ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 46 แท้จริงแล้วเจ้าเป็นแบบไหนกันแน่
หัวใจของอวี้เยี่ยนอบอุ่นเป็นอย่างมากจนเธอไม่สามารถอดกลิ้นน้ำตาไว้ได้ เธอพูดพร้อมกับน้ำตาก็ไหลรินลงมาจากดวงตา “แม้ว่าจะไม่เหมาะสมนักที่จะเอ่ย แต่ตั้งแต่ที่องค์หญิงกลายเป็นคนฉลาด บ่าวก็รู้สึกเหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันกับองค์หญิง…หลังจากนี้บ่าวจะต้องปกป้องครอบครัวตัวเองให้ดีเพคะ!”
เฉินเสียนไม่รู้จะขำหรือร้องไห้ดี “ก่อนหน้านี้ข้าเขลาขนาดนั้นเลยรึ?”
อวี้เยี่ยนส่ายหัวและพูดว่า “แท้จริงแล้วองค์หญิงไม่ได้เขลา องค์หญิงรู้ดีอยู่แก่ใจเพคะ แต่พวกเขาทั้งหมดชอบกล่าวหาว่าองค์หญิงโง่เขลา…”
เดินไปครึ่งทางเฉินเสียนได้ยินเสียงท้องของอวี้เยี่ยนคำราม
รอยยิ้มอันอบอุ่นผุดขึ้นระหว่างคิ้วของเฉินเสียนและพูดว่า “เจ้าหิวแล้วรึ?”
อวี้เยี่ยนจับท้องและพูดอย่างละอาย “องค์หญิงฟังผิดแล้วเพคะ เป็นเสียงจิ้งหรีดข้างถนนเพคะ”
“มีจิ้งหรีดที่ไหนกันเล่า? จิ้งหรีดจะเข้าไปในท้องเจ้าได้อย่างไร? มาเถอะ ให้องค์หญิงฟัง”
“อย่าเพคะองค์หญิง!”
นายและบ่าวกำลังไล่ตามกันอย่างเพลิดเพลินใจภายใต้แสงบุหลันดวงกลม อวี้เยี่ยนต้องระวังไม่ให้เฉินเสียนวิ่งเร็วเกินไป และต้องไม่ถูกเธอจับท้องได้ วิ่งๆหยุดๆเหมือนหมู่ผีเสื้อที่กำลังบินวนไปมา
ใกล้จะเข้าคิมหันตฤดูแล้ว และในยามราตรีกาลที่ควรจะหนาวดั่งน้ำที่เย็นเยียบ แต่กลับไม่รู้สึกหนาวเลย ค่อยๆมีน้ำค้างไหลลงหยดและส่องประกายแสงอยู่ที่ยอดใบหญ้าสีเขียวขจี
ปลายกระโปรงที่กวาดพื้นหญ้าริมทางไปด้วย ที่ให้เปียกเล็กน้อย
หลิ่วเหมยอู่ยังคงไม่ได้ดื่มยาของช่วงค่ำ เพราะอวิ๋นเอ๋อร์ถูกกั้นขวางไว้ระหว่างทาง ฉินหรูเหลียงรอเป็นเวลานานก็ยังไม่เห็นเงาใครมาส่งยาที่สวนดอกพุดตาน
ดังนั้นฉินหรูเหลียงจึงออกมาจากสวนดอกพุดตาน และไปที่ห้องครัวเพื่อรับยาด้วยตนเอง
เขาคิดไม่ถึงว่าเขาจะได้พบกับเฉินเสียนและอวี้เยี่ยนในคืนนี้ทั้งสองคน ที่กำลังไปที่ห้องครัวด้วย
เมื่อเจ้านายและบ่าวหยุดจากการหยอกล้อกัน พวกเธอจึงตัดสินใจไปที่ครัวเพื่อทำอาหารมื้อค่ำ
ฉินหรูเหลียงยังอยู่บนถนนสายนี้ เขาเห็นสตรีสองนางอยู่บนถนนอีกสายหนึ่งภายใต้แสงจันทร์ที่พร่ามัว
เขาหยุดเท้าทันที ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมโดยไม่รู้ตัวเป็นครั้งแรก เงาของต้นไม้พาดตรงหน้าเขาพอดิบพอดีที่จะอำพรางร่างของเขา ทำให้คนอื่นสังเกตเห็นได้ยาก
เฉินเสียนสวมชุดกระโปรงคอกลมแขนยาวทรงสูงคอตั้งซึ่งปิดคอเธอแน่น ต่างจากหลิ่วเหมยอู่ที่ต้องการอวดคอที่สง่างามหรือเผยให้เห็นกระดูกไหปลาร้าที่เรียบเนียน แต่เสื้อผ้าแบบนี้มองนานๆ ทีก็สวยสะดุดตา
ความสนใจของคนมองจะไม่อยู่ที่คอหรือกระดูกไหปลาร้าของเธอ และก็จะไม่ต้องตามดูกระดูกไหปลาร้าของเธอเพื่อพยายามมองอะไรต่อมิอะไร
