ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 512 คิดถึงข้าบ้างไหม?
หลังจากผ่านบ้านเรือนหลายหลังมาแล้ว ค่ำคืนที่อยู่เบื้องหน้าช่างกว้างไกล หลังจากเข้ามาใกล้เฉินเสียนก็พบว่าเธอและซูเจ๋อมาถึงริมฝั่งแม่น้ำหยางชุนที่คุ้นเคย
แม่น้ำหยางชุนที่กว้างมากและเรือที่มีแสงจ้าจอดอยู่ในแม่น้ำ
เรือนี้ถูกจอดทิิ้งไว้ริมแม่น้ำหยางชุนเป็นเวลาแรมปี และจำนวนครั้งที่สามารถแล่นเรือเพื่อเยี่ยมชมแม่น้ำหยางชุนนั้นหายาก และคืนนี้จะเป็นครั้งแรกของปีนี้ที่เรือลำนี้ได้ออกล่องเรือในยามค่ำคืน
อีกทั้งบนเรือก็มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยที่ต่างก็เฝ้าดูทิวทัศน์บริเวณโดยรอบจากบนเรือ การล่องเรือชมความงามของแม่น้ำหยางชุนในคืนนี้ บนเรือมีการร้องเพลงและการเต้นรำอย่างสนุกสนาน มันเหมือนสถานที่แห่งชีวิตและความฝันที่เมามาย
เมื่อทั้งสองมาถึงริมฝั่ง และทหารที่ตามมาก็หลุดพ้นไปหมดแล้ว ซูเจ๋อกุมมือของเฉินเสียนไว้ และเดินเล่นไปตามแนวทอดยาวริมฝั่งแม่น้ำหยางชุน เพื่อรอขึ้นเรือ
ค่ำคืนที่เงียบสงบ ต้นหลิวสองริมฝั่งที่แตกกิ่งก้านออกมาใหม่ เผยให้เห็นเงาของต้นไม้ที่สง่างามอย่างแผ่วเบา กระพือเล็กน้อย
หลังจากขึ้นเรือ มีนักท่องเที่ยวไม่น้อยอยู่บนดาดฟ้ากว้างของหัวเรือมองดูดวงจันทร์ในยามค่ำคืน ซูเจ๋อและเฉินเสียนกุมมือประสานกันไว้ เสมือนราวกับคู่รักธรรมดาเดินผ่านผู้คนเพื่อเข้าไปยังประตูลับ และเดินดูรอบ ๆ ก่อนที่จะขึ้นไปชั้นบน
เมื่อไปถึงหน้าประตู ใบหน้าที่คุ้นเคยของผู้ดูแลก็กำลังรอต้อนรับ ซูเจ๋อผลักประตูเข้าไปและกล่าวกับเขาว่า “ขับเรือออกไป”
ผู้ดูแลหันหลังกลับไปเพื่อบอกต่อว่าให้เตรียมตัว
เมื่อเข้ามาในห้อง จะเป็นห้องที่มีโต๊ะ เก้าอี้ และชุดน้ำชา และกระถางธูปบนโต๊ะก็ส่งกลิ่นหอมจาง ๆ ข้างหลังม่านเป็นที่ฉากกั้น และหลังฉากกั้นคือเตียงสำหรับพักผ่อน
ที่นี่ถูกจัดแต่งอย่างเรียบง่าย ตามเอกลักษณ์ของซูเจ๋อ ทำให้เฉินเสียนนึกถึงห้องในเรือนของเขา ถึงแม้จะดูเงียบเหงาไปหน่อย แต่ก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจที่ได้อยู่ที่นี่
ชุดของซูเจ๋อที่เปื้อนเลือดนั้น โชคดีที่เป็นสีดำทำให้ไม่เป็นที่สังเกต บนเรือนร่างมีกลิ่นคาวเลือดจาง ๆ เขาเดินไปที่ฉากกั้น และถอดชุดสีดำนั้นเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ที่สะอาดตา
ท่าทางที่กำลังเปลี่ยนชุดอยู่นั้นดูธรรมชาติและไม่ได้เกร็งอะไร หลังจากที่หันกลับมา ก็เห็นว่าเฉินเสียนมองเขาอยู่อย่างไม่ละสายตา ซูเจ๋อยิ้มพลางจัดแต่งปกคือเสื้อให้เรียบร้อย และกล่าวว่า “ไม่เจอกันนาน หากท่านชอบ ข้าจะถอดอีกครั้งและค่อย ๆ ใส่ให้ท่านดู”
