ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 510 เพราะเขามีบาดแผลในใจ
เฮ่อโยวเอ่ยอย่างสบายๆ ว่า “ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับข้า ตอนนี้ข้าเป็นอาลักษณ์ฝ่ายพิธีการ เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ขั้นสองแห่งราชสำนัก”
“เจ้าจะไม่ไปพร้อมกับเราหรือ”
เฮ่อโยวเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ไปพร้อมกับพวกท่านไม่ได้ ข้ายังอยากอยู่เป็นขุนนางให้นานขึ้นอีกสักสองสามวัน”
เฉินเสียนขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ถ้าเจ้าชอบเป็นขุนนาง ไว้วันข้างหน้าข้าจะให้เจ้าเป็นจนสมใจ ต่อให้เจ้ากระอักก็จะไม่อนุญาตให้เจ้าปลดเกษียณ”
“แต่ข้าไม่เก่งการสู้รบ ไปกับพวกท่านก็มีแต่จะเป็นตัวถ่วง พอไปถึงสนามรบแล้วข้าทนเห็นคนตายเป็นเบือไม่ได้ ข้ายังเหมาะกับการอยู่ในตำแหน่งที่สุขสบายมากกว่า”
เฉินเสียนกล่าวว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องลงสนามรบเพื่อฆ่าฟันศัตรู ขอแค่อยู่ห่างจากเมืองหลวง อยู่ที่ไหนเจ้าก็สุขสบายได้เหมือนกัน”
ภายในห้องเกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ
ต่อมาเฮ่อโยวจึงถอนหายใจและบอกว่า “ถ้าข้าทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง ตาเฒ่าของข้าจะเป็นอย่างไรเล่า ตอนนี้เขาทนรับความผันผวนใดๆ อีกไม่ได้แล้ว”
เฉินเสียนยังคงเอ่ยอย่างรู้น้ำใสใจจริงของเขา
เธอกล่าวว่า “รู้น่ะว่าเจ้ามีข้ออ้างมากมาย ตอนนี้ยากนักที่จะทำให้เจ้าพูดความจริง ต้องพูดอ้อมไปอ้อมมาอยู่นั่นละ” เธอหยุดไปนิดหนึ่ง “อาศัยตอนที่ตาเฒ่าของเจ้ายังอยู่ อย่าอ้อมค้อมไปมาอยู่เลย อย่ารอจนถึงวันที่ไม่มีเขาอยู่ ถึงตอนนั้นเจ้าจะพูดความจริงจากใจให้ใครฟัง”
เฮ่อโยวฟังแล้วใจหวิว และเขาก็ยิ้มออกมา “ข้าเป็นแค่ปีศาจที่ชั่วร้ายในสายตาของเขา”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ตอนที่ข้ากับเจ้าแสร้งทำเป็นสมรสกัน ทำไมเขาจะต้องมาเป็นผู้ใหญ่ ทำไมเขาจะต้องนั่งในที่ของบุพการีด้วย”
เฮ่อโยวพูดไม่ออก
เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครยอมเสียใครไป แต่จำต้องแสดงท่าทีเย็นชาต่อกันเมื่อยามเผชิญหน้า
เมื่อก่อนเฮ่อเซียงมักจะพูดติดปากว่าเขา “ไม่เป็นโล้เป็นพาย” “ไม่มีทางหลุดจากโคลนตม” ฯลฯ แต่เขากลับเป็นคนที่รักเฮ่อโยวมากที่สุด ยอมยกโทษให้และคอยจัดการปัญหาให้เขาเสมอ
ตอนนี้เฮ่อโยวพูดดีๆ ไม่ได้อีกแล้ว เขาไม่ลังเลเลยที่จะเอ่ยถ้อยคำที่เหลือทนและไร้ความปรานีที่สุดกับเฮ่อเซียงบิดาของเขา แต่หัวใจที่อยู่ในอกยังคงอ่อนโยนอยู่เสมอ
เขาอดห่วงเฮ่อเซียงไม่ได้ และไม่คิดจะติดตามเฉินเสียนออกไปจากเมืองหลวงเพียงคนเดียวโดยทิ้งตระกูลเฮ่อไว้ข้างหลัง
เขายังมีภาระต้องรับผิดชอบในฐานะเสาหลักเพียงคนเดียวของตระกูลเฮ่อ
เฉินเสียนตบบ่าของเฮ่อโยวและกล่าวว่า “ข้าจะไม่ห้ามถ้าเจ้าตัดสินใจจะอยู่ที่เมืองหลวง หากมีคำพูดหรือเรื่องอะไรที่อยากพูดอยากทำก็รีบทำเสียแต่เนิ่นๆ อย่ารอจนสายเกินไปแล้วมานึกเสียใจทีหลัง”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างแผ่วเบา “หลังจากพวกเราไปแล้ว เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี จะต้องรอจนกว่าเราจะกลับมา ทำได้ไหม”
