ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 520 ข้าไม่มีทางห่างท่านแม้แต่ครึ่งก้าวหรอก
แต่เวลานี้จิตใจของอาณาประชาราษฎร์ไม่มั่นคงหดหู่ และท้องพระคลังว่างเปล่า แค่คิดก็สามารถรู้ได้ถึงจำนวนทหารที่จะมาสมัครแล้ว
ไม่เพียงแต่เมืองหลวง ยังมีแต่ละเมืองใหญ่บริเวณโดยรอบด้วย ราชสำนักใช้อำนาจให้มารับการเกณฑ์ทหาร ความตั้งใจคือช่วงเวลาที่สั้นที่สุดจะสามารถรับสมัครทหารได้จำนวนมาก กองกำลังทหารในเขตใต้ยิ่งมายิ่งมีแรงกำลังการต่อต้านที่ยิ่งใหญ่
การเกณฑ์ทหารกำหนดให้แต่ละครัวเรือนจะต้องมีผู้ชายอย่างน้อยหนึ่งคนเข้าร่วม และหากว่าไม่ยอมทำตาม หนุ่มวัยฉกรรจ์จะถูกจับใส่เพิ่มเติมให้ครบจำนวน
เพราะเรื่องการเกณฑ์ทหารในเมืองหลวง ความเป็นระเบียบเรียบร้อยเปลี่ยนจนกลายเป็นความวุ่นวายอย่างมาก แต่เนื่องจากมีทหารรักษาพระองค์ควบคุมอยู่ อาณาประชาราษฎร์เลยมิกล้าที่จะบุ่มบ่าม
พรุ่งนี้เป็นวันที่ทหารใหม่รวมพลกัน
แสงไฟสลัวในเรือนหลังเล็ก เหมือนกับว่าหญิงเจ้าของบ้านกับชายสามีของนางยังไม่ได้นอน
ชายเจ้าของบ้านก็คาดไม่ถึง ในวันเดียวกันที่ซูเจ๋อพูดคาดไม่ถึงว่ามันจะเป็นความจริง
ชายเจ้าของบ้านเป็นผู้ซ่อมแซมกำแพงเมือง ทหารที่เฝ้าประตูเมืองล้วนรู้จักเขา ดังนั้นไม่ว่าในกรณีใดๆเขาไปไม่ได้ เลยถือโอกาสทำตามที่ซูเจ๋อบอกไปเลย ไปสมัครเองและรับเป็นสองชื่อ บอกว่าเขามาสมัครแทนน้องชายของเขาสองคน พอถึงเวลามีเพียงสองคนที่ไป เบื้องบนไม่ได้ไปสนใจว่าผู้นี้เป็นใครในครอบครัวเขาหรอก
ผู้ใดก็ไม่อยากไปสนามรบแล้วล้มตาย หากฟ้าสางแล้วทั้งสองคนยังไม่มา ชายเจ้าของบ้านก็จะถูกส่งลากไปเป็นทหารใหม่ พอไปแล้วก็ยังไม่รู้ว่าจะมีชีวิตรอดมาหรือไม่
โชคดีที่เวลารุ่งสาง หญิงเจ้าของบ้านร้องไห้จนตาบวม ตอนที่เช็ดน้ำตา หน้าเรือนก็มีผู้มาเคาะประตู
นางรีบออกจากห้องไปเปิดประตู เห็นซูเจ๋อกับเฉินเสียนปกคลุมด้วยแสงและหมอกจางๆ ปรากฏตัวหน้าประตูเรือนของนาง
หญิงเจ้าของบ้านร้องไห้ราวกับบ่อน้ำพุ พอทั้งสองคนเข้ามาในเรือน หญิงเจ้าของบ้านคุกเข่าลงที่พื้น ร่ำไห้แล้วกล่าวขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าข้าทำเช่นนี้อาจจะไม่มีจิตใจที่เมตตา ข้ารับตั๋วเงินของพวกท่านไม่น้อย ไม่ได้ช่วยเหลือพวกท่านเท่าไหร่ และวันนี้ตอนนี้ยังต้องการให้พวกท่านไปเนรเทศเป็นทหารแทนสามีของข้า ……พวกท่านนั่นแหละที่เป็นผู้มีพระคุณของครอบครัวเรา……..”