ตั้งแต่ที่เขายื่นมือมารับเธอออกมาจากบนรถม้า ต่อให้ปิดบังใบหน้าไว้ เฉินเสียนแค่มองก็รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นเขา ทั้งสองคนวิ่งมาจนถึงบนเรือ กลับไม่ได้พูดคุยกันแม้แต่คำเดียว
แต่เธอก็ปฏิเสธไม่ได้ ซูเจ๋อดูดีมากเมื่อเขาฆ่าคนด้วยดาบ และดูดีขึ้นมากเมื่อเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าในตอนนี้
เฉินเสียนเหมือนกำลังลอยอยู่ในอากาศ เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับความฝัน
เธอหนีออกมาแบบนี้ และได้มาอยู่กับซูเจ๋อ ต่อไปนี้ก็จะไม่ถูกคุกคามอีกต่อไปในอนาคต
จนถึงตอนนี้ เฉินเสียนแทบไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ
ยังไม่ทันที่จะพูดอะไร เท้าก็หยุดชะงักลง เฉินเสียนเอนตัวไปข้างหน้า
เงาสีดำปรากฏขึ้นต่อหน้าเธอ และเธอก็ขยับไปข้างหน้าพุ่งตัวเข้าไปในอ้อมแขนของซูเจ๋อ หัวใจของเธอเต้นแรงมาก
ซูเจ๋อกล่าวกับเธอ “เรือออกเดินทางแล้ว”
เฉินเสียนรู้สึกได้ เรือกำลังเคลื่อนที่
แต่ว่าการได้อยู่ในอ้อมแขนนี้ ยากที่จะปล่อยมือออกมา เธอไปโดนเอวของเขา และจับไปที่ไหล่ของเขา และลูบไล้ไปที่ใบหน้าของเขา และรู้สึกได้ว่านี่คือเรื่องจริง และกล่าวว่า “ข้าออกมาแล้ว? ต่อไปก็ไม่ต้องแยกกับท่านแล้ว?”
ซูเจ๋อก้มศีรษะลงกดลงไปที่หน้าผากของเธอเบา ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม “อาจจะเป็นเช่นนั้น”
เฉินเสียนหลับตาลงและยิ้มอย่างมีความสุข “รู้สึกว่ามันง่ายเกินไปหน่อยไหม?”
“ท่านชอบอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่านี้ไหม?” ซูเจ๋อถามขณะที่ค่อย ๆ สะกิดปลายจมูกของเธอและเข้าใกล้เธอเล็กน้อย
ดวงตาที่คมลึกของเขา ลึกราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่กว้างใหญ่ ลึกราวกับแม่น้ำ สามารถทำให้เฉินเสียนดื่มด่ำ
ซูเจ๋อจูบลงไป ไม่ว่าเขาจะใกล้เธอกี่ครั้ง ลมหายใจของเขาก็ทำให้เฉินเสียนหายใจแทบไม่ทั่วท้อง จูบเบา ๆ ราวกับแมลงปอ ครู่หนึ่งก็ปล่อยออก
ซูเจ๋อใช้เสียงสำหรับได้ยินกันแค่สองคนเท่านั้น และกระซิบกับเธอเบา ๆ “คิดถึงข้าไหม?”
หัวใจของเฉินเสียนสั่น และทันทีที่เธออ้าปากตอบ ซูเจ๋อก็จูบเธออีกครั้ง ยังคงเป็นจูบเบา ๆ นุ่มนวลน่าหลงใหล ทำให้หัวใจของเฉินเสียนหวั่นไหว
เฉินเสียนเอามือไปจับที่หน้าอกของเขา หายใจเข้าออกไม่ทั่วท้อง และรู้สึกยุ่งเหยิง และเพื่อจะเอาชนะเขา เธอพึมพำเบา ๆ ว่า “แล้วท่านล่ะ คิดถึงข้าบ้างไหม สามีของข้า?”