เฮ่อโยวตอบว่า “ท่านอย่าได้กังวลเลย ข้าดูแลตัวเองได้ เมื่อถึงกาลที่ราชสำนักเกิดความวุ่นวาย จำเป็นต้องมีคนมาคอยควบคุม ท่านบัณฑิตได้มอบภาระหน้าที่นั้นให้ข้า และข้าจะพยายามทำมันอย่างดีที่สุด”
เฉินเสียนเตือนว่า “จะดีจะเลวอย่างไรบิดาของเจ้าก็เป็นอัครมหาเสนาบดีคนหนึ่ง เรื่องทางนี้เขาน่าจะเชี่ยวชาญมากกว่าเจ้า ถ้าเจ้าไม่เข้าใจก็ควรไปขอคำชี้แนะจากเขาให้มากๆ”
เฮ่อโยวกล่าวว่า “ข้ารู้ ท่านอย่าได้เป็นห่วงข้าเลย”
เฮ่อโยวนั่งอยู่ในห้องอีกครู่หนึ่งก่อนจะลุกจากไป จากนั้นอวี้เยี่ยนจึงเรียกให้คนมาเก็บถ้วยชามบนโต๊ะ
อวี้เยี่ยนยกถ้วยชาร้อนๆ มาให้อีก
เมื่อเฉินเสียนนึกถึงสิ่งที่อยากจะพูดขึ้นมาได้ เธอจึงเงยหน้ามองอวี้เยี่ยนและเห็นว่านางมีท่าทางหงอยๆ
เฉินเสียนถามอย่างแปลกใจ “ทำหน้าแบบนี้มีอะไรหรือเปล่า”
อวี้เยี่ยนตอบว่า “เมื่อครู่บ่าวได้ยินพวกท่านคุยกัน และบ่าวก็มาตระหนักได้ว่าบ่าวเองก็ไม่มีทักษะการต่อสู้ เช่นนั้นบ่าวก็จะตามองค์หญิงไปไม่ได้ใช่หรือไม่เพคะ”
เฉินเสียนบีบมวยผมของอวี้เยี่ยนและกล่าวว่า “ข้ากำลังคิดจะพูดกับเจ้าเรื่องนี้พอดี เมื่อออกจากเมืองหลวง ภายนอกจะเต็มไปด้วยความวุ่นวายเพราะภาวะสงคราม ข้าจึงคิดจะให้เจ้าอยู่ที่นี่กับเฮ่อโยวสักพักหนึ่ง”
อวี้เยี่ยนน้ำตาคลอ “แต่บ่าวไม่กลัวเพคะ บ่าวอยากไปกับองค์หญิง”
“ฟังนะ” เฉินเสียนขู่ “เจ้าคิดว่าการสู้รบข้างนอกเป็นเรื่องสนุกงั้นหรือ? แค่ความประมาทเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้เจ้าตายได้”
อวี้เยี่ยนเบะปาก
เฉินเสียนจึงเอ่ยอีกว่า “ข้าเห็นว่าเฮ่อโยวยังไม่มีสาวใช้ข้างกาย เจ้าอยู่คอยดูแลเขาก็ดีแล้ว เจ้าลองคิดถึงเมื่อก่อนสิ คนที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดอย่างเขามีหรือที่จะไม่มีสาวใช้คอยปรนนิบัติ แล้วดูตอนนี้สิ ข้างกายเขาแค่คนจะคุยด้วยสักคนก็ยังไม่มี”
อวี้เยี่ยนตอบว่า “เป็นผู้ชายมีอิสระก็ดีอยู่แล้ว”
เฉินเสียนส่ายหน้าและบอกว่า “นั่นเป็นเพราะเขามีบาดแผลในใจ เกรงว่าตลอดชีวิตนี้เขาคงจะไม่ขอมีสาวใช้อีกแล้ว”
“เพราะเหตุใดหรือเพคะ” อวี้เยี่ยนถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“เพราะก่อนหน้านี้มีสาวใช้ที่เฉลียวฉลาดผู้หนึ่งยอมตายเพื่อเขา”
อวี้เยี่ยนชะงัก
นางกลับมารู้สึกตัวและกล่าวว่า “บ่าวไม่อยากอยู่คอยปรนนิบัติข้างกายเขาเพคะ ก่อนหน้านี้บ่าวก่นด่าคำหยาบใส่เขามากมาย ถ้าหากว่าเขาปฏิบัติกับบ่าวอย่างโหดร้ายทารุณเมื่อองค์หญิงจากไปแล้วจะทำเช่นไรล่ะเพคะ”
เฉินเสียนหัวเราะ “เจ้ายังกลัวอีกหรือว่าใต้เท้าอาลักษณ์อย่างเขาจะลดตัวลงมาทะเลาะกับเจ้า ถ้าเช่นนั้นเอาแบบนี้ ข้าจะให้เขาส่งเจ้าไปที่วัดฮู่กั๋ว และไปหาพระที่ชื่อคงเฉินผู้นั้น”
อวี้เยี่ยนเอ่ยอย่างขัดเคืองดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดฝน “องค์หญิง! เห็นๆ กันอยู่ว่านี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย องค์หญิงยังจะหยอกล้อบ่าวเล่นอีก!”
