเดินและหันไปมองอวี้เยี่ยนด้วยสีหน้าขบขัน รอยแผลเป็นบนใบหน้าของเธอมองเห็นไม่ค่อยชัดนักในยามค่ำคืน ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยแสงจันทร์นวลผ่องสะอาดตา สายลมยามค่ำพัดพาชายกระโปรงของเธอให้พลิ้วไหว รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปาก ดูอ่อนโยนและงดงามยิ่งนัก
อวี้เยี่ยนถึงกับเหม่อลอยเมื่อได้เห็น องค์หญิงงดงามขนาดนี้ บนโลกนี้ยังจะมีชายหนุ่มที่ไม่ชอบพระองค์ได้อย่างไรกัน พวกนั้นต้องตาบอดไปแล้วแน่ๆ
เฉินเสียนเลิกคิ้วเมื่อเห็นนางนิ่งงันไป “ยืนนิ่งทำอะไรอยู่ ไม่ได้จะมาทำแทนข้ารึ”
อวี้เยี่ยนได้สติกลับมาอีกครั้ง นางรับกระสอบจากมือเฉินเสียนด้วยความฮึกเหิม จากนั้นจึงออกแรงลากไปข้างหน้า
ปรากฏว่านางเป็นเพียงกระทิงตัวน้อยที่ดื้อดึงจะลากคันไถไปข้างหน้า เมื่อเดินไปได้พักหนึ่งนางก็หายใจหอบอย่างอ่อนแรง เมื่อหันกลับไปมองจึงเห็นว่าเฉินเสียนยืนอยู่ห่างจากจุดเมื่อครู่ไปเพียงไม่กี่ก้าว
เฉินเสียนเดินเข้ามารับช่วงและกล่าวว่า “อวี้เยี่ยน แค่นี้ก็หมดแรงแล้วหรือนี่”
อวี้เยี่ยนหัวเราะขื่นๆ และกล่าวว่า “บ่าวเทียบองค์หญิงไม่ได้หรอกเพคะ บ่าวไม่ได้ฝึกฝนพิเศษแบบองค์หญิง”
“หืม?” เฉินเสียนถามว่า “ข้าเคยฝึกพิเศษด้วยงั้นหรือ”
อวี้เยี่ยนชะงัก รู้สึกเหมือนตัวเองพูดอะไรผิดไป
“ใครฝึกให้ข้า” เมื่อเห็นนางเงียบไปเฉินเสียนจึงถามต่อ
“เอ่อ ก็แค่เมื่อก่อนเพคะ ตอนที่พระราชบิดาขององค์หญิงยังมีชีวิตอยู่ ท่านเชิญคนมาสอนองค์หญิง” อวี้เยี่ยนกลัวเฉินเสียนจะถามอะไรอีกจึงกล่าวต่อไปว่า “องค์หญิง เรื่องในอดีตเมื่อจำไม่ได้ก็อย่าไปนึกถึงเลยเพคะ มันไม่ใช่ความทรงจำที่แสนสุขอะไรเลย”
ลึกๆ แล้วอวี้เยี่ยนไม่ต้องการกระตุ้นให้เฉินเสียนนึกถึงเรื่องในอดีต นางคิดว่าแค่ได้ใช้ชีวิตเช่นนี้ต่อไปมันก็ดีมากอยู่แล้ว
แค่เพียงนึกถึงก็รู้สึกทันทีว่าคนเรานั้นเปลี่ยนไปได้แค่ไหน
ในอดีตเฉินเสียนเคยเก็บอะไรหลายอย่างไว้ในใจ ไม่มีวันไหนเลยที่เธอจะผ่านวันคืนเหล่านั้นมาได้อย่างสบายใจ ถ้าเธอจำได้ว่าพระราชบิดากับพระราชมารดาสวรรคตอย่างทรมานเพียงใดในพระราชวังนั่น อวี้เยี่ยนกังวลว่าองค์หญิงจะกลายเป็นเหมือนเมื่อก่อนอีก ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงความจริงอันโหดร้ายเหล่านั้นนางจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เฉินเสียนอยากจะถามต่อว่าคนที่ฝึกสอนเธอเป็นคนแบบไหน แต่อยู่ๆ อวิ๋นเอ๋อร์ก็ฟื้นขึ้นมาขัดจังหวะพอดี
อวิ๋นเอ๋อร์ดิ้นรนอยู่ในกระสอบอย่างทุลักทุเล
เฉินเสียนขยิบตาให้ตาอวี้เยี่ยนหนึ่งที ตอนแรกอวี้เยี่ยนขลาดกลัวเล็กน้อย แต่นางจะปล่อยให้อวิ๋นเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาไม่ได้ คนอื่นๆ อาจจะรู้ตัวได้ถ้าอวิ๋นเอ๋อร์ร้องโวยวายขึ้นมา เมื่อนางนึกถึงคราวที่อวิ๋นเอ๋อร์ขังนางไว้ในห้องยาโดยปราศจากความช่วยเหลือ อวี้เยี่ยนก็ขจัดความว้าวุ่นใจออกไป ตอนนี้มีองค์หญิงอยู่ทั้งคน นางจะต้องกลัวอะไรอีก!