“ข้าจะบอกท่านตอนนี้เลยว่าข้าคิดถึงท่านหรือเปล่า” พูดจบซูเจ๋อเอามือไปจับผมของเธอ จับศีรษะของเธอไว้ และจูบเธออย่างตื้นเขินหลายครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ยิ่งกดก็ยิ่งจมลึกและลึกลงไปอีก เร่าร้อนและมึนเมา
เฉินเสียนตาปรือ มือทั้งสองข้างจับไหล่เขาไว้แน่น เขย่งปลายเท้าของเธอ และตอบสนองเขาตามความเรียกร้องของหัวใจ
ซูเจ๋อแทบจะกลืนกินเธอเข้าไปให้ได้ ต่อให้ต้องจูบเธออย่างนี้ไปจนเช้า เขาก็ไม่รู้สึกเบื่อหรือเหนื่อย
เรือแล่นไปอย่างราบรื่นในแม่น้ำหยางชุน และเสียงของผู้มาท่องเที่ยวบนดาดฟ้าก็ดูมีความสุขมาก
ภายใต้เสียงที่ดังขึ้น เฉินเสียนปล่อยใจตัวเองให้เพลิดเพลินกับความสุขที่อยู่ตรงหน้า
เธอเอาแขนโอบรอบคอของซูเจ๋อ คิ้วและตาของเธอเป็นสีแดง เธอกล่าวด้วยเสียงที่แหบ “ซูเจ๋อ ข้ามีความสุขเหลือเกิน”
แสงจันทร์สาดส่องเข้ามาที่หน้าต่าง และมีลมเล็ดลอดเข้ามาเล็กน้อยทางช่องหน้าต่าง ทำให้ได้กลิ่นที่ชัดเจน
ซูเจ๋อกอดเฉินเสียนไว้ในอ้อมกอดของเขา และกัดเบา ๆ ลงบนใบหูสีแดงของเธอ และกล่าวว่า “ดูเหมือนจะประมาทไปไม่ได้”
ลมหายใจที่พัวพันของทั้งสองคนลอยอยู่ในห้องเป็นเวลานาน มือของเฉินเสียนบิดไปที่กระเป๋าเสื้อของซูเจ๋อ ค่อย ๆ ลูบไล้ปลายนิ้วมือบนหน้าอกของเขา ในที่สุดก็สงบลง หลับตาลงและยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้สึกเวียนหัวเล็กน้อย”
ซูเจ๋อเปิดประตูหน้าต่างออก เพื่อให้อากาศบริสุทธิ์จากภายนอกได้เข้ามา เขากอดเฉินเสียนไว้จากด้านหลัง และยืนอยู่ที่หน้าต่าง และกระซิบเบา ๆ “เมาเรือ? โดนลมพัดรู้สึกดีขึ้นบ้างไหม?”
เฉินเสียนมองเห็นผิวน้ำบนแม่น้ำหยางชุน ที่ส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงจันทร์และแสงไฟ
ซูเจ๋อหายใจเข้าออกอยู่ที่หลังใบหูยองเธอ ทำให้รู้สึกหวั่นไหวแทบระเบิด
กิ่งก้านของต้นหลิวที่ฝั่งตรงข้ามถูกตัดแต่งเพื่อทัศนียภาพที่สวยงาม พลิ้วไหวเป็นจังหวะในเงาจันทร์
เฉินเสียนชี้ไปตรงแสงที่ฝั่งตรงข้าม ยิ้มและหันกลับมามองซูเจ๋อ และมองเขาจากมุมคางเสยขึ้นไป และกล่าวว่า “ท่านจำที่นั่นได้ไหม? พวกเราไปเดินเล่นเทศกาลโคมไฟฤดูใบไม้ร่วงเมื่อปีที่แล้ว”
ตอนนั้นบนฝั่งครึกครื้นมาก นักท่องเที่ยวชอบทอผ้า โคมไฟ ข้าง ๆ ก็ยังมีแผงขายของมากมายเต็มไปหมด
ซูเจ๋อตอบเธอ “อืม และยังไปทานบะหมี่ถงซินด้วยกันอีกด้วย”
เฉินเสียนยิ้มอย่างพอใจ “ในตอนนั้น ท่านพกแผ่นทองแดงเพียงไม่กี่แผ่นจริง ๆ หรือ?”
ซูเจ๋อกล่าว “ท่านทานดูสิ”
เฉินเสียนกล่าว “ดูก็รู้ว่าไม่น่าเชื่อ แต่ข้าก็ไม่อาจปฏิเสธได้”
หลังจากนั้น เรือก็ค่อย ๆ ไกลออกมาจากชายฝั่งมากขึ้น และเดินทางมุ่งหน้าไปข้างหน้า นักท่องเที่ยวบนเรือต่างให้ความสนใจกับการดื่มเหล้า ชมพระจันทร์ ร้องรำทำเพลง ดูแล้วช่างมีรื่นเริงมีความสุข
เฉินเสียนถาม “เรือลำนี้จะออกเดินทางไปที่ไหนหรือ?”
“ออกนอกเมืองหลวง ไปที่แม่น้ำหยุน”
เมื่อพวกเขาออกจากเมืองหลวง พวกเขาก็จะปลอดภัยมากขึ้น และเวลานี้ ประตูของเมืองหลวงต่างก็ถูกเฝ้าตรวจสอบอย่างเข้มงวด หากคิดจะออกโดยทางประตูเมืองคงจะยากลำบากมาก