ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 513 ขอเพียงแค่ท่านไม่ปล่อยมือของข้า
แม่น้ำหยางชุนเชื่อมต่อกับแม่น้ำหยุน หากได้เข้าสู่แม่น้ำหยุน หนทางก็ไม่มีอะไรมาขีดขวางได้ หากถูกสกัดกั้นก่อนจะเข้าสู่แม่น้ำหยุน นักท่องเที่ยวบนเรือเยอะก็น่าจะหลบหนีออกมาจากสายตาทุกคนได้
หลังจากนั้น เมื่อซูเจ๋อพูดจบ ทันใดนั้น วัตถุสีดำก็พุ่งตรงจากฝั่งตรงข้ามมาด้วยความเร็ว มันกระทบตัวเรือและเกี่ยวเข้ากับด้านข้างของเรือ
ทันใดนั้นแผ่นไม้ก็กระเด็นไปทั่ว
เฉินเสียนมองเห็นเพียงนิดเดียว ซูเจ๋อกอดเธอไว้ข้าง ๆ เพื่อหลบหลังเขา และปิดหน้าต่างลง
เป็นตะขอเหล็กแบบหนามาก ทันทีหลังจากนั้น ตะขอที่สองและสามก็ยิงเข้ามาทีละอัน ทั้งหมดเกี่ยวเข้ากับตัวเรืออย่างแน่นหนา
ไม่เพียงแค่ด้านนี้เท่านั้น อีกด้านหนึ่งของลำเรือก็เป็นเช่นนี้
หลังจากที่ตะขอเหล็กหลายอันที่ถูกยิงออกมาจากฝั่งตรงข้าม เดิมเรือที่แล่นไปอย่างราบรื่นในแม่น้ำก็สั่นไหวไปมา ยิ่งแล่นไปก็ยิ่งช้าลง และท้ายที่สุดก็หยุดลง
คนบนเรือต่างพากันมองไปรอบ ๆ และมองเห็นตะขอเหล็กที่ทั้งหนักและหนาสีดำ พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เงาดำที่วิ่งตามเฉินเสียนและซูเจ๋อมาก่อนหน้านี้ กำลังเหยียบเหล็กที่เกี่ยวตะขอและกระโดดข้ามมา
นักดาบหลวงมีความสามารถในการติดตามที่เยี่ยมยอดและคุ้นเคยกับเมืองหลวงแห่งนี้มาก แต่ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถกำจัดพวกเขาได้ในที่สุด
ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังมีความสามารถในการหยั่งรู้ได้ เป็นที่สงสัยจริง ๆ ว่าเรือลำนั้นแล่นออกจากแม่น้ำหยางชุนในตอนกลางคืน
ซูเจ๋อสีหน้าดูซีดลง มือจับไปที่หน้าต่างที่เปิดออกเล็กน้อยเพื่อสังเกตดูเหตุการณ์ภายนอก “ตามเจอจนได้ ดูเหมือนคืนนี้เราจะไม่ได้ออกจากเมืองหลวงแล้วล่ะ”
เขาหันไปมองเฉินเสียน ยิ้มและกล่าว “เหตุการณ์ตอนนี้นี่แหละน่าตื่นเต้น”
เฉินเสียนอดขำไม่ได้ “ข้าปากไม่ดีเอง?”
ซูเจ๋อเดินไปที่โต๊ะเครื่องหอม เปิดลิ้นชักและหยิบปล้องไม้ไผ่อย่างดีสองอันที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมา และกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เรื่องที่ดีมักมีอุปสรรคเสมอ”
เขาเดินเข้ามาและจูงมือของเฉินเสียนออกไปนอกห้อง
เฉินเสียนก็ไม่รู้ว่ากำลังปลอบใจซูเจ๋อหรือปลอบใจตัวเอง “ตอนแรกข้าคิดว่า จากเรื่องราวที่เกิดขึ้นนั้น ข้าและท่านไม่น่าจะหลบหนีออกมาได้ง่ายดาย ถึงแม้มันจะดูหนักหนา แต่หากไม่ลองหาหนทางดู กลับรู้สึกว่าขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง… ”
เฉินเสียนตบหน้าผากของตัวเอง และเอามือปิดปากของเธอไว้ “นี่มันเหตุผลบ้าบออะไรกัน พูดออกมาข้ายังไม่เชื่อตัวเองเลย”
ซูเจ๋อกล่าว “ท่านอยากจะบอกว่า ได้มาอย่างง่ายดาย ก็มักจะไม่เห็นคุณค่าใช่ไหม?”