ดังนั้นอวี้เยี่ยนจึงกัดฟัน ยกกระบองขึ้นพลางหลับตาและเหวี่ยงแขนฟาดลงบนกระสอบ
หลังจากฟาดไปสองครั้ง อวิ๋นเอ๋อร์ที่อยู่ข้างในก็ส่งเสียงร้องอู้อี้ออกมา จากนั้นเสียงก็เงียบหายไป
เฉินเสียนยกนิ้วให้อวี้เยี่ยนและกล่าวว่า “ทำได้ดีมาก”
รู้ตัวอีกทีอวี้เยี่ยนก็พบว่ามือของนางสั่นระริก นางเคยทำเรื่องแบบนี้เสียที่ไหนกันล่ะ
จากนั้นเฉินเสียนก็ลากอวิ๋นเอ๋อร์ไปที่ลานด้านข้าง เธอได้ยินมาว่าที่นั่นมีโรงม้าสำหรับเลี้ยงม้าอยู่ ระหว่างทางอวิ๋นเอ๋อร์ได้สติขึ้นมาอีกสองครั้ง เมื่อมีครั้งที่หนึ่งก็ย่อมมีครั้งที่สอง อวี้เยี่ยนเคยทุบนางไปแล้วถึงสองครั้งจึงเริ่มชินมือ คราวนี้นางตีโดยไม่ต้องหลับตาและมือก็ไม่สั่นอีกแล้ว
พวกเธอเข้ามาในโรงม้า โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ในนั้น
หลังจากให้หญ้าม้าตอนเย็นเป็นมื้อสุดท้ายเรียบร้อย บ่าวที่ดูแลม้าก็กลับไปพักผ่อนและจะไม่กลับมาอีกจนกว่าจะรุ่งสาง
เฉินเสียนเอามือบีบจมูก “กลิ่นช่างเหม็นเปรี้ยวแสบจมูกจริงๆ”
แค่ปล่อยให้อวิ๋นเอ๋อร์อยู่ที่นี่ทั้งคืนก็เพียงพอแล้วสำหรับนาง แต่เฉินเสียนกลับตีหัวนางจนสลบแล้วลากมาที่นี่ เธอล้อนางเล่นหรืออย่างไร?
เห็นได้ชัดว่าไม่
เฉินเสียนลากอวิ๋นเอ๋อร์มาโยนลงไปตรงกลางผ้าป่านที่ใส่อาหารม้า จากนั้นจึงยกขาเตะนางไปหนึ่งที
อวิ๋นเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาด้วยความงุนงง นางร้องครวญครางอย่างเจ็บปวด จำได้ว่าตัวเองถูกลากมาตลอดทางทั้งยังถูกทุบด้วยท่อนไม้อีกหลายต่อหลายครั้งจนปวดแสบปวดร้อนไปทั้งตัว
อวิ๋นเอ๋อร์ตอบสนองอย่างรวดเร็ว นางพยายามตะเกียกตะกายออกมาจากกระสอบ แต่เฉินเสียนมัดกระสอบนั้นด้วยเชือกอย่างแน่นหนา การเปิดจากด้านในจึงเป็นอะไรที่ยากยิ่งขึ้นไปอีก
“พวกเจ้าเป็นใครกัน คิดจะทำอะไรข้า!” อวิ๋นเอ๋อร์ร้องถาม ทั้งหวาดกลัวทั้งโมโหในเวลาเดียวกัน “ยังไม่ปล่อยข้าออกไปอีก!”