เฉินเสียนพยุงนางลุกขึ้น แล้วกล่าวว่า “นายหญิงเคยช่วยเหลือลูกของพวกเรา ก็เป็นการช่วยที่ยิ่งใหญ่แล้ว พวกเราก็เพียงแค่ปะปนสวมใส่ชุดทหารออกนอกเมืองเท่านั้นเอง ทุกคนล้วนได้รับสิ่งที่ตัวเองต้องการไป”
ชายเจ้าของบ้านเดินเข้ามาในเรือน พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เข้าไปกองกำลังทหารใหม่ เพื่อออกนอกเมือง แต่หลังจากที่ออกนอกเมืองต้องการหลบหนีจากกองกำลังทหาร หากว่าถูกจับได้ จะถูกสังหารตายคาที่เลยนะ”
“นั่นก็เป็นเรื่องที่หลังจากออกนอกเมือง”เฉินเสียนกล่าว “รอหลังจากพวกเราไปแล้ว ท่านก็อย่าทำงานที่นี่เลย หาสถานที่ใหม่เริ่มต้นชีวิตใหม่สามคนพ่อแม่ลูกเถิด รออนาคตข้างหน้ากองทัพใหญ่มาโจมตีเมืองหลวง อาจจะเป็นอันตรายได้”
ชายเจ้าของบ้านตกตะลึง พวกเขารู้ว่าครั้งนี้ราชสำนักจะต้องรบแพ้หรือ? แต่ก่อนหน้าที่ซูเจ๋อพูดเป็นความจริง ครั้งนี้เขาก็ไม่กล้าซักถามข้อสงสัย และก็ไม่ถามมาก เพียงแค่พยักหน้ารับปาก
ทั้งสองคนเปลี่ยนชุดทหารใหม่ ม้วนผมขึ้นแล้วสวมหมวก และทาใบหน้าให้ดำคล้ำเล็กน้อย มองดูแล้วไม่เตะตาเท่าไหร่นัก
พอถึงสถานที่นัด มีทหารใหม่ที่พยายามที่จะหลบหนี สุดท้ายก็ตายคาที่เหมือนเชือดไก่ให้ลิงดู เหล่าทหารใหม่คนอื่นล้วนตกใจกลัว
ทหารเกณฑ์เมืองหลวงหลายหมื่นคน และทหารเกณฑ์แต่ละเมืองใหญ่หลายหมื่นคน ซึ่งรวมดูแล้วกองกำลังทหารราวแสนคนได้ แต่ทหารเหล่านี้ไม่เคยมีประสบการณ์การฝึกฝนเลย จะให้ไปสู้รบ สำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นเรื่องที่ทารุณมาก
เฉินเสียนกับซูเจ๋อถูกจัดเข้ากองกำลังกลุ่มเล็กห้าถึงสิบคน หลังจากที่รวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแบบลวกๆแล้ว นายทหารได้กล่าวคำสาบานสามเหล่าทัพแล้ว จากนั้นได้เปิดประตูเมืองออก กองกำลังทหารต่างทยอยกันเดินออกนอกเมืองหลวง
ทั้งสองคนเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน ในที่สุดก็ออกมานอกประตูเมืองจนได้
วันนี้ ฟ้ามืดเมฆน้อยเบาบาง ภูเขาสิบลี้นอกเมืองคล้ายดั่งทิวเขายาวเขียวขจีเป็นสีมรกต และทิวทัศน์ก็งดงามอย่างมาก
กรงเหล็กนี้ ถูกโยนทิ้งไว้ด้านหลัง อากาศด้านนอก เป็นไปตามที่เฉินเสียนคิด เป็นอิสระและสดชื่นมาก
เธอหยุดไม่ได้ที่จะยกยิ้มขึ้นมา
เส้นทางนี้ พวกเขาสองคนไม่จำเป็นต้องเบิกทางที่จะไปพบปะเข้ากับแม่ทัพโฮ้ว เพียงแค่ปะปนอยู่ในกองกำลังทหารเกณฑ์ใหม่นี้ ก็สามารถที่ลงใต้อย่างราบรื่นไม่มีอะไรมาขวางกั้น
ไม่อย่างนั้น หากเฉินเสียนกับซูเจ๋อกระทำเพียงลำพัง ตอนนี้แต่ละเมืองใหญ่ล้วนป้องกันอย่างเข้มงวด อยากจะข้ามผ่านไปได้ เกรงว่ายังต้องเหนื่อยยากลำบากครั้งหนึ่ง
ตอนที่พักกลางทาง ก่อตั้งค่ายขึ้นชั่วคราวและติดไฟเตรียมทำอาหาร อาหารเสบียงสิ่งจำเป็นที่กองทัพต้องการไม่ได้เตรียมการมาเพียงพอตั้งแต่แรก เป็นผลให้ตั้งแต่แรกเริ่ม ในกองกำลังเลยได้ลดจำนวนอาหารลง โดยการเก็บผักป่าบริเวณใกล้เคียงมาทดแทน
