ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 530 ล้วนเป็นเพราะชาติบ้านเมืองกับอำนาจมีท่าน
พระจันทร์ค่ำคืนนี้สว่างยิ่ง เมื่อออกจากประตูพลันเห็นแสงสาดส่องทุกทิศทางของลานบ้าน ซึ่งเผยโครงสร้างของตัวบ้านและเงาต้นไม้อย่างคลุมเครือ
ซูเจ๋อหยุดเดินแล้วยืนอยู่ที่ระเบียงทางเดิน เขาบิดตัวไปด้านข้าง ก่อนจะมองไปที่ระเบียงทางเดินอีกทาง
ซึ่งระเบียงทิศทางนี้มีแม่ทัพโฮ้วที่ยังไม่ได้จากไป ยืนมองซูเจ๋ออุ้มเฉินเสียนอยู่ใต้แสงจันทร์อย่างเงียบๆ แม่ทัพโฮ้วไม่ได้เมาเฉกเช่นเมื่อสักครู่ ถึงแม้จะมีกลิ่นเหล้าตามตัว แต่แววตากลับมีสติยิ่งนัก
เหลียนชิงโจวเฝ้าอยู่ข้างกายแม่ทัพโฮ้ว ด้วยเกรงว่าแม่ทัพโฮ้วดื่มหนักแล้วจะทำเรื่องเหลวไหล ไม่กล้าไปไหนชั่วขณะ
แม่ทัพโฮ้วแค่ใช้เหล้าเป็นเครื่องมือในการพูดซี้ซั้ว เพื่อจะได้เผยเรื่องของซูเจ๋อด้านที่เป็นความลับออกมา
ซูเจ๋อหันหน้าปรายตามองอย่างราบเรียบ เกิดแสงดวงจันทร์สีเงินระคนความเย็นหนาวสะท้อนดวงตาเจือจาง เงียบสงัดราวกับเป็นบ่อน้ำลึก ไม่มีคลื่นกระแสใดๆ
เป็นเพราะยากแก่การหยั่งถึง จึงเป็นแววตาเงียบงันที่น่ากลัวกว่าพยัคฆ์และหมาป่า
แม่ทัพโฮ้วรู้ว่าอันนี้คือด้านที่เขาลึกล้ำ ยากแท้หยั่งถึง ซูเจ๋อมองทะลุปรุโปร่งทั้งหมด ทว่ายังไม่ไร้ทีท่า คล้ายกับว่ารู้เจตนาที่แม่ทัพโฮ้วกล่าวแต่แรกเริ่มแล้ว
เพียงแต่ซูเจ๋อไม่ขัดขวาง ไม่เปิดโปง เขาเหมือนกับไม่ใช่คนที่ถูกกล่าวถึง เห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา ทว่ากลับไม่แสดงท่าทีแต่อย่างใดและไม่มีใครดูออกว่าต่อจากนี้เขาจะวางอุบายเช่นไรต่อ
จากนั้นซูเจ๋อก็ละสายตากลับมา เขาอุ้มเฉินเสียนเข้าห้องอย่างไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
แม่ทัพโฮ้วไม่วางใจ ยกเท้าขึ้นเพื่อจะตามไปด้วยจิตใต้สำนึก หากแต่ถูกเหลียนชิงโจวดึงตัวไว้
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “แม่ทัพโฮ้วท่านมีสติหน่อย หากอาจารย์ประสงค์ร้ายต่อองค์หญิงจริงๆ เหตุใดต้องรอถึงวันนี้”
แม่ทัพโฮ้วเอามือลูบหน้า พลางกล่าวว่า “ข้าไม่กลัวเขาจะประสงค์ร้าย แต่เป็น……”
หากเมื่อครั้งอดีต ซูเจ๋อคอยช่วยเหลือเฉินเสียนอย่างสุดความสามารถ แม่ทัพโฮ้วต้องสนับสนุนพวกเขาเต็มที่อยู่แล้ว เพียงแต่ ณ ตอนนี้ สถานการณ์เปลี่ยนไป ความหวังที่กองทัพใหญ่คว้าชัยชนะจากการบุกสู้รบทางตอนเหนือกองอยู่ตรงหน้าแล้ว เขาจำเป็นต้องระวังซูเจ๋อไว้ให้ดี
แม่ทัพโฮ้วยอมรับว่าการข้ามแม่น้ำได้แล้วรื้อสะพานทิ้ง(ถีบหัวส่งหลังได้รับผลประโยชน์)เป็นสิ่งต่ำช้า หากแต่ครั้งโบราณกาลก็เป็นเยี่ยงนี้ บัลลังก์กับความมักใหญ่ใฝ่สูง เขาไม่ระวังไม่ได้
ต้าฉู่รับมือกับกลียุคหนที่สองไม่ไหวแล้ว
แม่ทัพโฮ้วไปช้าจากการถูกเหลียนชิงโจวดึงตัวไว้ ซูเจ๋อก็อุ้มเฉินเสียนเข้าไปภายในห้องแล้ว
หน้าต่างมีแสงจันทร์ทอประกายแสงเรืองไรเข้ามา เขาวางเฉินเสียนไว้บนเตียงอย่างเบามือ ช่วยเธอดึงมาผ้ามาคลุม กล่าวว่า “นอนเถอะ”
เขายืนอยู่หน้าเตียงสักพัก พอเฉินเสียนหายใจมั่นคง ซึ่งเป็นสัญญาของการหลับแล้ว จึงหันกายเตรียมจะจากไป
ใครจะรู้ว่าเฉินเสียนไม่ได้นอนหลับ คว้ามือของซูเจ๋อไว้กะทันหัน
เธอถามด้วยเสียงอู้อี้ “ซูเจ๋อ ท่านจะไปไหน?”
