ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 533 อาจารย์ซู ระวังคำพูดท่านหน่อย
ระยะเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่วัน ก็มีคนมาสมัครเข้าเป็นทหารจำนวนมาก แม่ทัพโฮ้วจึงไม่มีเวลามาคิดเรื่องของเฉินเสียนและซูเจ๋อ
ตามจำนวนทหารในค่ายทหารตอนนี้นั้น ไม่มีความจำเป็นต้องรับทหารใหม่เพิ่มอีกแล้ว
อีกทั้งทหารใหม่เหล่านั้นต่างก็เป็นกองกำลังเสริมที่หลบหนีจากความพ่ายแพ้ในราชสำนักเมื่อไม่กี่วันก่อน ส่วนใหญ่เป็นพวกราษฎร หากรับพวกเขาทั้งหมดเข้าค่ายทหาร เกรงว่าาจะควบคุมฝีมือได้ไม่สม่ำเสมอ
แม่ทัพโฮ้วไม่สามารถรับพวกเขาเข้าค่ายทหารได้ทั้งหมด ทำได้เพียงส่งพวกเขากลับไปเมืองหลวงเมื่อสงครามสงบลง
ทหารใหม่ไร้ที่อยู่อาศัยเหล่านี้ที่มาใช้ชีวิตล่องลอยอยู่ที่เมืองขุยก็สิ้นเปลืองอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่สามารถปล่อยทิ้งละเลยพวกเขาไปไม่ได้ มิเช่นนั้นก็จะมีผู้ประสบภัยเพิ่มมากขึ้นทุกหนทุกแห่ง ในเมืองที่เพิ่งจะสงบลงก็จะกลับมาวุ่นวายอีกครั้งในที่สุด
ซึ่งอาจจะทำให้แม่ทัพโฮ้วกังวลใจไปกันใหญ่
เหลียนชิงโจวกล่าวกระตุ้นกล่าว “ทำไมไม่ไปถามท่านอาจารย์ เขาจะต้องมีวิธีจัดการที่ดีแน่”
แม่ทัพโฮ้วจำได้ว่าเขาเคยเตือนให้เฉินเสียนระวังซูเจ๋อ หากจะต้องไปขอคำแนะนำก็ไม่ได้รู้สึกกดดันและลำบากใจอะไร แม่ทัพโฮ้วเป็นคนรู้จักปล่อยวาง เขาแข็งแกร่งและกล้าหาญ และอยู่ในค่ายทหารมาหลายสิบปีแล้ว ดูออกว่าเป็นคนหน้าหนาไม่เกรงกลัวใด ๆ อีกทั้งนี่เป็นเรื่องใหญ่ของราษฎร จึงไม่อาจประมาทไปได้
ดังนั้นเขาจึงลดละอคติชั่วคราวและไปพบซูเจ๋อ
ในเวลานี้ ซูเจ๋อกำลังสอนให้เฉินเสียนเรียนรู้กระบะทราย ทั้งสองคนอยู่ในค่ายทหาร
แม่ทัพโฮ้วไม่กล้าส่งเสียงรบกวน เมื่อเห็นสีหน้าของซูเจ๋อที่กำลังแนะนำอย่างละเอียดลออ จากการเรียนรู้ศึกษาวิธีการรบการทำสงครามในสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างกันออกไปบนกระบะทรายนี้ เฉินเสียนเรียนรู้อย่างตั้งอกตั้งใจ
ถึงแม้ว่าเฉินเสียนไม่จำเป็นต้องเป็นผู้นำทหารไปออกรบ แต่เธอก็จำเป็นต้องรู้วิธีการทางการทหาร เข้าใจเรื่องพวกนี้ไว้บ้างก็ไม่ได้เสียหายอะไร
แม่ทัพโฮ้วสงสัยอยู่สักพักหนึ่ง ยังมีเรื่องอะไรที่ซูเจ๋อทำไม่ได้บ้าง
