ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 552 ตอนนั้นข้าไม่สามารถทำอะไรได้
ซูเจ๋อนวดดวงตาให้เฉินเสียนเบาๆ เพื่อจะให้เธอรู้สึกสบาย เขายิ้มขึ้นที่มุมปาก พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าคือพ่อของเขา มีอะไรให้น่าขอบคุณกัน”
เฉินเสียนกอดเขาแนบแน่น พูดขึ้นพึมพำว่า : “ซูเจ๋อ ด้านนอกลมพัดค่อนข้างแรง แต่ข้ากลับรู้สึกอุ่นใจเป็นอย่างมาก ชั่วชีวิตนี้ มีแค่ท่านกับซูเซี่ยนที่คอยอยู่เคียงข้างข้า ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งอื่นใดอีกแล้ว”
ซูเจ๋อปลอบใจเธอแล้วทั้งคู่ก็ผล็อยหลับไปอย่างสงบ
ตื่นเช้ามาในวันรุ่งขึ้น ก็ยังคงเป็นเช้าที่สาดส่องไปด้วยแสงแดดสว่างจ้าแต่ไร้ซึ่งความอบอุ่น
เฉินเสียนให้แม่นมซุยเก็บข้าวของสัมภาระ พวกเขากำลังเตรียมตัวจะเริ่มออกเดินทางจากที่แห่งนี้
ก่อนที่จะออกเดินทาง ซูเจ๋อก็ได้อุ้มซูเซี่ยนด้วยมือเดียว พร้อมกับพาเฉินเสียนมุ่งหน้าไปยังเนินเขาด้านหลังของหมู่บ้าน ในมือของเฉินเสียนนั้นถือตะกร้าไว้หนึ่งใบ ด้านในของตะกร้ามีธูปเทียนและขนมนิดหน่อยที่เตรียมไว้
ซูเจ๋อบอกว่าจะพาเธอไปพบท่านแม่ของเขา ปีนั้นท่านแม่ของเขาถูกฝังอยู่ข้างเนินเขาลูกนี้
ผ่านไปแล้วยี่สิบกว่าปี ไม่รู้ว่าตอนนี้ที่นั่นสภาพจะเป็นยังไงบ้าง
เฉินเสียนเดินอยู่บนเนินเขา ลมที่หนาวเย็นพัดโชยเส้นผมและชายกระโปรงของเธอ ดุจบุปผาที่กำลังเบ่งบานต้านลมอยู่บนปลายหน้าผาอย่างภาคภูมิ
ชุดกระโปรงสีส้มอ่อนของเธอและชุดสีดำสนิทของซูเจ๋อเรียงเข้าด้วยกัน ดูแล้วกลมกลืนเข้ากันอย่างบอกไม่ถูก
เจ้าตัวกลมที่อิงอยู่บนไหล่ของซูเจ๋อ ที่ทั้งขาวและเนียนนุ่ม ถูกห่อหุ้มไปด้วยเสื้อผ้าที่ค่อนข้างหนา บนหัวของเขายังสวมหมวกที่หนาเอาไว้อีกด้วย
เมื่อถึงด้านข้างของเนินเขาแล้ว ก็เห็นสุสานที่กระจัดกระจายออกไปหลายที่ หัวหลุมศพถูกหันหน้ามายังทิศทางใต้ ที่สามารถมองออกไปได้กว้างไกลมากยิ่งขึ้น
ซูเจ๋อพาเฉินเสียนเดินมาจนถึงสุสานกองหินกองหนึ่ง มีหญ้ามากมายผุดออกมาจากช่องว่างระหว่างก้อนหิน ทุกอย่างดูเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งโดดเดี่ยวและเงียบเหงา
ซูเจ๋อยืนอยู่หน้าหลุมฝังศพอยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็เอื้อมมือไปถอนหญ้าบนหลุมฝังศพออก แล้วจึงพูดกับเฉินเสียนว่า : “นี่คือท่านแม่ของข้า”
เฉินเสียนวางซูเซี่ยนลงบนพื้นด้านข้างที่ว่าง และได้กำชับเขาว่าห้ามเดินไปไหน แล้วจึงค่อยลงมือจัดการถอนและเก็บกวาดหญ้าที่อยู่บนหลุมฝังศพพร้อมกับซูเจ๋อ พลางถามขึ้นว่า : “นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้กลับมา?”