ซูเจ๋อกล่าว “หากข้าไม่ไป เกรงว่าแม่ทัพโฮ้วจะยืนอยู่ด้านนอกครึ่งคืน”
เฉินเสียนกล่าว “หากท่านออกไปแล้ว ไม่กลัวข้าคิดถึงท่านทั้งคืนหรือไร? ไม่ต้องไป อยู่เป็นเพื่อนข้า”
ซูเจ๋อยกคิ้วขึ้น กล่าวว่า “งั้นก็ปล่อยให้แม่ทัพโฮ้วยืนครึ่งคืนเถอะ”
ซูเจ๋อก้มตัวนอนบนเตียงของเธอ เฉินเสียนก็ขยับกายเข้าใกล้แล้วอยู่ในอ้อมแขนของเขา คล้ายกับตอนอยู่ในค่ายทหารทุกคืน เธอนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา ชอบใช้มือจับเสื้อผ้าเขาถูเล่นครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่เบื่อหน่าย
เฉินเสียนทำอย่างนี้ติดเป็นนิสัยเสียแล้ว เกรงว่าวันข้างหน้าก็คงเลิกไม่ได้แล้ว
ซูเจ๋อกอดคนในอ้อมแขนอย่างแนบแน่น กล่าวว่า “คำพูดของท่านแม่ทัพโฮ้วในคืนนี้ ท่านเคยคิดไหมว่าเขามีวัตถุประสงค์อะไร?”
เฉินเสียนทำเสียงนกนางแอ่นร้อง “เขาคงอยากให้ข้ารู้ธาตุแท้ของท่าน”
ซูเจ๋อหัวเราะเลือนราง กล่าวว่า “เมื่อก่อนไม่มีอะไร แต่ตอนนี้ใกล้จะทำการใหญบรรลุแล้ว จึงเริ่มกังวลใจขึ้นมา วันนี้เขาเห็นข้ากับท่านเดินจูงมือกัน จึงเริ่มไม่สบายใจ ขุนนางราชวงศ์ก่อนก็ต้องรู้สักวันว่า ข้าไม่ได้ไร้พิษไร้ภัยอย่างที่เห็น”
เฉินเสียนกอดเขาอย่างแน่นหนึบ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านออกมาจากกระดูก
“อาเสียน หากอนาคตข้างหน้าทุกคนคัดค้านการอยู่ด้วยกันของพวกเราล่ะ” ซูเจ๋อกล่าวด้วยความพินิจพิจารณา
เฉินเสียนตัดบทพูดเสียงเบา “ข้าสนใจความคิดเห็นของทุกคนไม่ได้ ข้าสนใจแต่ตัวเอง ผู้ชายของข้า คนอื่นห้ามยุ่ง”
เฉินเสียนกล่าว “ถึงแม้แม่ทัพโฮ้วไม่ได้พูดกระไร ข้าก็รู้อยู่ก่อนแล้วไม่ใช่หรือ? ขอแค่เพียงอยากรู้รายละเอียดมากขึ้นเท่านั้นเอง ข้าไม่ตกใจหรือผิดหวังเลยสักนิด ข้าแค่ปวดใจและเสียใจที่ไม่ได้อยู่ฝ่าฟันอุปสรรคขวากหนามไปพร้อมกับท่าน แม่ทัพโฮ้วอยากให้ข้าเห็นกระจ่างอันใด ข้ากระจ่างกว่าใครอื่นแต่แรกแล้ว ไม่ว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบหรือมืดมิดไม่พบแสงสว่าง ท่านก็ยังคงเป็นสุดที่รักของข้า ถึงแม้สุดท้ายทุกคนจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่อาจทำให้ข้าสั่นคลอนได้”
ซูเจ๋อจับศีรษะของเฉินเสียน ยามนี้เขารู้สึกเหมือนมีบางสิ่งอัดอยู่ในหัวใจของเขา เขายื่นมือจับเรือนผมเงางามของเธอ ก่อนประทับรอยจูบบนหน้าผากเธอ “อาเสียน ท่าเมาแล้ว”
เฉินเสียนหัวเราะเสียงเบา “ข้ารู้สึกตัวดี ข้าเข้าใจ มันไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ ในเมื่อสิ่งที่ได้มาอย่างยากเย็นแสนเข็ญก็ได้มาครอบครองแล้ว ไยต้องคุยเรื่องละทิ้งด้วย”