หรือเหลียนชิงโจวจะพูดถูก หากซูเจ๋อไม่ซื่อสัตย์และคิดทรยศ เขาจะลำบากมาสอนองค์หญิงเรื่องแบบนี้ไปทำไม เขาสามารถที่จะปลูกฝังให้องค์หญิงเป็นคนที่พึ่งพาเขาได้ทุกอย่าง แต่เขาไม่ได้ทำอย่างนั้น องค์หญิงมีวันนี้และเป็นคนรับผิดชอบที่เด็ดเดี่ยวแบบนี้ได้ เป็นเพราะเขาคอยแนะนำและให้คำปรึกษา
ตอนนี้เฉินเสียนดูใส่ใจตั้งใจและขะมักเขม้น และไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของแม่ทัพโฮ้ว
ซูเจ๋อวางนิ้วลงที่ธงเล็ก ๆ ของกองทัพทั้งสองบนกระบะทรายและจัดวางกองกำลังทหารใหม่กับเฉินเสียน และเป็นจังหวะดีกล่าวทักทาย “แม่ทัพโฮ้วมีธุระอะไรหรือ?” เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่ก็รู้ว่าแม่ทัพโฮ้วมาถึงนานแล้ว
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยิน และพบว่าแม่ทัพโฮ้วยืนอยู่ จึงกล่าวว่า “แม่ทัพโฮ้วมาตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว ทำไมมาไม่ให้ซุ่มไม่ให้เสียงเลย?”
อาจเป็นเพราะเขาค่อย ๆ ปล่อยวางปัญหาที่มี แม่ทัพโฮ้วจึงกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ “ดูที่ใต้เท้าซูฝึกวิชาการรบ ข้าก็ได้เรียนรู้ไม่น้อยเลยทีเดียว”
ซูเจ๋อไม่ได้แปลกใจอะไร เมื่อตอนทหารราชสำนักพ่ายแพ้ ทหารจำนวนมากกระจัดกระจายอยู่ข้างนอก หลังจากที่พวกเขาเฝ้าดูกองทัพที่ชายแดนทางใต้และไม่ได้มีทีท่าฆ่าพวกเขาทั้งหมด ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่พวกเขาจะพากันมาขอลี้ภัยกัน
ตอนนี้ต้าฉู่เต็มไปด้วยความอดอยากและสงคราม หากพวกเขาไม่มาขอลี้ภัย ด้วยกำลังของตัวเองนั้น พวกเขาไม่สามารถกลับไปยังเมืองหลวงที่อยู่ห่างออกไปหลายพันลี้ได้
ซูเจ๋อถามเฉินเสียน “อาเสียน ท่านมีความคิดเห็นว่าอย่างไร”
เขาถามความคิดเห็นของเฉินเสียน แต่เขาไม่ได้ออกความเห็นแทนเธอ รายละเอียดนี้ตกไปอยู่ในสายตาของแม่ทัพโฮ้ว ซึ่งเป็นความรู้สึกลึกลับอีกอย่างหนึ่ง
เฉินเสียนครุ่นคิดและกล่าวว่า “แม่ทัพจัดการอย่างไรกับราษฎรประชาชนที่ประสบภัยพิบัติในแต่ละพื้นที่?”
แม่ทัพโฮ้วถอนหายใจและกล่าวว่า “ในเมืองหลวงแจกจ่ายข้าวต้มตามจุดต่าง ๆ และมีการแจกจ่ายเมล็ดพืชเพื่อให้ประชาชนสามารถเพาะปลูกในดินแดนที่แห้งแล้งได้พ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกล่าว “หากตอนนี้จะทำแบบนั้นบ้างไม่ได้หรือ?”