ต่อมาเมื่อพูดคุยกับเฮ่อโยวเรื่องที่อวี้เยี่ยนจะอยู่หรือไป เฮ่อโยวก็เอ่ยอย่างไม่ยินดียินร้ายว่า “แน่นอนว่าไม่มีปัญหาถ้าอวี้เยี่ยนจะอยู่ที่นี่ แต่เรื่องที่จะให้นางมาดูแลข้านั้นไม่จำเป็น ข้ายังอยากจะมีอายุที่ยืนยาว”
อวี้เยี่ยนย้อนคำอย่างไม่พอใจ “ท่านไม่อยากให้ข้าดูแล ข้าเองก็ไม่ได้อยากดูแลท่านเหมือนกัน!”
เฮ่อโยวยักไหล่ ยิ้มและกล่าวอย่างไม่คิดอะไรมาก “เจ้าอารมณ์ร้ายขนาดนี้ ใครจะกล้าให้เจ้าดูแล”
อวี้เยี่ยนหันกลับไปมองเฉินเสียนและเอ่ยว่า “องค์หญิงเพคะ บ่าวซ่อนมีดไว้อีกได้ไหมเพคะ บ่าวอยากจะสับเขาทิ้งเหลือเกิน!”
เฉินเสียนเอ่ยกับเฮ่อโยวอย่างไตร่ตรอง “มีคนคอยดูแลข้างกายไม่ดีตรงไหน นอกจากเรื่องที่อวี้เยี่ยนอารมณ์ร้อนไปหน่อย ที่เหลือนางก็ดูแลเรื่องกิจวัตรในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี”
เฮ่อโยวกล่าวว่า “ข้างกายข้าไม่มีใครคอยดูแลมานานแล้ว และข้าเองก็ไม่ได้ดีเด่อะไร ข้าชินแล้ว”
เฮ่อโยวชินกับการอยู่คนเดียวแล้ว เขายังจำตอนที่เดินทางลงใต้ครั้งก่อนได้ แม้แต่ตอนที่เขาจะกินอาหารหรือดื่มน้ำยังต้องให้สาวใช้ตัวน้อยคอยป้อนให้
นั่นเป็นเพราะตอนนั้นเขายึดมั่นเกินไปว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น กว่าจะรู้สำนึกก็สายเกินไปเสียแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องสิ่งเหล่านั้นอีกเลย
เฉินเสียนไม่พูดอะไรให้มากความ เธอเพียงแค่บอกว่า “เป็นอันว่าข้าจะมอบอวี้เยี่ยนให้เจ้าหลังจากข้าจากไป ในเมื่อเจ้าไม่อยากให้นางมาดูแล เช่นนั้นเจ้าก็ช่วยดูแลนางให้ข้าที ถ้านางไม่เชื่อฟังก็ส่งนางไปที่วัดฮู่กั๋วได้เลย”
อวี้เยี่ยนกระทืบเท้าเร่าๆ “องค์หญิง บ่าวไม่อยากไปวัดฮู่กั๋ว!”
ว่ากันตามจริง เมื่อเกิดความวุ่นวายในเมืองหลวง วัดฮู่กั๋วจะไม่ใช่สถานที่ที่ปลอดภัยอีกต่อไป
เรื่องที่แม่ทัพโฮ้วยกกองกำลังทหารขึ้นมาได้รับการตอบรับจากทั่วทุกสารทิศ มีผู้คนมากมายนับไม่ถ้วนมาขอเข้าร่วมอย่างกระตือรือร้น
ถ้าไม่ใช่พวกที่ต่อต้านการปราบปรามก็เป็นพวกที่สูญเสียจากการปราบปราม และมีคนที่ยังภักดีและพร้อมจะเลือกราชวงศ์ในอดีต
นอกจากนี้ยังเป็นเพราะประชาชนไม่มีอาหารประทังชีวิต เมื่อเข้าร่วมกองทัพ พวกเขาจะไม่ถึงกับอดตายอยู่ในค่ายทหาร
ระหว่างทางที่แม่ทัพโฮ้วเคลื่อนไปทางเหนือ เขายังคงรวบรวมและขยายกองทัพต่อไป บรรดาผู้พลัดถิ่นที่มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรงต่างได้เข้าร่วมกับกองทัพย่อยที่ใหม่เอี่ยม
ในไม่ช้า กองกำลังทหารในเขตใต้ก็มีอำนาจและชื่อเสียงเกริกไกร
องค์หญิงจิ้งเสียนมีอำนาจและชื่อเสียงตามพื้นที่ต่างๆ มานานแล้ว ตอนนี้ธงใหญ่ถูกยกขึ้นแล้ว และการปราบปรามของราชสำนักก็กลายเป็นเรื่องที่มีเหตุผลอันสมควร
ราชสำนักได้รับข่าวคราวล่วงหน้าเพียงไม่นาน
ตอนนี้องค์หญิงจิ้งเสียนยังคงถูกกักบริเวณอยู่ในเมืองหลวง แต่กองทัพใหญ่จากทางใต้กลับถือธงขององค์หญิงจิ้งเสียนเอาไว้