ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 550 เจ้ารีบดูสิ พวกเขาใช่พ่อแม่ของเจ้าไหม
เฉินเสียนกล่าว “จำสถานที่เดิมไม่ได้แล้วหรือ งั้นเราหยุดพักที่นี่ก่อนดีไหม หมู่บ้านนี้ไม่ใหญ่นัก อาเสียนและแม่นมซุยจะต้องได้ยินเสียงของเราแน่”
ซูเจ๋อยิ้มและกล่าวว่า “ไปหาดูทีละบ้านเลยดีกว่า”
เมื่อเฉินเสียนและซูเจ๋อเข้ามาในหมู่บ้านนี้ ยังไงพวกเขาก็เป็นคนแปลกหน้าสองคนจากภายนอก ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในหมู่บ้าน พวกเขาได้รับความสนใจจากเด็ก ๆ ที่กำลังเล่นอยู่ในหมู่บ้าน เด็ก ๆ ที่ขี้อายสองสามคนหันกลับและวิ่งกลับบ้านของพวกเขาเอง ยังมีผู้กล้าอีกสองสามคนยืนดูอยู่
เฉินเสียนก้มลงถาม “พวกเจ้ารู้ไหมว่าอาเซี่ยนอาศัยอยู่ที่ไหน?”
เด็กคนหนึ่งเกาศีรษะของเขาและตอบอย่างเฉยชาว่า “อาเซี่ยน? พวกท่านตามหาซูเซี่ยนใช่ไหม?”
“ใช่ เจ้าพาเราไปหาเขาหน่อยได้ไหม?” เฉินเสียนพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อระงับความตื่นเต้นและความสั่นในน้ำเสียงของเธอ
เด็กน้อยคนนั้นถาม “พวกท่านเป็นใครกัน?”
เฉินเสียนกล่าว “พวกเราคือพ่อแม่ของเขา”
เด็กน้อยกระโดดและนำทางไปข้างหน้า ก่อนที่เขาจะถึง เขาตะโกนด้วยเสียงที่คมชัด “ซูเซี่ยน! ซูเซี่ยน! พ่อแม่ของเจ้ามาหาเจ้าแล้ว!”
“ซูเซี่ยน! ซูเซี่ยน! พ่อแม่ของเจ้ามาหาเจ้าแล้ว!”
เฉินเสียนได้ยินแล้วรู้สึกเกิดอาการเจ็บตาสองสามครั้ง เธอยังคงเงยศีรษะขึ้นและบีบจมูกของเธอ พยายามบีบเพื่อให้ความเจ็บปวดกลับคืนไป
ดูเหมือนว่าอาเซี่ยนจะเข้ากันได้ดีกับเพื่อน ๆ ของเขาที่นี่ และเสียงตะโกนที่ดังอยู่นั้นก็ทำให้รู้สึกมีความสุขสำหรับซูเซี่ยน
ในบ้าน แม่นมซุยกำลังกำลังยุ่งอยู่ในครัวขณะกำลังเตรียมอาหารเย็น ซูเซี่ยนนั่งอยู่คนเดียวใต้ชายคาในลานบ้าน ลานบ้านมีแสงไฟสว่างระเรื่อ และเขากำลังเล่นกับตั๊กแตนที่แม่นมซุยมอบให้เขาในตอนบ่าย
ปีนี้เขามาถึงที่นี่ยังเป็นช่วงฤดูร้อน เขาเห็นตั๊กแตนอยู่ในทุ่งนา เอ้อร์เหนียงกล่าวว่าพวกมันจะไม่สามารถออกมาได้อีกจนกว่าจะถึงฤดูร้อนหน้า
ภายในลานบ้านเลี้ยงไก่ไว้อยู่สองสามตัว เมื่อได้เวลาให้อาหารแล้ว ซูเซี่ยนลุกเข้าไปในบ้านและนำรำข้าวสาลีออกมาแล้วร้องเรียก “กุ๊ก กุ๊ก กุ๊ก”
เมื่อไก่ได้ยินเสียงเรียก พวกมันก็เข้ามาล้อมรวมกันที่เท้าของเขา เขาหยิบรำข้าวสาลีในมือเล็ก ๆ โรยลงบนพื้น แล้วไก่ก็กินอย่างมีความสุข
ผู้คนในหมู่บ้านต่างประหลาดใจมาก เด็กคนอื่นๆ ในวัยนี้ยังคงคลานและเล่น แต่ซูเซี่ยนกลับรู้จักช่วยแม่นมซุยให้อาหารไก่และเด็ดผัก