แม่ทัพโฮ้วถอนหายใจและกล่าวว่า “ที่ดินนอกเมืองได้รับการจัดสรรให้ประชาชน และไม่มีที่ดินเหลือว่างอีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ตอนที่พวกเรามาที่ค่ายทหาร เห็นได้ชัดว่ายังมีพื้นที่รกร้างขนาดใหญ่นอกเมืองที่ไม่ได้ทำการเกษตร”
แม่ทัพโฮ้วกล่าว “ในช่วงภัยพิบัติ ผู้คนอดอยากและสงครามเช่นนี้ มักมีคนเกียจคร้านมาคอยอาศัยเสบียงจากกองทัพทุกวันเพื่อประทังชีวิต”
เฉินเสียนไม่ได้แสดงสีหน้าแต่อย่างใด ในขณะที่เธอยุ่งกับการปรับโยกธงในกระบะทราย พร้อมกับกล่าวว่า “แค่การบริโภคเสบียงในค่ายทหารเองก็ช่างสิ้นเปลืองจนน่าตกใจแล้ว ทำไมยังต้องเกื้อหนุนพวกคนขี้เกียจพวกนั้นอีก ออกคำสั่งออกไป หากที่ดินที่จัดสรรไว้ไม่ได้ทำการเพาะปลูกภายในสองวัน ให้ยึดที่ดินคืนและจัดแจงให้กับทหารใหม่ มีคนจำนวนมากที่ต้องการที่ดินและทรัพยากรจะต้องไม่สูญเปล่าไม่เช่นนั้นจะเกิดภัยพิบัติความอดอยากอีกครั้งหลังเข้าฤดูหนาว หากนอกเมืองไม่มีดินเพียงพอ ก็ขยับขยายออกไป เพียงแค่ให้ทหารใหม่ได้มีที่ดินทำกินมีพืชผลทางการเกษตร รอให้มีผลผลิตเกิดขึ้น เมื่อพืชผลหยั่งรากในดินพวกเขาจะยังเต็มใจที่จะออกจากที่นี่ก่อนการเก็บเกี่ยวในปีนี้หรือไม่?”
แม่ทัพโฮ้วรู้สึกดวงตาสว่างมากขึ้น หากเป็นเช่นนี้ไม่เพียงแต่ทำให้ทหารใหม่มีที่ปักหลัก แถมยังทำให้คำสั่งและระเบียบต่าง ๆ มีเสถียรภาพขึ้นได้ เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ตราบใดที่ทหารเกณฑ์ใหม่เหล่านี้ไม่ออกไปเคลื่อนไหวในระหว่างสงคราม ก็สามารถแก้ปัญหานี้ได้
เฉินเสียนเงยหน้าขึ้นมามองเขา และกล่าวว่า “จัดสรรหาให้แต่ละคนมีพื้นที่ทำกินหนึ่งในสามไร่ของพื้นที่ เพื่อทำให้ทั้งในเมืองหลวงและนอกเมืองหลวงสงบเรียบร้อยมากขึ้น ปีนี้อากาศค่อนข้างดีเลย หากรีบหว่านเมล็ดลงปลูก จะต้องได้ผลผลิตดีมากแน่นอน”
แม่ทัพโฮ้วประสานมือขึ้นและกล่าวด้วยความยินดี “ข้าเห็นด้วยกับวิธีการนี้! ใต้เท้าซูมีความเห็นอย่างไรบ้าง?”
ซูเจ๋อเม้มริมฝีปากและกล่าวว่า “ทำตามที่องค์หญิงบอกเถอะ อีกอย่าง แม่ทัพโฮ้วยังสามารถจัดการให้พวกเขาตัดไม้และสร้างบ้านเรือนเพื่อให้พวกเขามีที่อยู่อาศัยได้ภายในสามหรือสองวัน”
แม่ทัพโฮ้วกล่าว “ได้เลย ข้าจะไปกระจายคำสั่งเดี๋ยวนี้เลย มีทหารว่างงานจำนวนมากในค่ายทหาร อย่านับแต่การซ่อมแซมบ้านเรือน การซ่อมแซมเมืองก็ไม่เป็นปัญหา!”