“ลืมไปแล้ว ตอนที่ท่านพ่อของท่านยังอยู่ ข้ายังมีโอกาสมาไหว้หลุมฝังศพเสมอ จากนั้นมา ข้าก็ไม่มีโอกาสได้กลับมาไหว้อีกเลย”
หลุมฝังศพหันหน้าไปยังทิศใต้ คิดว่าคงเพราะเขาอยากจะให้ท่านแม่ของเขาได้เห็น ว่าตัวเขานั้นกำลังเดินมุ่งหน้าไปยังทางทิศใต้
ในขณะที่เฉินเสียนกำลังจัดการกับต้นหญ้าเหล่านี้อยู่นั้น จู่ๆ ซูเจ๋อก็พูดขึ้นว่า : “ตอนนั้นข้าไม่สามารถทำอะไรได้ หลุมศพหลุมนี้ ท่านพ่อของท่านเป็นคนช่วยข้าฝังและนำหินเหล่านี้มากองเป็นหลุมศพ”
เฉินเสียนหยุดนิ่งไปชั่วขณะ รู้สึกแสบจมูกเล็กน้อยเหมือนจะร้องไห้
ในตอนนั้น เขาโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพิงแค่ไหน เพียงเพราะมีคนช่วยเขาฝังศพท่านแม่ของเขา ให้ท่านแม่ของเขาได้หลับอย่างสงบน่ะหรือ? ที่ทำให้เขาจดจำบุญคุณไม่รู้ลืม และได้ชดใช้บุญคุณมาทั้งชีวิตแบบนี้?
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?”
ซูเจ๋อใช้คำพูดที่เรียบง่ายและชัดเจนที่สุดในการบอกเล่าเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต : “ตอนที่กำลังถูกมือสังหารตามฆ่าอยู่นั้น ก็เจอท่านพ่อของท่านที่กำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังพรมแดนทางตอนเหนือของเป่ยเจียงเข้าพอดี เขาจึงได้ช่วยข้าไว้ ส่วนท่านแม่ของข้านั้น เพราะต้องการช่วยข้า จึงถูกสังหาร ไม่อาจต้านลิขิตสวรรค์”
“แล้วท่านพ่อของท่านล่ะ?” เฉินเสียนครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ถามคำถามที่อยากถามมาตั้งนานแต่ไม่เคยได้มีโอกาสถามสักครั้ง
“ท่านพ่อหรือ” ซูเจ๋อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย : “ไม่รู้สิ เหมือนจำได้เลือนรางว่าท่านแม่ของข้านั้นตั้งหน้าตั้งตารอเขากลับมาทุกวัน แต่จนถึงวันที่นางตาย เขายังคงไม่ได้กลับมาอยู่ดี”
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “ไม่แน่เขาอาจจะกำลังประสบกับความยากลำบากอะไรบางอย่างก็ได้ เหมือนท่านกับซูเซี่ยนในตอนแรกไง”
เฉินเสียนย่อตัวลงหน้าหลุมฝังศพ เธอจุดธูปและเทียน ซูเจ๋อลูบผมของเธอเบาๆ แล้วจึงย่อตัวลงข้างเธอ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไม่เป็นไรหรอก ในความทรงจำของข้านั้น เขาไม่ได้สำคัญอะไรมากมายอยู่ดี”
เฉินเสียนหันหน้าไปกวักมือเรียกซูเซี่ยน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อาเซี่ยน มานี่เร็ว มาทำความเคารพท่านย่าของเจ้าเร็ว”
ในมือของซูเซี่ยนถือธูปอย่างถูกต้องอย่างเหมาะสม จากนั้นก็โค้งคำนับลงต่ำอย่างนอบน้อม พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านย่า อาเซี่ยนมาเยี่ยมท่านแล้ว”