ก่อนออกศึกมีฉากที่เชือดไก่ให้ลิงดู ต่อมานายทหารที่รับดูแลทหารได้พูดอีกว่า หากใครกล้าหลบหนี ไม่เพียงแต่ชีวิตของคนนั้นผู้เดียวที่จะไม่รักษา แต่จะครอบครัวที่อยู่ในเมืองหลวงจะติดร่างแหด้วย ด้วยเหตุนี้จำนวนทหารที่อยากหลบหนีระหว่างทางเลยลดลง
ทหารใหม่เหล่านี้ส่วนหนึ่งสมัครใจเข้าร่วมเอง อีกส่วนหนึ่งเป็นผู้ที่ถูกจับมาเนรเทศ ทหารที่ถูกจับมาแน่นอนว่าเป็นคนบ้านนอกเฉยเฉิ่ม ตลอดเวลาต้องการกลับเรือนไปอยู่พร้อมเพียงกัน และทหารใหม่ที่สมัครใจด้วยตอนเอง ฮึกเหิมสง่าผ่าเผย กระหายใคร่อยากที่จะสั่งสมชื่อเสียงเลยมาอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวายนี้
ดังนั้นเบื้องบนเลยนำผู้ที่สมัครใจและผู้ที่ถูกจับมารวมผสมเข้ากลุ่มด้วยกัน เพื่อให้ต่างฝ่ายต่างสอดแนมซึ่งกันและกัน หากพบว่ามีผู้ที่ต้องการหลบหนี ให้รีบรายงานจับกุมทันที รับผลงานชั้นยอด กลายเป็นหัวหน้ากองกำลังทหารกลุ่มเล็ก
ตอนนี้เฉินเสียนกับซูเจ๋ออยู่ในกองกำลังทหารกลุ่มเล็ก เป็นพวกเขาสองคนที่สมัครใจมาเป็นทหาร คนอื่นๆอีกสี่ห้าคนนั้นล้วนถูกการใช้อำนาจจับมาเนรเทศเกณฑ์ทหาร
เฉินเสียนกับซูเจ๋อนั่งพักอยู่สถานที่หนึ่ง ไม่กี่คนนั้นก็ค่อนข้างเห็นอกเห็นใจพวกเดียวกันนั่งรวมกันอยู่อีกที่หนึ่ง
ซูเจ๋อกล่าวพูดกับเธอเบาๆว่า “หลังรอจากฟ้ามืดแล้ว ข้าจะพาท่านหนีไป”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าไม่ไป”
แม้ว่าจะจงใจทาหน้า แต่ก็ไม่สามารถปิดบังเค้าโครงใบหน้าของซูเจ๋อได้ และยังมีหน้าตาคิ้วที่ยาวเล็กดูดีท่าทางที่เขาพูดคุยดูสูงส่งล้ำค่าปรากฏออกมาด้วย ซูเจ๋อเลิกคิ้วขึ้น ไม่ปริปากพูดสักพักกล่าวขึ้นว่า “ไม่ไปหรือ?”
เฉินเสียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเล็กละเอียดว่า “ถึงอย่างไรก็ต้องลงใต้ไปพบปะกับแม่ทัพโฮ้ว พวกเราเคลื่อนไหวกันเองมันวุ่นวายอยู่บ้าง สู้ไม่ได้กับไปในกลุ่มทหารนี่หรอก ยังสามารถที่จะสืบเสาะสถานการณ์ในกลุ่มทหารได้ พวกเรากับแม่ทัพโฮ้วด้านนอกโจมตีด้านในร่วมมือ ไม่ดีหรืออย่างไร?”
ซูเจ๋อหักตอหญ้า ใช้นิ้วหมุนอย่างเอ้อระเหย ผ่านไปสักพักหนึ่งถึงได้กล่าวอย่างไตร่ตรองว่า “ในค่ายทหารไม่ควรเป็นการเล่นแบบเด็กๆ มันจะยากลำบาก”
“ข้ารู้ หากข้าไม่สามารถรับรู้ความยากลำบากร่วมกันกับพวกเขา เช่นนั้นจะสามารถเห็นอกเห็นใจเข้าใจชัยชนะที่ได้มาอย่างไม่ง่ายดายของสามเหล่าทัพได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องที่ข้าควรจะมีประสบการณ์ ไม่สามารถจะเป็นเพราะว่ากลัวลำบาก ก็หลบหนีไป”เฉินเสียนเอียงศีรษะมองซูเจ๋อ กล่าวถามว่า “ท่านรู้สึกว่าอย่างไร?”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “แต่นี่เป็นกองกำลังทหาร ทั้งหมดล้วนเป็นชาย”
เฉินเสียนหรี่ตามอง กระแอมไป ยิ้มอย่างอ้อยอิ่งกล่าวว่า “ข้าไม่มีทางห่างท่านแม้แต่ครึ่งก้าวหรอก”
ซูเจ๋อเป็นชายผู้หนึ่งอยู่ในค่ายทหารไม่ได้มีอะไรเลย สภาวะแวดล้อมอย่างไรพวกเขาล้วนปรับตัวได้ ที่อยากจะพาเฉินเสียนหลบหนีไป เพราะว่าเธอเป็นหญิงสาว อีกทั้งซูเจ๋อตัดใจไม่ลงที่จะให้เธอลำบาก
แต่ตอนนี้เฉินเสียนยืนหยัดที่จะอยู่ สำหรับเธอเป็นการทดสอบชนิดหนึ่ง สุดท้ายซูเจ๋อก็คล้อยตามเธอ