ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 546 เหล่าขุนนางชั้นสูงขี้โวยวาย พูดแต่เรื่องศีลธรรมจริยธรรมและมรรคห้า
- Home
- ข้าคือหงส์พันปี
- บทที่ 546 เหล่าขุนนางชั้นสูงขี้โวยวาย พูดแต่เรื่องศีลธรรมจริยธรรมและมรรคห้า
เฮ่อโยวเดินมาพร้อมกับอวี้เยี่ยนนางกำนัลคนสนิทของเฉินเสียน อวี้เยี่ยนนั้นถือตราประทับอยู่ในมือ
เฮ่อโยวกระแอ่มก่อนจะกล่าวว่า “ข้าก็เพิ่งจะทราบเรื่องว่าองค์จักรพรรดิต้องการเวลาส่วนตัวสักพัก จึงไม่สามารถเสด็จมาร่วมการเข้าเฝ้ายามเช้า”
เหล่าขุนนางต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน
“เพราะอะไรกัน?”
“นี่คือเรื่องใหญ่ของราชสำนัก จะพูดว่าไม่สนใจก็สนใจแบบนี้ได้อย่างไร?”
“ตอนนี้องค์จักรพรรดิอยู่ที่ไหนหรือ? เดี๋ยวข้าจะพยายามไปเกลี้ยกล่อมให้องค์จักรพรรดิเสด็จมาร่วมการเข้าเฝ้ายามเช้า!”
เหล่าขุนนางต่างก็เห็นดีเห็นชอบด้วย
เฮ่อโยวลูบไล้หน้าผากและกล่าวว่า “ไม่ต้องไปหรอก ถึงไปพวกท่านก็ไม่สามารถเข้าพบองค์จักรพรรดิได้”
“หรือว่าองค์จักรพรรดิจะไม่ได้อยู่ในวังหลวง?”
“แล้วพระองค์เสด็จไปที่ไหนหรือ?”
“ใช่ ในเวลาเช่นนี้จะออกไปนอกวังหลวงโดยพลการได้เช่นไรกัน ต้องเห็นว่าเรื่องอาณาจักรสำคัญที่สุดสิ!”
“เป็นถึงองค์จักรพรรดิ จะทรงทะนงเย่อหยิ่งมัวเมาหมกมุ่นเรื่องส่วนตัวไม่ได้!”
เฮ่อโยวชะงักที่มุมปากแล้วกล่าวว่า “องค์จักรพรรดิเสด็จออกไปรับองค์ชายกลับวังหลวง องค์ชายมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ หรือพวกท่านคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องสำคัญของอาณาจักรหรือ?”
ท่านพ่อของเฮ่อโยวสุขภาพร่างกายไม่ค่อยดีนัก ยังคงพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนของเขา ในฐานะที่เขาเป็นอาลักษณ์ขุนนางขั้นสอง และเป็นถึงขุนนางข้างกายเฉินเสียน เรื่องการทำให้ราชสำนักสงบเรียบร้อยลงจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา
ก่อนที่เฉินเสียนจะออกเดินทางเธอกลัวว่าเขาจะละทิ้งหน้าที่ จึงออกพระราชโองการให้เขามีหน้าที่กำกับดูแลทุกเรื่องในราชสำนักเป็นการชั่วคราว
และตอนนี้พระราชโองการที่ว่านั้นก็อยู่ที่ข้างบนตราประทับนั้น
เฮ่อโยวถือได้ว่าเป็นความรู้ความสามารถ พวกขุนนางแก่ดื้อรั้นเหล่านี้ พูดกันไปต่าง ๆ นานา ขี้โวยวาย พูดแต่เรื่องศีลธรรมจริยธรรมและมรรคห้า ทำให้เขารู้สึกช่วงปวดหัวเสียจริง
มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่ถาม “หากองค์จักรพรรดิไม่อยู่ในราชสำนักแบบนี้ เรื่องสำคัญในราชสำนักจะทำอย่างไร?”
