ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 535 บังเอิญจัง ข้าก็พักที่กระโจมหลังนี้
เฉินเสียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า “เกาเหลียง การใช้ชีวิตในกองทัพไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ นะ หากจะเป็นทหาร ต้องอดทนกับความยากลำบากได้ ออกไปฆ่าศัตรูในสนามรบ เจ้าต้องอยู่ข้างหน้า และมีโอกาสตายได้ทุกเมื่อ”
“หากข้าห่วงหน้าพะวงหลัง รักตัวกลัวตาย ชีวิตนี้ก็คงไม่มานั่งคุกเข่าอยู่ต่อหน้าองค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ!”
สิ่งที่เธอรอคอยคือ คำตอบความมุ่งมั่นของเกาเหลียง
เฉินเสียนหันกลับมา และกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้ามีความกล้าหาญต้องการให้ข้าขอบใจเจ้า งั้นข้าก็จะให้โอกาสเจ้า เริ่มจากการยกแผ่นไม้ สร้างบ้านเรือนที่อยู่อาศัย หากไม่เป็นไปตามที่ข้าคาดหวังไว้ เจ้ามีโอกาสถูกขับไล่ออกจากค่ายทหารได้ทุกเมื่อ เจ้าพร้อมไหม? เจ้าเงยหน้าขึ้นมาแล้วตอบข้า”
เกาเหลียงเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ มองไปที่ผู้หญิงที่ตรงไปตรงมาและใจกว้างต่อหน้าเธอด้วยดวงตาที่แผดเผา และตอบด้วยความมั่นใจ “หม่อมฉันจะไม่ทำให้องค์หญิงผิดหวังอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนกล่าวอย่างเย็นชาและไร้ความปรานี “เหลียนชิงโจว นำเขาไปหาแม่ทัพโฮ้ว มีงานหนักงานเหนื่อยก็ให้เขาทำ หากเขาทนไม่ได้ก็ให้เขาออกจากค่ายทหารไปซะ”
เหลียนชิงโจวพาเกาเหลียงออกไปจากค่ายทหาร
เฉินเสียนเอนกายลงบนโต๊ะทรายและมองไปที่ซูเจ๋อที่ไม่พูดอะไรเลยก่อนหน้านี้ เธอเอื้อมมือไปถูที่กระเป๋าเสื้อของซูเจ๋อด้วยความคุ้นเคย และกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “มองลักษณะของเกาเหลียงแล้ว ดูเหมือนคนที่ทำอะไรไม่เป็น ที่ข้าทำไปนั้น ดูเหมือนข้าไม่มีความปรานีเลยใช่ไหม?”
หลังจากหยุดไปชั่วขณะ เฉินเสียนก็กล่าวอีกว่า “แต่ข้ากลับรู้สึก เขามีความอยากจะเอาชนะอยู่ในตัวเขา ยิ่งขัดเกลาเขามากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งสามารถกระตุ้นจิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาได้มากเท่านั้น เขาไม่อาจยอมแพ้ง่าย ๆ ความคิดของเขาไกลเกินทหารธรรมดา มีมุมมองของตนเองเกี่ยวกับสถานการณ์ในสนามรบ และอาจจะทำอะไรบางอย่างได้ในอนาคต”
ซูเจ๋อกล่าว “แม่ทัพโฮ้วก็อายุมากแล้ว ในไม่ช้าก็ต้องถอยออกจากสนามรบไป ขุนนางเก่าในราชสำนักต่างก็ต้องถูกแทนที่ ไม่ว่าจะเป็นสนามรบหรือราชสำนัก ต้าฉู่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต”
เฉินเสีนจับกระเป๋าเสื้อของซูเจ๋อ เธอยิ้มและกล่าวว่า “ท่านตกลงให้ข้ารับเกาเหลียงไว้ใช้ประโยชน์แล้วใช่ไหม”
ซูเจ๋อกล่าว “แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน หากเขาอดทนต่อความลำบากนี้ไม่ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องเหนื่อยมาคอยฝึกฝน”
แม่ทัพโฮ้วถนัดมากในการขัดเกลาทหาร นอกเมืองขุยต่างกระตือรือร้นที่จะจัดสรรที่ดินและสร้างบ้านที่อยู่อาศัยให้กับทหารราษฎร เกาเหลียงมีแม่ทัพโฮ้วเป็นผู้ควบคุมสั่งการ และเขาได้รับคำสั่งให้แบกโคลนไม้อย่างไม่หยุดหย่อน ในตอนท้ายของวันหลังของเกาเหลียงเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำผสมกับรอยแผล
ให้เวลาเขาพักสักครู่ เขาพิงกองหญ้าแห้ง และเขาอาจจะเป็นลมจากอาการอ่อนเพลีย
มีหลายสิ่งอยากอย่างให้ทำเหลือเกิน เกาเหลียงทำงานหนักมาก จนไม่มีเวลาคิดว่าทำไมต้องทำอย่างนี้
เฉินเสียนและซูเจ๋อก็ไปสำรวจที่ชานเมืองเช่นกัน ภายในระยะเวลาสามวัน บ้านเรือนต่าง ๆ ก็ตั้งเต็มอยู่ในเขตชานเมือง และดินแดนที่รกร้างก่อนหน้านี้ก็ถูกใช้เพาะปลูก ทหารราษฎรก็ได้ตั้งรกรากกันชั่วคราว
ราชสำนักได้ส่งกำลังเสริมมาหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง
ในเวลานี้ ทหารที่มาสมทบก็มาถึงเมืองขุยแล้ว ในขณะนี้ ภายในและภายนอกเมืองได้สงบลงแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสนามรบ แม่ทัพโฮ้วโบกธงและกองทัพไปทางเหนือเพื่อเดินทัพต่อไป
กองทัพของราชสำนักคุ้มกันในทางเหนือของเมืองขุยที่อยู่ติดกับเมืองฮุย ส่วนกองทัพชายแดนใต้จัดตั้งค่ายทหารอยู่ที่นอกเมืองฮุยออกไปประมาณห้ากิโลเมตร
แรกที่มีข่าวแพร่ออกไปว่ากองกำลังเสริมที่เมืองขุยถูกตีแตก ตอนนี้ทหารราชสำนักถูกโจมตีอย่างหนัก ทหารในกองทัพก็ตื่นตระหนก ตราบใดที่กองทัพชายแดนใต้ไม่ริเริ่มโจมตีพวกเขานี่ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว เพราะพวกเขาไม่มีความกล้าขนาดนั้นที่จะไปบุกโจมตีกองกำลังชายแดนใต้แน่นอน เพียงแค่คุ้มกันตัวเมือง และปกป้องเมืองฮุย
เมื่อกองกำลังชายแดนใต้มาจัดตั้งค่ายทหารอยู่ที่เมืองฮุย ได้จัดการอย่างเรียบง่าย ในค่ายทหารก็ไม่ต่างไปจากทหารกองกำลังเสริมของราชสำนัก หนึ่งกองกำลังต่อหนึ่งกระโจม แม่ทัพระดับกลางสี่คนต่อหนึ่งกระโจม และแม่ทัพระดับสูงสองคนต่อหนึ่งกระโจม
แม่ทัพโฮ้วก็ไม่ได้ถูกจัดพิเศษแตกต่างออกไป เขาและเหลียนชิงโจวอยู่กระโจมเดียวกัน เพื่อปกป้องคุ้มครองเหลียนชิงโจว และทหารคนอื่นก็ไม่มีอะไรจะพูดได้
ในเวลากลางคืน กองไฟถูกจุดขึ้นในค่ายทหาร ทำให้ท้องฟ้ายามค่ำคืนสีเทาดำสว่างไสวขึ้นเล็กน้อย มีดวงดาวอยู่เต็มท้องฟ้า สายลมและแมลงต่างส่งเสียงร้องบนภูเขา
แม่ทัพโฮ้วและเฉินเสียนซูเจ๋อ ได้หารือเกี่ยวกับการทำการรบในวันพรุ่งนี้ จากนั้นแยกย้ายกลับค่ายเพื่อพักผ่อน
เมื่อออกมาจากกระโจมแม่ทัพ เฉินเสียนและซูเจ๋อเดินออกมา เฉินเสียนกล่าวว่า “ท่านก็รีบกลับเข้าไปพักผ่อนในกระโจมเถอะ ไม่ต้องไปส่งข้าหรอก” เธอชี้ไปที่ค่ายไม่ไกลข้างหน้า “กระโจมของข้าไม่ได้ไกลเลย”
ซูเจ๋อหรี่ตามอง และกล่าวว่า “ข้าก็กำลังจะกลับกระโจม”
เฉินเสียนไม่รู้ว่ากระโจมของซูเจ๋อถูกจัดตั้งไว้ที่ตรงไหนจึงกล่าวว่า “บังเอิญจัง กระโจมของท่านก็อยู่ทางด้านนั้นเหมือนกันหรือ? ได้ยินมาว่าสองคนต่อหนึ่งกระโจม ท่านอยู่กับใครในกระโจมหรือ?”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
เมื่อเดินมาถึงกระโจม เฉินเสียนก็ดึงม่านขึ้นและเดินเข้าไป แต่เมื่อเธอมองย้อนกลับไป เธอเห็นว่าซูเจ๋อเดินตามเธอเข้ามาด้วย
เฉินเสียนกล่าวอย่างตกตะลึง “ท่านไม่ได้จะกลับไปที่กระโจมของท่านหรอกหรือ?”
ซูเจ๋อหัวเราะ และกล่าวว่า “บังเอิญจัง ข้าก็อยู่ที่กระโจมหลังนี้”
จิตใจของเฉินเสียนหยุดนิ่ง และกล่าวอย่างเฉยเมย “ท่านแกล้งข้าอยู่หรือเปล่า?”