เฉินเสียนเองก็ได้ทำความเคารพด้วยธูปและเทียน เธอเรียกผู้ตายในหลุมฝังศพด้วยความเคารพว่า : “ท่านแม่”
เมื่อกราบไหว้เสร็จแล้ว ทั้งสามแม่ลูกก็ได้จากที่แห่งนี้ไป เส้นทางของพวกเขานั้นยังอีกยาวไกล ชีวิตในวันข้างหน้าของพวกเขายังมีเรื่องที่น่าตื่นเต้นและยิ่งใหญ่อีกมากมาย
เมื่อกลับไปยังหมู่บ้าน แม่นมซุยได้จัดเตรียมข้าวของสัมภาระเสร็จหมดแล้ว
แม่นมซุยได้กล่าวอำลาคนในหมู่บ้าน จากนั้น ทั้งนางและซูเจ๋อ เฉินเสียน รวมถึงซูเซี่ยนก็ได้เดินทางออกจากหมู่บ้านแห่งนี้ไป
พรมแดนเขตเป่ยเจียง ไม่ได้มีเพียงเหล่าทหารของราชอาณาจักรต้าฉู่เท่านั้นที่รออยู่ ทางราชอาณาจักรเป่ยเซี่ยเองก็รออยู่ด้วย
ในตอนแรกซูเจ๋อตั้งใจจะให้เฉินเสียนพักอยู่ที่หมู่บ้านก่อน รอให้เขาจัดการทุกอย่างให้เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วจึงค่อยย้อนมารับสองแม่ลูกกลับไปยังเมืองหลวงด้วยกัน แต่มาคิดดูแล้วเฉินเสียนคงจะไม่ยอมเป็นแน่ เขาเองจึงไม่ได้ดันทุรังต่อ ดังนั้นทั้งสามจึงได้ออกเดินทางพร้อมกัน
สองวันผ่านไป รถม้าได้เดินทางเข้าสู่เขตเมืองของเป่ยเจียง แน่นอนว่าแม่ทัพเจิ้นเป่ย (แม่ทัพพิทักษ์แดนเหนือ) ต้องรู้จักเฉินเสียนอยู่แล้ว เมื่อได้ฟังราชทูตที่เดินทางมาถึงก่อนนั้นได้อธิบาย เขาก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเฉินเสียน ดังนั้นตอนที่เข้าเมืองมา แม่ทัพเจิ้นเป่ยจึงออกมารับด้วยตัวเอง
เขาได้จัดเตรียมที่พักชั่วคราวให้กับเฉินเสียนและซูเจ๋อเรียบร้อย ถึงแม้ว่าเงื่อนไขของเป่ยเจียงจะค่อนข้างมีข้อจำกัด แต่ภายใต้เงื่อนไขที่จำกัดนี้ แม่ทัพเจิ้นเป่ยก็ได้พยายามจัดเตรียมอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
เร่งเดินทางมาสองวัน แม่นมซุยก็ได้รีบพาซูเซี่ยนกลับเรือนไปพักผ่อนก่อน
จากนั้นเฉินเสียนก็เข้าพบแม่ทัพเจิ้นเป่ย พร้อมกับถามขึ้นว่า : “ตอนนี้สถานการณ์ที่ราชอาณาจักรเป่ยเซี่ยเป็นอย่างไรบ้าง?”
แม่ทัพเจิ้นเป่ยตอบกลับไปว่า : “กองกำลังทหารหนึ่งแสนนายได้ประจำการอยู่ที่เขตพรมแดน ไม่ยอมถอนกำลัง องค์จักรพรรดิแห่งราชอาณาจักรเป่ยเซี่ยขึ้นนำกองทัพด้วยพระองค์เอง” เขาพูดพลางเหลือบไปมองซูเจ๋ออยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “องค์จักรพรรดิแห่งอาณาจักรเป่ยเซี่ยจะต้องได้เจอใต้เท้าซูเท่านั้นจึงจะยอมถอนกำลังทหารพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนขมวดคิ้ว พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “อยู่ดีๆ จะต้องการเจอใต้เท้าซูทำไมกัน?”
