ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 48 กลัวว่าโลกจะไม่โกลาหล
ใบหน้าของอวี้เยี่ยนตื่นตะลึงและโคลงศีรษะอย่างไร้เดียงสา “ท่านแม่ทัพใส่ความบ่าวแล้วเจ้าคะ แม้ว่าบ่าวจะมีความกล้าหาญสักร้อยเท่า แต่ก็คงไม่กล้าตีท่านแม่ทัพ!”
“แต่นอกจากเจ้า ยังมีใครทำเช่นนั้นได้อีก!”
เฉินเสียนกล่าว “แม่ทัพพูดเรื่องที่ถูกคนตีจนล้มลงสลบเมื่อคืนนี้หรือ? อ่า ในตอนนั้นท่านแม่ทัพแค่กะพริบตาก็เป็นลมล้มทับไปแล้ว และไม่มีท่วงท่าที่บ่งบอกว่าเป็นแม่ทัพอันดับหนึ่งเลยแม้แต่น้อย ช่างน่าอายนัก”
ฉินหรูเหลียงก้าวไปข้างหน้าและต้องการชำระบัญชี
เฉินเสียนก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ทำไมเล่า หมดหนทางหรืออย่าไร? ท่านบอกว่าอวี้เยี่ยนตีท่าน ท่านแสดงหลักฐานมา ท่านเห็นกับตาของท่านเองหรือ?”
อวี้เยี่ยนพยักหน้าอย่างเร่งรีบด้วยความเคารพ “บ่าวกำลังทำโจ๊กให้องค์หญิงในครัว และไม่ได้ออกจากครัวเลยเพคะ”
เฉินเสียนหัวเราะและกล่าวว่า “นางเป็นบ่าวที่ขลาดกลัว อย่าว่าแต่ท่านแม่ทัพเลย ต่อให้นางรู้กล้า แม่ทัพเป็นมีวรยุทธ์การต่อสู้ที่สูงส่ง ไหนเลยจะไม่สังเกตเห็นตอนนางเข้ามาใกล้? ตอนนี้ท่านแม่ทัพหามือคนทำผิดไม่เจอ แต่มาโทษเด็กผู้ไร้เดียงสา ถ้าเรื่องแพร่งพรายออกไปไม่ใช่แค่น่าอาย แต่ท่านยังเสียหน้าอีกด้วย”
ฉินหรูเหลียงรู้ว่ามีโอกาสมากที่อวี้เยี่ยนจะทำ และไม่มีใครอื่นนอกจากนางในเวลานั้น หากพวกชำนาญการต่อสู้เข้าใกล้ เขาจะตระหนักรู้ทันที
แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถบอกได้
เพราะเฉินเสียนผู้หญิงคนนี้ แข็งแกร่งเกินไป ราวกับว่าโลกทั้งใบจะถูกครอบครองโดยเธอเพียงผู้เดียว
ฉินหรูเหลียงกล่าวว่า “เฉินเสียน ท่านไม่ควรปิดบัง มิฉะนั้นท่านจะต้องเสี่ยงภัยเอง!”
เฉินเสียนเชิดคางขึ้นและทอดสายตาไปยังฉินหรูเหลียงอย่างยั่วยุและกล่าวว่า “นางบอกว่าไม่ได้ตีก็คือไม่ได้ตี ถ้าข้าไม่เชื่อนาง จะให้ข้าเชื่อท่านอย่างนั้นหรือ เหมือนกับเหมยอู่บอกว่าข้าตีนางแล้วข้าแย้งว่าไม่ได้ตีนาง ท่านก็ยังเลือกเชื่อเหมยอู่เหมือนกัน ข้ากล่าวแบบนี้ จะเข้าใจง่ายขึ้นหรือไม่?”
“ได้ ดีเลย!” ฉินหรูเหลียงกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “ว่างเรื่องนี้ไว้ก่อน ภาพเขียนที่หน้าประตูหมายความว่าอย่างไร!”
เฉินเสียนเหลือบมองที่ประตูเรือน ยิ้มเยาะอย่างสุขใจ “ภาพวาดเจ้าคะ”
“ท่านว่าใครเป็นไก่ ใครเป็นหมา!”
เฉินเสียนพูดอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “ท่านเข้าใจข้าผิดแล้วล่ะ ข้าบอกว่าไก่และหมาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา ข้าหมายถึงไก่และหมาจริงๆ”
“แต่คนในภาพชัดเจนว่า…” ฉินหรูเหลียงโกรธมากเมื่อพูดถึงตรงนี้
เห็นได้ชัดว่าคนในภาพคือเขาและหลิ่วเหมยอู่
เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าแค่วาดภาพคนสองคนด้วย บวกกับคำพูด แต่ข้าไม่ได้บอกว่าคนสองคนในภาพวาดต้องเกี่ยวข้องกับคำที่อยู่ถัดจากพวกเขา แม่ทัพฉินจะเข้ามา ข้าจะขวางก็ขวางไม่ได้หรอก”
เฉินเสียนจับท้องของเธอ ฉินหรูเหลียงปรายตามองท้องด้วยสายตาที่ลุกเป็นไฟ แต่ไม่ได้ทำอะไร เขาถูกจักรพรรดิปรามไว้ในตอนเข้าไปในวัง
อยากมาหาเธอเพื่อเอาผิด ไหนเลยจะคิดว่าเธอจะเปลี่ยนดำเป็นขาวได้อย่างว่องไวเช่นนี้
ฉินหรูเหลียงหรี่ตาที่เย็นเยียบของเขาและกล่าวว่า “เฉินเสียน ท่านอย่าพลาดให้ข้าจับได้ก็แล้วกัน มิฉะนั้นท่านจะเสียใจภายหลัง!”
ท้ายที่สุดฉินหรูเหลียงก็กลับไป และเมื่อเขาเดินออกจากสวนสระวสันตฤดูเขาก็ไม่ลืมที่จะนำภาพวาดและกรอบภาพออกไป มือเขาฉีกมันออกเป็นชิ้นๆ กระดาษถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ และกรอบก็ถูกนำมาใช้เป็นฟืน
วันนี้อากาศสดใส เมื่อวานเพราะพ่อบ้านช่วยหลิ่วเหมยอู่จึงไม่ว่าง แต่วันนี้เขาถึงจะมีเวลาทำความสะอาดบ่ออย่างทั่วถึง
ไม่เพียงแต่กำจัดตะกอนจำนวนมาก แต่ยังรวมถึงพวกปลิงด้วย
ปลิงเหล่านั้นคดตัวและฝังตัวอยู่รอบ ๆ ในตะกร้าเหมือนปลาไหล ซึ่งมันดูน่ากลัวจริงๆ เฉินเสียนพาอวี้เยี่ยนไปดูเรื่องตื่นเต้นครู่หนึ่ง
อวี้เยี่ยนไม่ยอมให้เฉินเสียนเข้ามาใกล้ ท่ามกลางแสงแดดเพียงมองพวกเขาอยู่ไกลๆก็เพียงพอแล้ว
อวี้เยี่ยนพูดเกลี้ยกล่อม “องค์หญิงกำลังทรงพระครรภ์ อย่าทำให้เด็กตกใจสิเพคะ!”
เฉินเสียนลูบคางของเธอในขณะนั้นและคิดว่า “ข้าไม่รู้ว่าในตะกร้านั่นจะทอดมาได้กี่จาน… ”
อวี้เยี่ยน “…” แค่คิดถึงเธอก็อยากจะสำรอกแล้ว!
มันเป็นความจริงที่เฉินเสียนทำเช่นนี้
เธอขอให้บ่าวเอาปลิงออกมา แล้วส่งพวกมันไปที่ห้องครัว โดยที่ให้พ่อครัวใส่พริกดองลงไปผัด และทำอาหารเนื้อปลิงหอมๆ
อวี้เยี่ยนทนอาการคลื่นไส้และพูดด้วยใบหน้าเบ้เบี้ยว “องค์หญิงอย่าบอกนะว่าประสงค์จะเสวยจริงๆ…บ่าวจะไม่ยอมให้องค์หญิงเสวยเด็ดขาดเพคะ!”
เฉินเสียนกลอกตาแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้เขลาถึงกับต้องกินนี่ หญิงมีครรภ์จะกินสิ่งนี้ได้อย่างไร นอกจากนี้ ข้าก็ไม่ได้จะไม่ให้เจ้ากิน อาหารนี่สำหรับเหมยอู่”
เธอขอให้อวี้เยี่ยนนำกล่องอาหาร บรรจุอาหารนี้ไป และพาไปสวนดอกพุดตานเพื่อเยี่ยมหลิวเหมยอู่…
“องค์หญิง สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็ผ่านไปแล้ว คราวนี้อย่าสร้างปัญหาเลยเพคะ…”
เฉินเสียนเหลือบมองเธอ “อย่าพูดอะไรโง่ ๆ ทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน และแน่นอนว่าเราควรดูแลกัน เหมยอู่ได้รับบาดเจ็บและข้าควรไปเยี่ยมนางและแน่นอนว่าเราควรแบ่งปันสิ่งดีๆให้แก่กัน”
ใบหน้าของอวี้เยี่ยนยุ่งเหยิง
ไหนบอกจะไม่สร้างปัญหา!