เธอและซูเจ๋อ…จะอยู่ในกระโจมเดียวกันได้อย่างไร ไหนบอกว่าให้วางตัวให้เหมาะสม และรักษาระยะห่างเมื่อตอนอยู่ในค่ายทหารไง? เฉินเสียนคิดว่าเธอเป็นเพียงผู้หญิงคนเดียวในค่าย เพราะฉะนั้นเธอจะต้องได้พักผ่อนในกระโจมคนเดียว แต่ไม่คิดเลยว่าซูเจ๋อก็ถูกจัดให้มาอยู่ในกระโจมเดียวกัน แม่ทัพโฮ้วจัดการผิดไปหรือเปล่า?
ซูเจ๋อเหลือบมองบรรยากาศโดยรอบกระโจมและกล่าวว่า “ที่นี่มีสองเตียง นี่คงไม่ใช่ไว้ตกแต่งหรอก”
ซึ่งหมายความว่าสถานที่นี้เดิมถูกจัดไว้สำหรับสองคน
ในเวลาเดียวกัน แม่ทัพโฮ้วกำลังนำกำลังทหารเดินสอดส่องดูแลความเรียบร้อย และเดินผ่านกระโจม “องค์หญิง ข้าลืมบอกไป ในค่ายไม่มีกระโจมหลงเหลืออยู่แล้ว ดังนั้นจึงได้โปรดให้องค์หญิงพักร่วมกับซูเจ๋อในกระโจมเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
แม่ทัพโฮ้วจัดการแบบนี้ ก็เพื่อให้ซูเจ๋อปกป้องคุ้มครองเฉินเสียน เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
ใบหน้าของเฉินเสียนไม่ขยับไปไหน ซูเจ๋อเหลือบมองเธอ ดวงตาของเขาแคบลงเล็กน้อย และปากของเขาก็ตอบแทนไปว่า “ขอบใจท่านแม่ทัพโฮ้วที่ลำบากในการจัดการเรื่องนี้”
แม่ทัพโฮ้วยืนอยู่หน้ากระโจมได้ยินที่ซูเจ๋อพูดว่า “ลำบาก” ทำไมฟังดูไม่ค่อยสบายใจเลย เขาเกาหัวและพูดอย่างเคร่งขรึม “ใต้เท้าซู ท่านออกมาพบข้าหน่อย”
ซูเจ๋อยืนอยู่ข้างหน้าของเฉินเสียน ใช้นิ้วลูบผมที่หูของเธอ และกระซิบเบา ๆ ว่า “ถ้าท่านเหนื่อยก็นอนพักก่อนก็ได้ ข้าออกไปข้างนอกสักครู่ หากมีอะไรท่านก็ตะโกนเรียกข้าได้”
เฉินเสียนเม้มริมฝีปาก ดวงตาของเธอกระตุกเล็กน้อย “แม่ทัพโฮ้วจะเล่นตลกอะไรอีก”
ซูเจ๋อยิ้มโดยปริยาย “ข้าออกไปถามให้ท่าน”
แม่ทัพโฮ้วที่อยู่ข้างนอกนั้นหมดความอดทนแล้วและกล่าวว่า “ใต้เท้าซู ข้าให้ท่านออกมาหาข้าหน่อย!”
ซูเจ๋อหันกลับมาและเดินออกมาจากกระโจม
ในขณะนี้ แม่ทัพโฮ้วกำลังยืนอย่างกล้าหาญอยู่นอกกระโจมพักแรม ดาบของเขาที่ปักบนพื้น มือของเขาจับด้าม ราวกับว่าเป็นยักษ์เฝ้าประตูเมือง
ทหารที่เขานำมานั้นกำลังเดินลาดตระเวนอยู่ที่อื่นแล้ว
กองไฟในเตาอั้งโล่กำลังลุกไหม้ และจู่ ๆ ก็ระเบิดประกายไฟกระจายไปทั่ว ซูเจ๋อปัดที่มุมเสื้อของเขาอย่างแผ่วเบา และกล่าวว่า “แม่ทัพโฮ้วมีเรื่องอะไรจะชี้แนะหรือ?”
แม่ทัพโฮ้วมองมาที่เขา คนผู้นี้ดูเย็นชาและไม่แยแสตลอดเวลาจริง ๆ
แม่ทัพโฮ้วมีอารมณ์โกรธและกล่าวว่า “ที่จัดให้ท่านและองค์หญิงพักอยู่ด้วยกัน เพราะในกรณีที่ศัตรูมีสายลับ ข้าต้องการให้ท่านปกป้ององค์หญิง ท่านไม่ต้องคิดอะไรเกิดกว่านี้”
ซูเจ๋อกล่าวอย่างจริงจัง “อืม ข้ารู้ดีที่ท่านแม่ทัพตระหนักในเรื่องนี้”