ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 551 ข้าจะไม่แย่งกับพวกเขา
ซูเจ๋อก้มลงมองเจ้าตัวเล็กที่อยู่ตรงหน้า ตัวสั้นนิดเดียวเอง เขาจึงโน้มตัวลง เอื้อมแขนข้างหนึ่งอุ้มเขาขึ้นมา เจ้าน่องน้อยเหน็บขาเข้าเอวของเขาอย่างมั่นคง
เมื่อซูเจ๋อเป็นคนเริ่มเข้าหาก่อน แม้เจ้าภาระตัวน้อยออกจะเคอะเขินแต่เขาก็เอื้อมมือโอบรอบคอของซูเจ๋อไว้ แล้วซุกหน้าซบลงบนไหล่แอบดีใจคนเดียว
นี่คือการอุ้มซูเซี่ยนครั้งแรกของซูเจ๋อ ความรู้สึกที่เด็กน้อยตัวอ่อนยวบยาบซบลงบนไหล่ของเขา จู่ๆ ความคิดที่อยากจะเห็นเขาเติบโตในวันข้างหน้า ความคิดที่อยากจะปกป้องเขาก็เกิดขึ้นมาในใจของซูเจ๋อ
“ท่านพ่อ” จู่ๆ ซูเซี่ยนก็เรียกเขา
ซูเจ๋ออึ้งไปชั่วขณะ ในใจของเขานั้นราวกับคลื่นลมพายุที่กำลังโหมกระหน่ำก็ไม่ปาน เพียงแต่ใบหน้าของเขานั้นยังคงเรียบเฉยราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาขานตอบไปว่า : “อืม”
เฉินเสียนถูกสองพ่อลูกนี้ทำให้ขำขึ้นมา ตอนแรกเธอคิดว่ามีแต่เธอเท่านั้นที่งุ่มง่ามทำตัวไม่ถูก แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นซูเจ๋องุ่มง่ามทำตัวไม่ถูกเช่นนี้ด้วย
ซูเจ๋อลองคำนวณน้ำหนักของเจ้าน่องน้อยแล้วจึงพูดขึ้นว่า : “น้ำหนักเบากว่าเมื่อก่อนมาก เราไม่อาจหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของยาได้ วันข้างหน้าจะต้องบำรุงให้ดี คงจะบำรุงฟื้นฟูได้ในสามถึงห้าปีข้างหน้านี้”
เฉินเสียนอดไม่ได้ที่จะนึกถึงซูเซี่ยนในปีที่ผ่านมา รู้สึกบีบหัวใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ซูเซี่ยนพูดขึ้นว่า : “ท่านแม่ เดี๋ยวข้าก็หายดีเอง เอ้อเหนียงบอกว่าพวกท่านกลับมารับข้าครั้งนี้ เราจะไม่แยกจากกันอีก”
เฉินเสียนยิ้มทั้งน้ำตา : “ใช่ พวกเราจะไม่แยกจากกันอีก”
จากนั้นเฉินเสียนก็ปล่อยให้สองพ่อลูกอยู่ที่ลานสวนกันตามลำพัง ส่วนเธอและแม่นมซุยก็ก่อไฟทำอาหารใหม่อีกครั้งอยู่ในห้องครัว
ซูเซี่ยนได้แสดงรายละเอียดชีวิตความเป็นมาในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ให้ซูเจ๋อเห็น เริ่มตั้งแต่ท่าทางให้อาหารไก่ แล้วต้อนไก่เข้าเล้าอย่างชำนาญ นั่งลงใต้ชายคาเด็ดผัก จากนั้นก็เลือกหาใบหญ้าที่ค่อนข้างยาวมาถักเป็นตั๊กแตนให้เขาหนึ่งตัวเหมือนที่แม่นมซุยเคยสอน
สองพ่อลูกนั่งอยู่ใต้ชายคา ไม่ได้พูดคุยอะไรมากมาย ทั้งคู่ต่างก็มีวิธีสื่อสารใบแบบของตัวเอง