“ใช่ ใช่ ตอนนี้อาณาจักรต้าฉู่ก็เพิ่งจะกลับมาสงบลง และยังมีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ”
“เสด็จไปรับองค์ชายกลับมาวังหลวงตอนนี้…เกรงว่าจะไม่เหมาะสม…”
เฮ่อโยวปวดศีรษะจนแทบจะระเบิด ปัดชุดเครื่องแบบขุนนางแล้วนั่งลงกับพื้น แล้วกล่าวว่า “พวกท่านจะหยุดพูดได้หรือ มีเวลามาถอนหายใจเล่นที่นี่ แทนที่จะเอาเวลาที่มีในนี้ไปทำงานปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย รีบสิ รีบกลับเรือนไป! งั้นอย่างงั้นนั่งถอนหายใจเล่นอยู่ที่นี่จนพระอาทิตย์ตกดินก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร”
เฮ่อโยวหยิบพระราชโองการต่าง ๆ ที่อยู่ในราชสำนักเปิดออกดู และกล่าวว่า “องค์จักรพรรดิกลัวว่าพวกท่านจะไม่มีอะไรทำ ก่อนจะเสด็จออกไปก็ได้มีคำสั่งให้พวกท่านทุกคนปฏิบัติหน้าที่ตามที่พระองค์มอบหมาย ในช่วงเวลาที่พระองค์ไม่อยู่ พวกท่านก็ทำตามหน้าที่ของพวกท่าน”
“ฝ่ายข้าราชการพลเรือนจะต้องคัดเลือกบุคคลที่มีความสามารถ ออกประกาศออกไปก่อน ฤดูหนาวของปีนี้จะต้องเริ่มการทดสอบภาคฤดูหนาว เวลามีไม่มากแล้วรีบจัดการซะ” เฮ่อโยวกล่าวพร้อมกับส่งพระราชโองการให้
“ฝ่ายทหารก็ต้องรีบจัดการเตรียมการฝึกสอบประลองวิทยายุทธ การสอบประลองวิทยายุทธมีความสำคัญเท่ากับการสอบข้อเขียน ต้องให้ความสำคัญกับทั้งสอง นอกจากนี้ยังมีระบบการขึ้นทะเบียนทหารซึ่งควรรีบดำเนินการให้เสร็จโดยเร็ว”
“ฝ่ายโยธาธิการและฝ่ายการคลัง ตรวจสอบโครงการอนุรักษ์น้ำตามสถานที่ต่างๆ และร่วมกันตรวจนับจำนวนครัวเรือนและเมล็ดพืชในฤดูใบไม้ร่วง เพื่อหลบเลี่ยงความหิวโหยอดอยากและความเหน็บหนาวในช่วงเข้าสู่ฤดูหนาว จำเป็นต้องส่งให้ส่วนราชการควบคุมและจัดสรรแบ่งจ่ายออกไป โชคดีที่ปีนี้เก็บเกี่ยวผลผลิตช้า ทำให้ที่ดินผืนใหญ่ในแต่ละพื้นที่มีการเพาะปลูกและไม่ปล่อยให้ทิ้งร้าง”
สุดท้าย ก็มีงานและหน้าที่ที่สอดคล้องกับแต่ละฝ่ายไปปฏิบัติกัน พวกท่านลองทำความคุ้นเคยกับเนื้องานดู เฮ่อโยวยังกล่าวอีกว่า “องค์จักรพรรดิสนับสนุนให้พวกท่านร่วมแรงร่วมใจกัน แต่หากมีการก่อกระทำการเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวและการทุจริตและการละเมิดกฎหมาย กรมอาญาและศาลยุติธรรมต้าหลี่ก็มีหน้าที่เข้ามาตรวจสอบตรงนี้ จะต้องได้รับการลงโทษที่รุนแรงอย่างแน่นอน”
งานเหล่านี้ดูเหมือนจะง่ายดายเหมือนที่พูดไม่กี่คำ แต่หากเจาะลึกรายละเอียดลงไปแล้วนั้นนักเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ทีเดียวเชียว
ขุนนางเหล่านี้ไม่มีเวลามากพอที่จะมายุ่งเรื่องพวกนี้หรอก
ทุกคนยังคงบ่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็แยกย้ายกันออกไป เฮ่อโยวที่นั่งอยู่ที่พื้น ยกมือขึ้นมาลูบหน้าผากและอุทานว่า “ไม่คิดเลยว่ขุนนางแก่กะโหลกเหล่านี้จะขี้บ่นขนาดนี้…ข้าไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อนเลย”
ก่อนหน้านี้ไม่เคยเห็นว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงง่ายแบบนี้เลย?