“เรื่องนี้กระหม่อมเองก็ไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินเสียนจึงออกคำสั่งอย่างเฉียบขาดว่า : “เจ้าส่งคนไปแจ้งกับทางองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยว่าข้ามีความประสงค์จะเข้าพบ หากทางฝั่งนั้นตกลง ก็ให้เขากำหนดสถานที่เจรจามา”
เธอเองก็คิดว่าเวลานี้ ถึงคราวที่ต้องเข้าพบเขาในนามของเสด็จตาของเธอแล้ว เพียงแต่ว่าเธอคงไม่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในเครือราชตระกูลกับเขา แต่จะเข้าหาเขาในนามของกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรต้าฉู่แทน
“พ่ะย่ะค่ะ” แม่ทัพเจิ้นเป่ยรับคำสั่งแล้วจึงรีบไปปฏิบัติในทันที
แม่ทัพเจิ้นเป่ยได้ให้คนส่งสารไปยังฝ่ายอาณาจักรเป่ยเซี่ยภายในคืนเดียวกันทันที
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงประทับอยู่ในกองบังคับบัญชาการ เมื่อได้รับสารจากราชทูตของอาณาจักรต้าฉู่แล้ว ก็ได้ส่งราชทูตกลับไปยังราชอาณาจักรต้าฉู่ พระองค์ทรงฉลองพระภูษาลายมังกรสีทองอร่าม ทรงขยับผ้าคลุมหนังสัตว์สีดำสนิท แล้วทรงประทับลงบนพระที่นั่ง ตรัสขึ้นด้วยสีพระพักตร์ที่เรียบเฉยว่า : “จักรพรรดินีผู้นี้ มีความกล้าหาญชาญชัยไม่ใช่น้อย”
กองทัพทหารราชอาณาจักรเป่ยเซี่ยมาข่มขวัญที่เขตพรมแดนแล้ว นางยังคิดจะมาขอเข้าพบองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยอีกหรือ
นายทหารด้านล่างพระที่นั่งได้ทูลขึ้นว่า : “พึ่งจะขึ้นครองราชย์ ก็บังอาจกล้ามาถึงเขตพรมแดนแห่งนี้ คงไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียแล้ว จักรพรรดินีผู้นี้ ฝ่าบาทจะทรงให้เข้าพบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงหรี่พระเนตรลง ดวงพระเนตรเรียบเฉยไร้ซึ่งการแสดงอารมณ์ใดๆ ออกมาทั้งสิ้น ไม่ว่าผู้ใดก็มิอาจหยั่งรู้พระทัยของพระองค์ได้
ผ่านไปครู่ใหญ่ องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยจึงตรัสขึ้นว่า : “ข้าไม่ได้ต้องการจะพบนางตั้งแต่ทีแรก”
เมื่อเข้าสู่วันที่สอง อาณาจักรเป่ยเซี่ยได้ตอบสารกลับมาว่าปฏิเสธการเข้าพบขององค์จักรพรรดินีต้าฉู่
เมื่อสารถูกส่งมาถึง จะไม่ให้กองทัพเหล่าทหารที่เขตชายแดนอาณาจักรต้าฉู่โกรธเคืองได้อย่างไร แม่ทัพเจิ้นเป่ยพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า : “อาณาจักรเป่ยเซี่ยต้องการหยามเกียรติของเรา อยากให้อาณาจักรต้าฉู่ของเราต้องอับอายชัดๆ!”
เฉินเสียนยังคงสุขุมและนิ่งสงบ เธอพูดขึ้นว่า : “ข้าออกตัวไปขอพบองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก่อน องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยย่อมมีสิทธิ์ปฏิเสธการเข้าพบอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่จำเป็นจะต้องไปโกรธเคืองอะไรมากมาย”
แม่ทัพเจิ้นเป่ยพูดขึ้นด้วยความฉุนเฉียวว่า : “ฝ่าบาททรงยินยอมจะออกไปเจรจากับองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยด้วยพระองค์เองแท้ๆ แต่พวกเขากลับไม่ไว้หน้าเลย นี่ไม่ใช่การยั่วยุอย่างจงใจแล้วจะเป็นอะไรไปได้อีกพ่ะย่ะค่ะ! หรือฝ่าบาทจะเทียบเทียมใต้เท้าซูไม่ได้ มีความน่าเชื่อถือไม่เท่าใต้เท้าซูหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
“นี่เป็นปัญหาที่ข้ากำลังครุ่นคิดอยู่” เฉินเสียนพูดขึ้นอย่างมีเงื่อนงำว่า : “เกรงว่าเขาจะไม่ได้มาเจรจาด้วยใจจริงน่ะสิ”