ซูเซี่ยนใช้เวลากับเด็ก ๆ ในหมู่บ้านเป็นครั้งคราว แต่เขามักจะนั่งเงียบ ๆ ข้าง ๆ ดูคนอื่นเล่น เขาไม่ได้เปื้อนโคลน เขามักสะอาดอยู่เสมอ
ผู้คนในหมู่บ้านรักเขามาก ตอนแรกพวกเขาคิดว่าเขาไม่มีพ่อแม่ ต่อมาได้ยินซูเซี่ยนพูดว่า “พ่อแม่ของข้าจะมารับข้าในไม่ช้า”
เขาอาจจะไม่ทันรอดูตั๊กแตนออกมาบินเล่นในทุ่งนาอีกครั้งในฤดูร้อนหน้า เขาคิดอย่างนั้นในใจของเขาเอง
แต่ก็ไม่สำคัญหรอก หากเขามีพ่อแม่อยู่ด้วย เขาก็ไม่ต้องการความสนุกต่าง ๆ ในท้องทุ่งนากว้างใหญ่นั้นแล้ว
ซูเซี่ยนกำลังให้อาหารไก่อยู่ และทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงตะโกนของเด็กข้างนอก ลอยมาเข้ามาที่ประตูของเขา
แม่นมซุยได้ยินเสียงตะโวนโหวกเหวกโวยวายอยู่ในลานบ้าน และเมื่อนางโผล่ศีรษะออกมา นางเห็นเจ้าน่องน้อยทำที่ใส่รำข้าวสาลีที่ให้อาหารไก่หกกระเจิง เขาวิ่งผ่านไก่ และไก่ก็กระพือปีกไปด้านข้างเพื่อหลบ ร้องกระต๊าก กระต๊ากไม่หยุด
แม่นมซุยวางเครื่องครัวในมือลงแล้ววิ่งตามไปและถามว่า “เจ้าน่องน้อยจะไปไหน?”
ซูเจ๋อผูกรถม้าไว้ใต้ต้นไม้ตรงทางเข้าหมู่บ้าน และมองดูเฉินเสียนเดินไปข้างหน้า การก้าวเท้าของเธอเริ่มติดขัดเล็กน้อย สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เด็กคนนั้นพาเฉินเสียนเดินข้ามถนนหินกรวด ชี้ไปที่ลานหน้าบ้าน แล้วกล่าวว่า “ซูเซี่ยนอยู่ที่บ้านหลังนี้ ถนนเส้นนี้เป็นที่รู้จักดี บ้านของเขาและถนนหินกรวดที่หน้าบ้านของเขานี้มีคุณลุงที่มาด้วยกันกับพวกเขาสร้างขึ้นมา ฝนตกก็เดินง่าย ไม่ต้องกลัวจะลื่นหกล้ม”
เฉินเสียนเดินไปตามถนนหินกรวดนั้น สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดว่า “จริงหรือ ลุงคนนั้นช่างมีความสามารถจริง ๆ”
เด็กคนนั้นพูดอย่างมีความสุข “คุณลุงคนนั้นยังบอกอีกว่า รอให้เขากลับมาแล้วเขาจะสอนพวกเราต่อสู้ ซูเซี่ยนมีคุณลุงที่สุดยอดแบบนี้ พวกเรารู้สึกอิจฉาเขา”
เฉินเสียนยื่นมือออกและปิดบังดวงตาของเธอ น้ำตาแทบไหล เธอกลัวว่าไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกได้และอายต่อหน้าเด็ก
ในขณะนั้น เด็กคนนั้นเห็นซูเซี่ยนวิ่งออกไป และดวงตาที่เปียกชื้นคู่นั้นก็มองตรงออกไปและมองข้ามเด็กคนนั้น มองตรงไปที่เฉินเสียนที่อยู่ข้างหลังเด็กคนนั้น
ซูเจ๋อเดินตามหลังมาและเดินไปตามถนนหินกรวดนี้เงียบ ๆ
เด็กคนนั้นยังกล่าวอีกว่า “ซูเซี่ยน สองคนนี้บอกว่าเป็นพ่อแม่ของเจ้า ข้าเลยพาพวกเขามา เจ้าลองดูสิ พวกเขาใช่หรือว่าไม่ใช่?”