เฉินเสียน “อื้ม ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น แต่ที่ท่านพูดก็ดูมีเหตุผล”
เหตุการณ์ภายนอกดูวุ่นวายเพราะนักดาบหลวงที่มาถึงบนเรือ
เฉินเสียนมองไปที่ปล้องไม้ไผ่ในมือของซูเจ๋อ และกล่าวว่า “จริง ๆ แล้วท่านก็คิดเหมือนที่ข้าคิดใช่ไหม? ทุกอย่างผ่านมาได้อย่างราบรื่น จึงทำให้รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย ท่านดูสิท่านยังมีแผนสำรอง”
หลังจากออกมาจากประตู แสงสลัวก็ส่องเข้ามาที่ดวงตา ประกอบกับมีลมหนาวพัดเข้ามา เขาหรี่ตาลงและหันกลับมามองเธอ และยิ้มให้เธออย่างนุ่มนวล เวลานี้แล้วเขายังมีอารมณ์พูดจาหยอกล้อกับเฉินเสียนได้อีก “ใช่ที่ไหนกัน ข้าก็แค่เตรียมปล้องไม้ไผ่ไว้สองอันแค่นั้นเอง”
ตอนนี้เรืออยู่กลางแม่น้ำ มีบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น พวกเขากำลังจะลงไปในน้ำ ซูเจ๋อเตรียมปล้องไม้ไผ่มาเพื่อป้องกันการจมน้ำ
นักดาบหลวงขึ้นมาบนเรือได้สำเร็จ ในมือของพวกเขากำดาบไว้แน่น ทำให้คนบนเรือต่างพากันตกใจกลัวจนกรีดร้องออกมา
ซูเจ๋อจูงมือของเฉินเสียนมาที่ประตูลับ และเดินทะลุผ่านห้องลับบนเรือไปอย่างรวดเร็ว และกล่าวด้วยเสียงเบาว่า “ท่านจะต้องรู้ว่า การที่ข้าจะได้ท่านมาได้นี้ อันที่จริงแล้วมันไม่ง่ายเลย ข้าต้องรอให้ท่านเติบโต รอให้ท่านเกิดใหม่และเปลี่ยนแปลงชีวิตของข้า และปกป้องคนอื่นที่มายุ่งเกี่ยว และยังรอให้ท่านหันมารักข้า ไม่ง่ายเลยที่จะมีวันนี้ วันที่ท่านเชื่อมั่นในตัวข้า”
เฉินเสียนตกตะลึงกับทุกคำพูดของซูเจ๋อ และมือของพวกเขากุมไว้แน่นขึ้น แน่นขึ้น
ซูเจ๋อกล่าว “ในเมื่อได้มาครอบครองอย่างยากลำบาก จะมีเหตุผลอะไรที่จะไม่รักษาไว้ เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่กลัวความยากลำบากที่จะมาขวางกั้นอีก เพียงแค่ท่านไม่ปล่อยมือของข้าออก”
คำพูดของเขาบีบเข้าไปในหัวใจของเธอทีละคำ และทำให้เธอรู้สึกหนาวเย็นไปจนถึงอบอุ่นและร้อนแรงราวกับไหลเข้าสู่กระดูกและเลือดของเธอ
เหนือศีรษะของเขาเป็นเสียงฝีเท้าของนักดาบหลวงที่กำลังตรวจค้นทุกอย่างบนเรือ ทันใดนั้นเฉินเสียนก็รู้สึกขึ้นได้ว่า เพียงแค่เธอกุมมือของซูเจ๋อไว้ให้แน่น ก็ไม่มีเรื่องให้ต้องคิดมากแล้ว
ซูเจ๋อเปิดประตูลับบานสุดท้ายออก พวกเขามาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของเรือแล้ว มองไปยังแสงสลัว ๆ เรือมีความสั่นไหวเล็กน้อย เพราะถูกคลื่นซัดเข้ามา
ความตื่นตระหนกของนักท่องเที่ยวด้านบนยังคงดังต่อเนื่อง และเรือทั้งลำอยู่ในความโกลาหล
ซูเจ๋อมองเฉินเสียน และกล่าวว่า “กระโดดไหม?”