เมื่อมาถึงสวนดอกพุดตานอวิ๋นเอ๋อร์ก็มารับรองก่อน เห็นรอยถลอกบนใบหน้านาง รอยฟกช้ำที่มือ ผิวหนังที่มีร่องรอยยุงกัด ทั้งนายและบ่าวไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ
หลิ่วเหมยอู่เชิญเฉินเสียนเข้ามา
เฉินเสียนให้อวี้เยี่ยนนำอาหารมาให้หลิ่วเหมยอู่กิน
ในไม่ช้าหลิ่วเหมยอู่ก็กรีดร้องและขับไล่ทั้งสองออกไป
พระอาทิตย์สาดแสงอยู่ภายนอก เฉินเสียนค่อย ๆ ปัดที่มุมกระโปรงของเธอ ยกยิ้มมุมปากแฝงความร้าย และพูดว่า “ไม่รู้จักของดีจริง ๆ อาหารอันโอชะก็สูญเปล่าเสียแล้วสิ”
เธอหันกลับมาหาหลิ่วเหมยอู่ในห้องแล้วกลาวอีกครั้งว่า “เหมยอู่ วันนี้เก็บปลิงมาค่อนข้างมาก จานนี้หกก็ไม่เป็นไร ข้าจะให้ในครัวผัดให้ใหม่อีกจานแล้วกัน”
หลิ่วเหมยอู่รู้สึกตกใจและกรีดร้อง “ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้กลับมาอีก! ถ้าท่านกล้าที่จะมาอีกครั้ง ข้าจะให้ท่านแม่ทัพตัดขาท่านซะ!”
เฉินเสียนยกยิ้มและเดินจากไป
หลังจากที่ฉินหรูเหลียงได้ยินเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ เขาสั่งห้ามบ่าวทั้งหมดไม่ให้เฉินเสียนก้าวเข้าไปในสวนดอกพุดตานแม้แต่ก้าวเดียว มิฉะนั้นบ่าวทั้งหมดจะถูกลงโทษ
ทันทีที่เฉินเสียนออกมาจากสวนสระวสันตฤดู สายตาของบ่าวรับใช้ก็จับจ้องมาที่พวกเธอ เมื่อพบว่าเธอกำลังจะไปที่สวนดอกพุดตาน ก็รีบออกมาขวางเธอโดยเร็วที่สุด
ระหว่างพักฟื้นของหลิ่วเหมยอู่ อวิ๋นเอ๋อร์ก็ดูแลเธอ อวิ๋นเอ๋อร์เป็นสาวใช้ที่ฉลาด และเธอไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับหลิ่วเหมยอู่ พวกเธอจะพัฒนาความเข้าอกเข้าใจระหว่างเจ้านายกับบ่าวได้โดยธรรมชาติ
อวิ๋นเอ๋อร์พูดน้อย แต่นางเข้าใจความปรารถนาของหลิ่วเหมยอู่เป็นอย่างดี บางครั้งหลิ่วเหมยอู่เพียงแค่ส่งสายตาเท่านั้น อวิ๋นเอ๋อร์ก็สามารถเข้าใจสิ่งที่เธอต้องการได้
โดยส่วนตัวแล้วหลิ่วเหมยอู่รู้สึกว่าอวิ๋นเอ๋อร์มีความสามารถและมีมากกว่าเซียงซั่น เซียงซั่นมักจะพูดมาก และนางก็พูดกรอกหูเธอทุกครั้งที่มีโอกาส
เซียงซั่นมักจะมาร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างหูของเธอ นั่นทำให้เธออารมณ์เสียเป็นอย่างมาก
และในตอนนี้หลิ่วเหมยอู่รู้สึกมีสมาธิมากกว่าเดิมมาก และ ณ ขณะนี้เธอก็หลงลืมเซียงซั่นไปแล้ว
เซียงซั่นได้พักฟื้นอยู่ในห้องชั้นล่างตั้งแต่ถูกทุบตีสามสิบรอบ เธอยังได้ยินว่าอวิ๋นเอ๋อร์ไปดูแลอยู่ข้างๆของหลิ่วเหมยอู่
สำหรับหลิ่วเหมยอู่บ่าวรับใช้เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และเซียงซั่นก็สามารถเข้าใจสิ่งนี้ได้เช่นกัน เมื่อเธอหายจากอาการบาดเจ็บ เธอจะกลับไปอยู่เคียงข้างหลิ่วเหมยอู่อีกครั้ง
ทุกวันนี้ไม่มีใครสนใจอาการบาดเจ็บของเซียงซั่น แม้แต่หลิ่วเหมยอู่ก็ยังไม่ได้ถามไถ่เธอเลย เซียงซั่นค่อยๆรู้สึกไม่สบายใจอยู่ในใจเรื่อยมา
ฉินหรูเหลียงไปหาเซียงซั่นในเวลากลางคืน เขาไม่ต้องการให้ใครเห็น และไม่ต้องการให้หลิ่วเหมยอู่รู้
เมื่อเซียงซั่นกำลังจะเข้านอน ก็ได้ยินเสียงคนมาเคาะประตู
“ใคร?”
“ข้าเอง”