เมื่อแสงสุดท้ายของวันหมดไป ในปากของซูเจ๋อคาบหญ้าอยู่หนึ่งเส้น นิ้วมือที่เรียวยาวหมุนรอบ เขากำลังยุ่งอยู่กับการถักลายใหญ่ให้กับซูเซี่ยน
ซูเซี่ยนนั่งดูอยู่เงียบๆ อย่างตั้งใจ ขาที่ทิ้งตัวห้อยอยู่ตรงทางเดินแกว่งไปมาเบาๆ ของเจ้าน่องน้อย แสดงออกถึงความพึงพอใจและมีความสุขของเขา
แม่นมซุยที่ในตอนแรกไม่ยอมให้เฉินเสียนทำอะไรในครัวแม้แต่อย่างเดียว เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “คนเราเวลาอยู่ที่ไหนก็ให้ทำตัวเหมือนที่นั่น เอ้อเหนียงไม่ต้องรู้สึกเกรงใจข้าหรอก”
แม่นมซุยจึงให้เฉินเสียนเติมฟืนลงกองไฟ แบบนี้ไฟก็จะอุ่นมากขึ้น
แม่นมซุยพูดขึ้นว่า : “องค์หญิง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ราบรื่นดีรึเปล่าเพคะ? หม่อมฉันได้ยินมาว่าที่อาณาจักรต้าฉู่สงบลงแล้ว หากว่าองค์หญิงมีเวลา หม่อมฉันจึงคิดว่าปีนี้ องค์หญิงจะต้องมารับเจ้าน่องน้อยไปฉลองปีใหญ่อย่างแน่นอน”
เฉินเสียนจึงตอบกลับไปว่า : “ใช่ ทุกอย่างสงบลงแล้ว”
แม่นมซุยหัวเราะเบาๆ อย่างเก้อเขิน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ดูความจำที่ขี้หลงขี้ลืมของบ่าวนี่สิ วันข้างหน้าก็ไม่สามารถเรียกท่านว่าองค์หญิงอีกแล้ว”
เฉินเสียนหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไม่เป็นไรหรอก มันก็เป็นเพียงชื่อชื่อหนึ่งเท่านั้น อาเซี่ยนนี่สิ ตอนนี้เขาอายุครบสองขวบแล้ว ต่อไปก็ไม่ได้เรียกชื่อเล่นของเขาอีกแล้ว”
แม่นมซุยจึงตอบกลับไปว่า : “บ่าวจะจำให้ขึ้นใจเจ้าค่ะ”
เฉินเสียนจ้องมองไปที่แม่นมซุยพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เอ้อเหนียง ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ลำบากเจ้าแล้ว” เปลวไฟในเตาส่องกระทบลงบนใบหน้าของเธอ เธอพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า : “และต้องขอบคุณเจ้ามาก ที่อาเซี่ยนได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากเจ้า”
แม่นมซุยจึงพูดขึ้นว่า : “ท่านอย่างพูดเช่นนี้เชียว ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่บ่าวควรทำทั้งสิ้น การใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็ดีไม่น้อย แม้ว่าตอนที่เพิ่งมาจะยังไม่ค่อยคุ้นชินเท่าไหร่นัก แต่ได้ท่านแม่ทัพฉินที่คอยช่วยเหลือเกื้อหนุนทุกอย่าง เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วเขาจึงค่อยกลับไป หากอยากจะขอบคุณ ก็ควรขอบคุณท่านแม่ทัพฉินจึงจะถูกเจ้าค่ะ”
เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาบาง : “ข้าต้องรู้สึกขอบคุณเขาอย่างแน่นอน และนอกจากรู้สึกขอบคุณแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนเขาได้ยังไงอีก”
เมื่อถึงเวลาทานอาหารเย็น ทั้งสี่คนก็ได้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ดูแล้วอบอุ่นไม่น้อย
เฉินเสียนคีบผักให้กับซูเซี่ยน ล้วนแต่เป็นอาหารรสจืดทั้งนั้น เขาเป็นคนไม่เลือกทาน และก็ทานอย่างเชื่อฟัง ซูเจ๋อเองก็ได้คีบผักให้กับเฉินเสียน สามคนหนึ่งครอบครัว ดูแน่นแฟ้นกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เมื่อมื้ออาหารเสร็จลง บรรยากาศข้างนอกก็มืดลงมากแล้ว ด้านนอกลมพัดค่อนข้างแรง คนในหมู่บ้านต่างก็เข้าบ้านพักผ่อนตั้งแต่หัวค่ำแล้ว
เฉินเสียนตักน้ำร้อนมาให้ซูเซี่ยนล้างหน้าล้างเท้า แล้วจึงค่อยๆ คลานขึ้นบนเตียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เข้านอนอย่างเชื่อฟัง
จากนั้นเฉินเสียนก็ตักน้ำมาให้ตัวเองเพื่อชะล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยเศษฝุ่นของเธอ ซูเจ๋อเองได้อาบเสร็จก่อนหน้าซูเซี่ยนและเฉินเสียนแล้ว เมื่อเฉินเสียนกลับมาถึงห้อง ก็เห็นเขาอยู่ในห้อง เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน
แม่นมซุยได้จัดระเบียบภายในห้องอย่างเหมาะสม ที่เตียงถูกปูด้วยที่นอนและผ้านวมที่สะอาด ดูแล้วคงอุ่นไม่ใช่น้อย
แม่นมซุยเดินออกมาจากห้องข้างๆ นางพูดกับเฉินเสียนว่า : “อาเซี่ยนนอนหลับไปแล้ว จะให้อุ้มเขามานอนกับท่านและใต้เท้าหรือเปล่าเจ้าคะ?”
ก่อนที่เฉินเสียนและซูเจ๋อจะมา ซูเซี่ยนนั้นนอนกับเอ้อเหนียงมาโดยตลอด เพื่อที่ว่าตอนกลางคืนเอ้อเหนียงก็จะได้ดูแลสะดวก และจะไม่ต้องหนาวจนไม่สบาย
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “ไม่ต้องแล้ว ให้เขานอนที่นั่นเถอะ อุ้มไปอุ้มมาเดี๋ยวจะโดนลมจนไม่สบายเอาได้”
แม่นมซุยจึงพูดขึ้นว่า : “งั้นก็ให้นอนกับบ่าว ท่านกับใต้เท้าก็รีบพักผ่อนเถอะเจ้าค่ะ”
เฉินเสียนพยักหน้าเบาๆ แม่นมซุยจึงกลับเข้าห้องของตัวเองไป
ซูเซี่ยนที่ควรนอนหลับสนิทอยู่บนเตียงนั้น แต่ตอนนี้กลับกำลังลืมตาแป๋วอยู่ แม่นมซุยหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “วันนี้ท่านดูตื่นตัวเป็นพิเศษ ทั้งที่ควรจะหลับไปตั้งแต่เช้าแล้ว”
ซูเซี่ยนจึงพูดขึ้นว่า : “เอ้อเหนียง ข้ารู้สึกดีใจมาก ก็เลยนอนไม่หลับ”
แม่นมซุยจึงพูดขึ้นว่า : “แล้วทำไมถึงยังแกล้งนอนเล่าเจ้าคะ ไม่อยากไปนอนที่ห้องท่านพ่อกับท่านแม่หรอกหรือ?”