เฉินเสียนหยุดชะงักและวางมือลงทันทีที่เธอเห็นซูเซี่ยน น้ำตาก็ไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก
ซูเซี่ยนวิ่งไปหาเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เฉินเสียนย่อตัวลง และอ้าแขนของเธอและกอดเขาไว้แน่นเต็มอ้อมอก
ต่อมาเธอกอดเจ้าน่องน้อยไว้ และอิงศีรษะของเธอไปที่ไหล่เล็ก ๆ ของเขา ร้องไห้น้ำตาซึมอยู่อย่างนั้น
ผู้คนในหมู่บ้านเมื่อได้ยินว่าพ่อแม่ของซูเซี่ยนมาที่นี่ ทุกคนก็รีบไปดู เป็นไปได้ว่าเฉินเสียนไม่เคยรู้สึกอับอายต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ แต่เธอก็ไม่สนใจอีกต่อไป
เธออุ้มลูกของเธอและเห็นว่าเขาดูสบายดี ในที่สุดเธอก็สามารถกลับมาหาเขาได้อีกครั้ง และจะไม่แยกจากกันอีก แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
เฉินเสียนร้องไห้ด้วยความดีใจ และเธอไม่อาจสงบลงได้ในระยะเวลาอันสั้นนี้
แม่นมซุยออกมาจากประตู และยืนดูอยู่ข้าง ๆ และแอบปาดน้ำตา
ซูเซี่ยนกอดคอของเฉินเสียนไว้ ลูบหลังเธอเบา ๆ ด้วยมือเล็ก ๆ ดวงตาที่เรียวยาวของเขานั้นส่องประกายอย่างชัดเจน เขากล่าวอย่างชื่นมื่น “ท่านแม่อย่าร้อง”
เฉินเสียนสัมผัสใบหน้าเล็ก ๆ ของเขา และพูดด้วยน้ำตาว่า “ทำไมถึงผอมอย่างนี้? สีหน้าดูซีดเซียว? อาเซี่ยน เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
ซูเซี่ยนเช็ดน้ำตาของเฉินเสียนและกล่าวว่า “เอ้อร์เหนียงบอกว่า ลูกเป็นแบบนี้ ผอมลงแค่ชั่วคราว”
แม่นมซุยกล่าว “เข้ามาคุยกันข้างในบ้านเถอะ ข้างนอกอากาศหนาวเย็น” จากนั้นแม่นมซุยก็พูดกล่าวขอบคุณชาวบ้านที่ใจดีครั้งแล้วครั้งเล่า และยืนยันว่าเฉินเสียนและซูเจ๋อที่เข้ามาในหมู่บ้านในวันนี้คือพ่อแม่ของเจ้าน่องน้อย
เรื่องนี้ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในหมู่บ้านในช่วงนี้
เมื่อข้ามาในลานบ้าน เฉินเสียนยังคงสัมผัสซูเซี่ยนไม่ปล่อยไปไหน ซูเซี่ยนเสมือนเป็นเหมือนตุ๊กตากระเบื้องที่เฉินเสียนทั้งจับจูบและสัมผัส ใบหน้าเด็กเล็ก ๆ รอยยิ้มที่เจือจางของเขาราวกับว่าเขากำลังเอาอกเอาใจแม่ของเขา
การแสดงออกนี้เหมือนกับซูเจ๋อที่เดินเข้ามาหลังจากนั้นจริง ๆ
ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ดวงตาทั้งสองคู่มองหน้ากันครู่หนึ่ง และพวกเขาไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไร แม้ว่าจะมีอารมณ์และความผูกพันอยู่ในใจ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ง่ายที่จะแสดงออก
เฉินเสียนมองไปที่ซูเจ๋อด้วยดวงตาที่ชัดเจนและกระซิบกับซูเซี่ยนว่า “เมื่อก่อนเจ้าไม่ได้ชอบอยู่กับเขาหรือ ตอนนี้แม่ไม่ห้ามเจ้าแล้ว เจ้าเข้าไปเรียกเขาว่าท่านพ่อสักคำสิ”
ดวงตาที่เปียกของซูเซี่ยนสั่นเล็กน้อย และการแสดงออกของซูเจ๋อก็ขยับเล็กน้อยเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าทั้งพ่อและลูกชายต่างก็เขินอาย เฉินเสียนจึงพูดอย่างเคร่งขรึม “ถ้าเจ้าไม่ชอบท่านพ่อคนนี้ก็ไม่เป็นไร กลับไปแม่จะเปลี่ยนให้เจ้าใหม่อีกคนหนึ่ง”
ซูเซี่ยนกล่าว “ไม่เปลี่ยน แบบนี้ดีมากแล้ว”
ซูเจ๋อใช้โอกาสนี้พูดกับเขา “ซูเซี่ยน มานี่สิ”
ซูเซี่ยนก็เดินเข้าไปหาเขาทีละก้าว และยืนอยู่ต่อหน้าซูเจ๋อ มองขึ้นไปที่เขา