หากต้องการพัฒนาเมืองหรือเขตการปกครอง การซ่อมแซมบ้านเรือนของประชาชนราษฎรสำคัญเป็นขั้นตอนแรก ด้วยความพยายามของพวกเขา ทำให้เมืองขุยในอนาคตข้างหน้า จะต้องพัฒนาไปกว่าเมืองขุยในตอนนี้มากกว่าหลายเท่าตัว
ตอนนี้ทหารใหม่ได้เข้ามาตั้งรกรากที่นี่แล้ว พวกเขามีบ้านและที่ดินทำกินแล้ว เมื่อรอให้ผ่านพ้นปีนี้ไป ก็จะมีผลผลิตเกิดขึ้น ใครยังจะอยากเดินทางออกไปจากที่แห่งนี้?
หากเมืองขุยเจริญขึ้นและพัฒนาไปในทางที่ดี เกรงว่าเหล่าญาติ ๆ ที่อยู่กันในเมืองหลวงจะพากันย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองขุยกันหมด
แม่ทัพโฮ้วออกไปจัดการทันที หลังจากออกจากกระโจม เขาก็ได้ยินเฉินเสียนพูดอย่างแผ่วเบา “เมื่อกี้ฝึกไปถึงไหนแล้ว? มาฝึกอีกรอบหนึ่งเถอะ ซูเจ๋อ ท่านไม่ยอมให้ยอมอ่อนข้อให้ข้าบ้างเลยหรือ?”
ซูเจ๋อกล่าวออกมาอย่างไม่สนใจ “ยอมอ่อนข้อให้ท่าน? กองทัพทั้งสองต่อสู้กันเอง ท่านจะให้กองกำลังของศัตรูยอมอ่อนข้อให้ท่านด้วยงั้นหรือ”
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร แม่ทัพโฮ้วได้ยินดังนั้นกลับรู้สึกอารมณ์ดีเป็นพิเศษ และเขามีแรงจูงใจที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ราวกับเขาก็เหมือนกับทหารทั้งหลายที่ต้องการมองเห็นอนาคตของต้าฉู่
ซูเจ๋อพูดง่ายกับทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องเดียวคือการสอนและแนะนำเฉินเสียนเกี่ยวกับการทหารและการปกครองอาณาจักร ซึ่งไม่สามารถถอยหรือต่อรองได้เลย
เขาแค่ต้องการให้เฉินเสียนล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่เพราะนิสัยที่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ของเฉินเสียน จะทำให้เธอยิ่งต่อสู้ยิ่งกล้าหาญแข็งแกร่งมากขึ้น และทำให้เธอเปลี่ยนไปในทางที่ดียิ่ง ๆ ขึ้น
ในอดีต ซูเจ๋อให้เธออ่านตำราหนังสือทางการทหารและปกครองประเทศ ซูเจ๋อไตร่ตรองและฝึกฝนซ้ำ ๆ กับเธอจนกระทั่งเฉินเสียนสามารถจดจำและใช้ได้อย่างคล่องตัว
เฉินเสียนยิ้มและกล่าวว่า “คงไม่มีอาจารย์คนไหนที่มีความเพียรพยายามเหมือนท่านอีกแล้ว”
“ช่วยไม่ได้ ข้ามีท่านเป็นลูกศิษย์แค่คนเดียว ต้องเข้มงวดหนักแบบนี้แหละ” ซูเจ๋อกระซิบข้างหูของเธอ “หลังจากเลิกเรียน ท่านอยากให้ข้าอ่อนโยนมากแค่ไหน ข้าจะทำตามที่ท่านปรารถนา”
ลมหายใจร้อนอย่างกะทันหันทำให้เฉินเสียนตัวสั่นเล็กน้อย เธอกระแอมในลำคอ ปกปิดความเขินอายของเธอ และกล่าวว่า “อาจารย์ซู ระวังคำพูดท่านหน่อย”