ซูเซี่ยนจึงพูดขึ้นว่า : “ข้าให้ท่านพ่อของข้าอยู่กับท่านแม่ และให้ท่านแม่ของข้าอยู่กับท่านพ่อ ข้าจะไม่แย่งกับพวกเขา”
แม่นมซุยไม่รู้ว่าความเข้าอกเข้าใจและความอ่อนโยนที่ซูเซี่ยนมีนี้ เขาไปฝึกจากใครมา ทั้งๆ ที่เวลาที่เขาได้อยู่กับท่านพ่อท่านแม่ของเขานั้นน้อยเสียยิ่งกว่าอะไรดี ส่วนหนึ่งอาจมีมาโดยกำเนิด อีกส่วนคงได้มาจากท่านพ่อของเขา และอีกส่วนหนึ่งนั้นก็คงได้มาจากท่านแม่ของเขา
แม่นมซุยพูดขึ้นด้วยความรักและเอ็นดู : “เด็กคนนี้นี่ รีบเข้านอนเถอะเจ้าค่ะ”
เฉินเสียนเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูลง จึงได้เห็นว่าซูเจ๋อได้ปลดชุดนอกแขวนไว้ที่ราวผ้าและได้ขึ้นเตียงไปเรียบร้อยแล้ว เธอจึงพูดขึ้นอย่างทำตัวไม่ค่อยถูกว่า : “เอ่อคือ อาเซี่ยนนอนกับเอ้อเหนียงไปแล้ว คืนนี้ เอ่อ คืนนี้มีแค่ข้ากับท่านเท่านั้น”
ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า : “เตียงนี้ไม่ได้กว้างมากนัก ไม่พอนอนสามคนหรอก”
มีซูเจ๋อคอยจ้องมองเธออยู่แบบนี้ เธอจึงรู้สึกเขินที่จะปลดชุดนอกต่อหน้าเขา
ซูเจ๋อพิงกับหัวเตียง คิ้วและนัยน์ตาเรียวยาวนั้นกำลังจ้องมองเธออยู่ เขายิ้มขึ้นอย่างมีเงื่อนงำ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า : “ท่านจะยืนอยู่ตรงนั้นทั้งคืนหรือ?”
เฉินเสียนเม้มปากเบาๆ หมุนตัวกลับไป ปลดชุดนอกออกทีละชั้น เหลือไว้เพียงชุดในสุดที่ค่อนข้างบาง เธอก้มหน้าลงต่ำแล้วเดินตรงไปยังด้านนอกของเตียงที่ว่างอยู่
แต่แล้วก็ถูกซูเจ๋อดึงแขนของเธอไว้ก่อน
เฉินเสียนใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที เธอจ้องมองเขาด้วยความอึ้ง
เขาขยับออกมาด้านนอกของเตียง แล้วพูดขึ้นด้วยความอ่อนโยนว่า : “เข้าไปนอนด้านใน”
เฉินเสียนที่ยังไม่ทันจะเข้าใจ ก็ถูกซูเจ๋อดึงเข้าไปด้านในของเตียง เมื่อเธอค่อยๆ หย่อนตัวลงนอนเรียบร้อยแล้ว ก็รู้สึกว่าแผ่นหลังของที่สัมผัสโดนพื้นเตียงนั้นอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เธอจึงเข้าใจได้ในทันที ว่าที่แท้แล้วซูเจ๋อตั้งใจนอนให้เตียงอุ่นก่อนแล้วจึงค่อยขยับให้เธอนอน
ซูเจ๋อสัมผัสดวงตาของเธออย่างแผ่วเบา พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงบางเบาว่า : “วันนี้ท่านร้องไห้จนตาแดงหมดแล้ว เกรงว่าพรุ่งนี้เมื่อท่านตื่นขึ้นมาคงจะรู้สึกไม่สบายตามาก ได้เจอกับลูกชายควรจะดีใจไม่ใช่หรือ? ท่านร้องไห้ขนาดนี้ทำไมกัน”
เฉินเสียนที่รู้สึกทำตัวไม่ค่อยถูก : “ตอนนั้นข้ารู้สึกตื้นตันจนเกินไป จึงกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่” เธอโอบรอบเอวของเขา ซบเข้าหาอ้อมแขนของเขา และหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าควรขอบคุณฉินหรูเหลียง ควรขอบคุณเอ้อเหนียง ควรขอบคุณทุกๆ คนที่ให้ความช่วยเหลือและดูแลซูเซี่ยนอย่างดีมาโดยตลอด แต่คนที่ข้ารู้สึกอยากขอบคุณมากที่สุดก็คือท่าน เป็นท่านที่มอบเขาให้แก่ข้า เป็นท่านที่คิดหาวิธีรักษาจนเขารอดชีวิตมาได้ และเป็นท่านที่ทำให้เราสองแม่ลูกได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้อีกครั้ง”