เฮ่อโยวยังจำได้เมื่อครั้งเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิใหม่ ๆ พวกเขายังพยายามที่จะทำผลงานเพื่อให้ได้เลื่อนขั้น แต่ตอนนี้นิสัยที่แท้จริงของพวกเขาได้เปิดเผยออกมาแล้ว
องค์จักรพรรดิมีเรื่องอะไรให้พวกเขาต้องกังวลงั้นหรือ? เขากลับคิดว่าไม่มี
ในขณะนี้ เฉินเสียนและฉินหรูเหลียงกำลังขี่ม้าออกมาเมืองหลวงไปแล้ว
ซูเจ๋อออกเดินทางไปก่อนหน้าประมาณสี่ชั่วโมง และทั้งสองก็รีบขี่ม้าเร็วติดตามไปทันที หากซูเจ๋อเดินทางโดยไม่หยุดพัก พวกเขาทั้งสองคนคงยังตามไปไม่ทัน
ซูเจ๋อเดินทางไปพร้อมกับคณะเอกอัครราชทูต และไม่รีบร้อนที่จะเดินทาง เขาจึงไม่จำเป็นต้องรีบเดินทางเพื่อทำเวลา
เฉินเสียนรู้ว่า ตอนนี้ฉินหรูเหลียงหายไปสักพักหนึ่งแล้ว เพื่อส่งซูเซี่ยนไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย ส่วนสถานที่ที่ซูเซี่ยนพักอาศัยอยู่ในตอนนี้นั้นก็คือเป่ยเจียง อยู่ห่างออกไปจากชายแดนประมาณห้าสิบกิโลเมตร เขาอยู่ที่นั่นโดยมีแม่นมซุยเป็นคนดูแลอย่างใกล้ชิด
ฉินหรูเหลียงพอจะทราบบริเวณที่ตั้ง ถึงแม้ว่าจะตามซูเจ๋อไปไม่ทัน ถึงอย่างไรซูเจ๋อก็ต้องไปถึงที่นั่นอย่างแน่นอน
ที่นั่นนับว่าเป็นบ้านเกิดของซูเจ๋อไหม? ก่อนหน้านี้ซูเจ๋อไม่เคยพูดกับเธอเรื่องนี้
แต่เธอก็อยากจะไปดูสถานที่ที่ซูเจ๋อเคยใช้ชีวิตอยู่ในอดีต
ในความเป็นจริง ซูเจ๋อพาคณะเอกอัครราชทูตขี่ม้าไปด้วย หากต้องนั่งรถม้า คงต้องใช้เวลาในการเดินทางนาน เมื่อครั้งที่เขาใช้ชีวิตอยู่ข้างนอก ก็มักไม่ค่อยเสียเวลาไปกับการเดินทาง เขาต้องการไปรับซูเซี่ยนให้เร็วที่สุดเพื่อกลับไปพบกับแม่ของเขาที่เมืองหลวง
เขายังคิดอีกว่า จะสามารถกลับเมืองหลวงเพื่อไปพบเธออย่างเร็วที่สุด
ดังนั้นซูเจ๋อจึงนำหน้ามาก่อน และเฉินเสียนฉินหรูเหลียงติดตามมาสองสามวัน จึงจะตามทันซูเจ๋อ
ในเวลานั้น เธอเห็นร่างมืดสลัวอยู่ข้างหน้า เธอไม่ทันคิดอะไร ก็รีบเร่งม้าติดตามไป
ซูเจ๋อได้ยินเสียงเกือกม้าม้า และเสียงผู้หญิงขี่ม้า เขาหันกลับไปชั่วครู่ เมื่อเห็นว่าร่างของบุคคลที่กำลังไล่ตามนั้นชัดเจนขึ้น มีความชะงักงันเล็กน้อยในตาเรียวของเขา
ในเวลานั้น อยู่ในฤดูใบไม้ร่วง พระอาทิตย์ก็กำลังสาดส่อง เธอโน้มตัวไปข้างหน้าบนหลังม้าและตะโกนใส่เขา “ซูเจ๋อ ท่านหยุดก่อน!”
เมื่อเธอตามมาถึง เฉินเสียนกระโดดออกจากหลังม้าอย่างกะทันหัน และเธอก็แกว่งไปแกว่งมาภายใต้การวิ่งเร็วของม้า ราวกับว่าเธออาจจะล้มลงได้ทุกเมื่อ
ซูเจ๋อหลับตาและตักเตือนเธอ “อาเสียน อย่าทำเล่นไป อันตรายนะ”
เฉินเสียนมองดูเขา เธอกระโดดโลดเต้นท่ามกลางสายลม เธอขดริมฝีปากและยิ้มอย่างสดใส เมื่อม้าทั้งสองมุ่งหน้าเข้าหากัน เธอก็กระโดดเข้าหาซูเจ๋ออย่างโจ่งแจ้ง
ไม่มีอะไรอันตราย เธอรู้แค่ว่าเธอไล่ตามซูเจ๋อมาหลายวันแล้ว และเป็นเรื่องดีที่จะสามารถตามทันเขาตอนนี้และได้พบเขา เป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ
สถานการณ์ในขณะนั้นเป็นอันตรายจริง ๆ และคณะเอกอัครราชทูตไม่สามารถรับมือได้ และไม่มีเวลาตอบสนองเลย ไม่ว่าจะอันตรายแค่ไหน ซูเจ๋อก็สามารถจับเธอได้เสมอ
ทันทีที่เขาดึงแขน เขาก็จับเอวของเธอและโอบกอดเธอเข้ามาในอ้อมกอด แล้วหันกลับ เฉินเสียนและซูเจ๋อหันหน้าเข้าหากันและนั่งบนหลังม้าของเขา
ภูมิประเทศสองข้างทางผ่านไปอย่างรวดเร็ว ต้นไม้ในฤดูใบไม้ร่วงที่มีสีสันและใบไม้สีเหลืองที่ทอดยาวข้ามภูเขาและทุ่งนาปะปนกันไป ทำให้รู้สึกสวยงามและกว้างขวางอย่างมาก
เฉินเสียนคล้องคอของซูเจ๋อไว้ตลอดทาง และผ้าไหมสีเขียวที่อยู่ด้านหลังศีรษะของนางก็ปลิวไปตามลม ไม่สามารถปกปิดดวงตาส่องประกายของเธอไว้ได้