เฉินเสียนกุมมือของเขาแน่น และพยักหน้า
ในขณะที่นักดาบหลวงเหล่านั้นพากันตรวจค้นไปทุกซอกทุกมุมและทุกห้องนั้น ทั้งสองคนก็ได้จับมือกันกระโดดลงไปในเกลียวคลื่นแม่น้ำ
ยังเหลือห้องสุดท้ายที่ชั้นบน นักดาบหลวงใช้เท้าถีบไปที่ประตูเพื่อเปิดออก และเดินเข้าไปตรวจสอบ ภายในห้องว่างเปล่าไม่มีใคร เพียงแต่ฉากกั้นนั้นมีชุดสีดำแขวนไว้อยู่ และบนชุดนั้นก็มีรอยเลือด
คนที่เป็นหัวหน้าจับไปที่ชุดและกำไว้ในมือด้วยสายตาที่เฉียบคม และกล่าวว่า “พวกเขาต้องยังอยู่บนเรือลำนี้ ค้นหาให้ละเอียด! ดูในน้ำด้วย หากมีคนกล้ากระโดดลงไป ฆ่าไม่เหลือ!”
เรือลำนี้อยู่ตรงกลางแม่น้ำ น้ำในแม่น้ำสามารถรองรับเรือขนาดใหญ่ได้ แสดงว่าน้ำต้องมีความลึกมาก หากกระโดดลงไปต้องมีความอันตรายสูงมาก
ตั้งแต่ที่พวกเขาขึ้นมาบนเรือจนถึงตอนนี้ น่าจะยังไม่มีใครกล้าพอที่จะกระโดดลงไปในแม่น้ำ หัวเรือและท้ายเรือก็มีนักดาบหลวงยืนเฝ้าอยู่ ไม่มีใครกล้าขยับเขยื้อนไปไหน
แต่ว่าทั้งสองคนกระโดดจากประตูลับลงไปในแม่น้ำโดยตรงจากด้านล่างของเรือ ทำให้นักดาบหลวงไม่มีทางสังเกตได้
น้ำในแม่น้ำที่ไหลในคืนนี้นั้น ในกลางฤดูใบไม้ผลินี้ยังคงเผยให้เห็นถึงความหนาวเย็น เฉินเสียนไม่ทันที่จะหายใจออกมา เธอก็จมลงไปในน้ำ
เธอและซูเจ๋อยังคงประสานจับมือกันไว้แน่นและไม่ปล่อยมือออกจากกันง่าย ๆ
หลังจากที่จมลงและล่องลอยอยู่ในน้ำเวลาหนึ่ง ทั้งสองก็ลอยไปที่บริเวณหัวเรือ และได้สูดอากาศบริสุทธิ์อีกครั้งหนึ่ง
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมองไปที่ฝั่งตรงข้าม ซึ่งระยะห่างจากฝั่งค่อนข้างไกล
เธอต้องดำน้ำไปยังฝั่งตรงข้ามกับซูเจ๋ออย่างเงียบ ๆ และระหว่างทางไม่สามารถลอยขึ้นเหนือน้ำได้ มิฉะนั้น อาจมีความเสี่ยงที่จะถูกค้นพบ
ซูเจ๋อยื่นปล้องไม้ไผ่ให้เธอ ลูบผมที่เปียกของเธอด้วยนิ้วมือเย็นเฉียบ และกระซิบว่า “พร้อมไหม?”
เฉินเสียนใส่ปล้องไม้ไผ่ในปากของเธอและค่อย ๆ จมลงไปในน้ำ เช่นเดียวกับซูเจ๋อ
ทั้งสองค่อย ๆ ดำน้ำเข้าไปใกล้ฝั่งตรงข้ามทีละน้อยในน้ำที่เป็นคลื่น
แสงไฟบนเรือสาดสะท้อนตกลงบนผิวน้ำ ฉายแสงเป็นประกายระยิบระยับ
แต่ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะดำน้ำไปถึงฝั่งตรงข้ามได้สำเร็จ บริเวณฝั่งตรงข้ามก็มีกองกำลังทหารจากในวังหลวงมาเฝ้าสังเกตการณ์และล้อมทั้งสองฝั่งไว้
ในสถานการณ์เช่นนี้ เฉินเสียนและซูเจ๋อจะขึ้นไปบนฝั่งอย่างง่ายดายได้อย่างไร
ทั้งสองดำน้ำไปแถวต้นหลิวที่ยื่นออกไปในน้ำเพื่อหลบซ่อนตัว มีเพียงปล้องไม้ไผ่ชิ้นเล็ก ๆ เท่านั้นที่ลอยขึ้นมาจากผิวน้ำน้ำเพื่อหายใจเอาอากาศเข้าไป ซึ่งยากอย่างยิ่งที่จะเป็นที่สังเกตเห็นได้