เมื่ออยู่ในโรงม้าแห่งนี้ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครได้ยิน
อวี้เยี่ยนรู้สึกโล่งใจเพราะได้ระบายความโกรธออกมา เมื่อตอนกลางวันนางลำบากมากตอนที่ถูกขังอยู่ในห้องยา เรียกฟ้าฟ้าไม่ตอบ เรียกดินดินไม่ขาน
ตอนนี้นางจะทำให้อวิ๋นเอ๋อร์ได้ลิ้มรสความรู้สึกนั้นบ้าง เพียงแต่สภาพแวดล้อมในโรงม้านั้นเลวร้ายกว่าในห้องยาอยู่มากโข
เฉินเสียนกล่าวเรียบๆ ว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าอาศัยบารมีของนายเที่ยวรังแกผู้อื่น ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ทุกคนในจวนต่างไม่มีใครอยากเห็นหน้าเจ้า ดังนั้นเพื่อสิ่งที่ทุกคนเรียกร้อง ข้าเลยคิดว่าจำเป็นจะต้องลงโทษเจ้าเสียหน่อย”
อวิ๋นเอ๋อร์ตอบเสียงแหลมกลับมาว่า “เหลวไหล! ข้าเป็นสาวใช้ข้างกายนายหญิง ใครจะกล้า! ทางที่ดีเจ้าควรจะปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นถ้าเรื่องนี้รู้ถึงหูนายหญิงละก็ พวกเจ้าจะได้เห็นดี!”
เฉินเสียนยักไหล่และตอบว่า “ถ้าเช่นนั้นก็รอจนกว่านางจะรู้ก็แล้วกัน ตอนนี้นางยังเอาตัวเองไม่รอด แม้แต่เซียงซั่นนางยังปกป้องไม่ได้ เจ้าคิดว่านางจะปกป้องเจ้าได้งั้นหรือ”
พูดจบเฉินเสียนก็หันหลังเดินจากไป อวิ๋นเอ๋อร์ตะโกนสาปแช่งไล่หลังไม่หยุด ถึงขั้นด่าลามไปถึงบรรพบุรุษของเฉินเสียน
อวี้เยี่ยนที่เดินตามหลังไปหันกลับมาฟาดกระบองใส่อวิ๋นเอ๋อร์อีกสองสามครั้ง อวิ๋นเอ๋อร์ร้องอู้อี้เบาๆ แล้วก็เงียบไป
เฉินเสียนหันไปมองอวี้เยี่ยน ได้ยินนางพูดว่า “โอ๊ย นังนี่ โวยวายอะไรนักหนา”
เฉินเสียน “…”
อวี้เยี่ยนเงยหน้าขึ้น สองนายบ่าวหันมามองหน้ากัน
หลังจากนั้นอวี้เยี่ยนก็ทำปากขมุบขมิบและกล่าวว่า “องค์หญิง ปกติบ่าวไม่ได้หยาบคายนะเพคะ คราวนี้นางด่าเกินขอบเขตไปจริงๆ”
เมื่อเห็นว่าองค์หญิงไม่พูดอะไร อวี้เยี่ยนจึงเตรียมตัวยอมรับความผิด แต่เฉินเสียนกลับยื่นแขนของเธอมาเกี่ยวไว้รอบคอของนาง จนอวี้เยี่ยนต้องเดินโซเซตามเธอไป
นายบ่าวเดินกอดคอกันออกจากโรงม้า
เฉินเสียนยักคิ้วพร้อมส่งรอยยิ้ม เธอกล่าวว่า “อวี้เยี่ยน เจ้านี่เยี่ยมสุดๆ รู้สึกไหมว่าการทำตัวเป็นคนดีบ้างเลวบ้างมันรู้สึกดีกว่าการทำตัวให้ขาวบริสุทธิ์เป็นไหนๆ”
“อื้ม บ่าวรู้สึกดีมากเลยเพคะ”
“และการเป็นคนที่เห็นคุณค่าในตัวเองก็ยิ่งดีไปกว่าการเป็นคนดีบ้างเลวบ้างอีกนะ” เฉินเสียนสอน “ต่อไปเจ้าต้องใช้ชีวิตอย่างเห็นค่าในตัวเอง องค์หญิงอย่างข้าไม่มีกฎเกณฑ์อะไรจุกจิกนักหรอก
ใครด่ามาเจ้าอย่าด่าตอบ แต่จงตบปากนางซะ ใครกัดมาอย่ากัดตอบ แต่ต้องทุบนางให้ฟันหลุด
ส่วนใครที่กล้ามาทำร้ายเจ้า เจ้าจะยอมไม่ได้ ต้องเอาคืนกลับไปเป็นสองเท่า ถ้าเจ้าเอาชนะไม่ได้ องค์หญิงคนนี้แหละจะเป็นคนช่วยเจ้าเอง”