เธอหลับตา จากนั้นก็ส่งเสียงอ่อนลง “ชาติบ้านเมือง อำนาจ ไม่ได้วิเศษวิโสเท่าท่านเลย เดิมทีข้าก็ไม่สนใจกับสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว เพียงแต่เพราะในชาติบ้านเมืองกับอำนาจมีท่านอยู่ ข้าจึงไขว่คว้ามัน”
บรรยากาศยามราตรีด้านนอกหนาวเย็น เงียบกริบดั่งชลธาร
แม่ทัพโฮ้วยืนมองได้สักพัก หากแต่ยังไม่เห็นซูเจ๋อออกมา เห็นทีจะไม่ออกมาเสียแล้ว
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “แม่ทัพโฮ้วกลับกันเถอะ”
แม่ทัพโฮ้วหันกลับอย่างแข็งทื่อ ก่อนจะสาวเท้าก้าวออกไปพร้อมกับเหลียนชิงโจว เหลียนชิงโจวผู้ซึ่งสวมอาภรณ์สีเขียวกล่าวอย่างสุภาพว่า “ในสมัยราชวงศ์ก่อน แม่ทัพโฮ้วประจำการอยู่ในเขตชายแดน งั้นข้าก็ขอเล่าเรื่องที่ท่านแม่ทัพไม่ทราบ ข้ากับองค์หญิงร่ำเรียนวิชาด้วยกัน ใต้เท้าซูเข้ามาเป็นอาจารย์ในโรงเรียนไท่ตั้งแต่ยังหนุ่ม ซึ่งเป็นอาจารย์ของพวกข้า เขาสอนองค์หญิงเพียงควรทำเช่นไร ไม่เคยทำแทนหรือตัดสินใจแทนนางเลย และจุดนี้ก็คือคุณค่าที่เขาเป็นอาจารย์
อาจารย์เฝ้าดูองค์หญิงจนเติบใหญ่ ต่อมาตระกูลข้าประสบเภทภัย อาจารย์จึงช่วยข้าไว้ ทั้งยังสอนข้าทำการค้า ข้าทำการค้ากับเขามาแปดปี ทรัพย์สินที่สั่งสมมาตลอดแปดปีนี้ก็เพื่อใช้ในการทหารยามนี้ จะได้สู้รบครั้งเดียวก็คว้าชัยชนะได้เลย”
แม่ทัพโฮ้วกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “เกรงว่าใต้หล้านี้ คงไม่มีใครเทียบการวางแผนที่ครอบคลุม รอบคอบและยาวไกลกับเขาได้แล้ว”
เหลียนชิงโจวกล่าว “ท่านแม่ทัพ ท่านว่าความรักที่คนคนหนึ่งมีต่ออีกคนต้องลึกซึ้งถึงขั้นไหนจะทำให้ยี่สิบกว่าปีราวกับหนึ่งวัน โดยไม่เคยเหินห่างไปไกล? ถึงแม้ตัวเองต้องตกอยู่ในน้ำวนที่อันตราย ยากแก่การเอาตัวรอด แต่ก็ยังคงอดกลั้นฝืนทน รักษาแสงสว่างอันริบหรี่ไว้”
แม่ทัพโฮ้วเม้มปากไม่ตอบ
เหลียนชิงโจวกล่าวว่า “ประหนึ่งองค์หญิงก็คือแสงสว่างของเขา ท่านกล่าวว่าเขาช่วยเหลือเพื่อตอบแทนพระคุณของจักรพรรดิผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่ข้าน้อยกลับรู้สึกว่า เขาอยากให้องค์หญิงมีอนาคตที่สดใสไร้กังวล ท่านคาดการณ์ว่าเขามีเจตนาแอบแฝง หากแต่เหตุใดเขาต้องบ่มเพาะองค์หญิงกลายเป็นผู้เฉียบขาดและห้าวหาญเฉกเช่นทุกวันนี้ เหตุใดเขาต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อช่วยองค์หญิงด้วย”
สุดท้ายแม่ทัพโฮ้วจึงกล่าวเพียงว่า “เรื่องราชสำนักจำต้องรอบคอบและระวัง”
เหลียนชิงโจวเห็นแม่ทัพโฮ้วกลับไปพักผ่อนในห้องแล้วพลันถอนหายใจยาวหนึ่งเฮือก รัตติกาลนี้เขาเห็นซูเจ๋ออุ้มเฉินเสียนเข้าห้องแล้วเขารู้สึกอิ่มเอมใจยิ่ง