เสื้อคลุมของเฉินเสียนหลวมมาก ไม่รัดเอว และไม่จงใจอวดหุ่น แต่ร่างสวยนั้นก็ยังสามารถเผยรูปร่างที่สวยงามออกมาอยู่ดี
เสื้อคลุมไม่สามารถปกปิดท้องของเธอได้ทั้งหมด ท้องของเธอนูนขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงภายใต้แสงจันทร์สีขาวนวล เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ชวรสิเน่หา
ในเวลานั้นฉินหรูเหลียงมองไม่เห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเธอ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นเฉินเสียนยิ้มอย่างจริงใจต่อบุคคลหนึ่ง ตอนไล่ตามอวี้เยี่ยนรอยยิ้มของเธอแตกต่างจากรอยยิ้มปกติซึ่งไม่ใช่ยิ้มเสแสร้ง แต่มันเป็นรอยยิ้มอบอุ่นเปล่งปลั่งไปทั้งตัว ไม่มีสิ่งเจือปนและมลทินใดๆ
ผู้หญิงคนนี้ในสายตาเขา ได้ลอกคราบที่โหดเหี้ยมและไร้ที่ติออกไป และในตอนกลางวันเธอก็ไม่ได้เสแสร้ง เธออ่อนโยนและใจดีเหมือนผู้หญิงธรรมดาๆ แต่เธอไม่เคยเป็นผู้หญิงธรรมดาเลย
การแสดงออกที่หลากหลายเช่นนี้ แล้วแบบใดกัน ที่เป็นเฉินเสียนจริงๆ?
เฉินเสียนเท้าเอวหอบหายใจ ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยแววตาที่เย้าหยอก เธอเอ่ยกับที่อวี้เยี่ยนที่บินโฉบไปมาอยู่ข้างหน้าเธอ “โอ้ย ข้าเจ็บท้อง!”
อวี้เยี่ยนตกใจและวิ่งกลับอย่างรวดเร็วเพื่อช่วยเธอ “องค์หญิง ลูกเตะหรือเปล่าเพคะ? บ่าวจะไม่วิ่งหนีแล้ว หยุดพักเสียก่อนเถอะเพคะ”
เฉินเสียนคว้าอวี้เยี่ยนด้วยรอยยิ้มตาหยี และเริ่มสะกิดท้องของเธอ ทำให้อวี้เยี่ยนหัวเราะหนักมากจนแทบจะขาดใจตาย
ลมพัดโชยผ่านผมข้างหูของเฉินเสียน เธอยืนตัวตรง เกี่ยวผมไปข้างหลังใบหูของเธอ
ฉินหรูเหลียงเหล่ตาของเขา ตัวเขาในตอนนี้ไม่ได้สังเกตตัวเองเลยว่า ใบหน้าของเขาค่อย ๆ คลายลงและมุมปากของเขาโค้งขึ้นราวกับว่าพวกเขาแพร่เชื้อความสุขมาให้
เมื่อเขากลับมารู้สึกตัว เขาก็รีบดึงมุมปาก และเกิดความรู้สึกหงุดหงิดในใจ
ให้ตายสิ เขาคงสับสนกับผู้หญิงคนนี้!
เขายังไม่ลืมว่าผู้หญิงคนนี้เคยรังแกเหมยอู่มากแค่ไหนมาก่อน!
เมื่อคิดเช่นนี้ฉินหรูเหลียงก็ดึงสติกลับมาและเมื่อเขามองไปที่เฉินเสียนอีกครั้ง แววตาที่ชิงชังก็ฉายแววขึ้นอีกครั้งในดวงตาของเขา
ในอีกด้านหนึ่ง เฉินเสียนและอวี้เยี่ยนเดินไปด้วยกันไกลแล้ว ฉินหรูเหลียงก็ก้าวเท้ายาวเดินไปในทิศทางเดียวกัน โดยตามพวกเธอไปไม่ไกลนัก
อวี้เยี่ยนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนกลางวันขึ้นมาได้ แม้เฉินเสียนจะไม่ได้เอ่ยอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลยสักคำ ดังนั้นนางจึงถามขึ้นอย่างกริ่งเกรง “องค์หญิง เกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลาที่บ่าวถูกอวิ๋นเอ๋อร์ขังไว้เพคะ?”
เฉินเสียนเหล่มองเธอและพูดว่า “มันผ่านไปแล้ว พูดอีกให้ได้อะไรเล่า?”
อวี้เยี่ยนเงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ยขึ้น”บ่าวอยากจะทราบว่าพวกเขากำลังคิดกลยุทธ์ชั่วร้ายเพื่อจัดการกับองค์หญิงหรือไม่เพคะ”
เฉินเสียนแหงนมองขึ้นไปที่แสงจันทร์เหนือศีรษะของเธอและเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นต้องดูว่าพวกเขามีความสามารถมากพอหรือไม่” หลังจากหยุดไปครู่หนึ่งเธอก็พูดอย่างสบาย ๆ ว่า “เมื่อเช้านี้ เพราะเจ้าออกไปนานแล้วแต่ยังไม่กลับมา แม่นมจ้าวไปที่เรือนด้านหน้าเพื่อตามหาเจ้า ในเวลานั้นเซียงซั่นมาที่สวนสระวสันตฤดู และบอกว่าถ้าข้าต้องการทราบที่อยู่ของเจ้า ให้ข้าไปกับนาง”
อวี้เหยี่ยนตกใจและมีเหงื่อเย็นไหลออกมา “องค์หญิงไปกับนางจริงๆเหรอ?”
“ข้าไม่ไปก็ไม่ได้สิ พวกนางเลือกที่นั่นไว้ หลังจากที่ไปก็พบว่าในสระเต็มไปด้วยปลิง พวกนางทั้งสองร่วมมือกันเพื่อผลักข้าลงไปในสระ” เฉินเสียนกล่าวเบาๆ “จะลงมือฆ่าแกงกัน ข้าก็คงไม่รับอย่างเดียวหรอกนะ จะให้ใจดีกับพวกนางหรือไงกัน?”
อวี้เหยี่ยนรู้สึกประหม่ามากเมื่อได้ฟัง “แล้วหลังจากนั้นเล่าเพคะ?”
“ต่อมาเซียงซั่นล้มลง และเหมยอู่ก็คงกลัว ยังไม่ทันที่ข้าจะทำอะไรนาง นางก้าวถอยหลังทีละก้าวโดยไม่มองทาง แล้วก็ล้มลง”
อวี้เยี่ยนกล่าวว่า “นางทำตัวเองไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อ ทำไมองค์หญิงถึงไปช่วยนางเล่าเพคะ?”
“ข้าช่วยนางรึ?” เฉินเสียนพูดอย่างขบขัน “เจ้าเห็นกับตาหรีอว่าข้าช่วยนางไว้?”
อวี้เหยี่ยนแบะปากแล้วพูดว่า “บ่าวเห็นกับตาทั้งสองข้าง ถ้าองค์หญิงไม่ขอให้พ่อบ้านไปที่สระน้ำโดยเร็ว แม่นางหลิวคงตายไปแล้ว”
เฉินเสียนหรี่ตาครู่หนึ่ง จากนั้นบีบดวงหน้ามนกลมของอวี้เยี่ยนแล้วเย้ยหยัน “สาวน้อย เจ้าคิดว่าองค์หญิงจะใจดีเช่นนั้นเลยหรือ เก็บนางไว้เพื่อความสนุกสนานในอนาคตยังไงล่ะ”
“แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าองค์หญิงช่วยชีวิตนางไว้นะเพคะ”
ทั้งสองเดินเข้าไปในสวนหลังเรือนพลางคุยกัน ฉินหรูเหลียงเดินออกมาจากความมืด มองไปยังแผ่นหลังของเฉินเสียนที่หายไปด้วยท่าทางที่อธิบายไม่ถูก
แสงไฟในครัวยังสว่างอยู่ แต่ทุกคนกลับเข้านอนกันแล้ว ถ้าเจ้านายต้องการรับอาหารมื้อค่ำ จะมีคนลุกขึ้นมาทำอาหารมื้อค่ำให้เจ้านาย
เมื่อเฉินเสียนและอวี้เยี่ยนเข้าไปในเรือนครัว นอกจากแสงสีเหลืองที่สาดออกมาจากห้องครัว เรือนก็ดูเย็นเฉียบเป็นพิเศษ
แต่ยังไม่ทันได้ย่างเข้นในเรือบครัว ก็ได้ยินเสียงแมวน้อยผู้อ่อนแอนแว่วมาจากลานในสวน
เฉินเสียนเดินไปดู เห็นเพียงแมวสีเหลืองครีม ตาแป๋วไร้ทางสู้ ร่างกายที่ผอมแห้งนั้นสั่นเทา
อวี้เหยี่ยนรู้สึกสงสารและพูดว่า “ทำไมถึงมีลูกแมวตัวเล็กขนาดนี้อยู่ที่นี่ได้”