ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 553 ตาแก่คนนั้นทำไมถึงต้องการจะพบท่านให้ได้?
หลังจากนั้นทางกองทัพเป่ยเซี่ยก็ได้ส่งสารมาอีกหนึ่งฉบับ ว่าองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยยังคงยืนยันจะพบซูเจ๋อเพียงลำพังเท่านั้น นอกจากซูเจ๋อแล้ว พระองค์ทรงไม่ยอมพบใครทั้งนั้น
เฉินเสียนที่นิ่งสงบในตอนแรก จู่ๆ ก็เข้มขรึมขึ้นมาทันที เธอจ้องมองไปที่ราชทูตของทางราชอาณาจักรเป่ยเซี่ย พูดขึ้นอย่างช้าๆ ว่า : “อยากจะเจอซูเจ๋อ? เจ้าให้เขากลับไปฝันต่อเถอะ”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยคงจะไม่ได้ต้องการแค่เจรจาเท่านั้นอย่างแน่นอน เขาต้องการจะให้ซูเจ๋อไปทำไมกัน?
เฉินเสียนไม่เข้าใจเลย และไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน
สุดท้ายทางฝั่งเป่ยเซี่ยก็ได้รัวกลองสั่งการแบ่งทหารออกเป็นสามกองทัพ ทางฝั่งอาณาจักรเป่ยเซี่ยได้ให้เวลาเฉินเสียนตัดสินใจเป็นเวลาสามวัน ภายในสามวันนี้หากยอมส่งตัวซูเจ๋อมาที่ค่ายทหารของเป่ยเซี่ย ทั้งสองอาณาจักรก็จะสงบสุขไร้ซึ่งสงคราม แต่หากว่าเธอจะปฏิเสธ เกรงว่าจะต้องพบกันด้วยกองทัพทหารทั้งกองเสียแล้ว
สถานการณ์ที่เขตชายแดงของทั้งสองราชอาณาจักรในตอนนี้ค่อนข้างตึงเครียดเป็นอย่างมาก
ซูเจ๋อเห็นเฉินเสียนเดินไปทั่วทั้งค่ายทหารด้วยอารมณ์ที่ฉุนจัด ตัดสินใจวางแผนหารือเกี่ยวกับมาตรการการรับมือกับเหล่าแม่ทัพของชายแดน
ซูเจ๋อที่อยู่ในกระโจมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า : “ให้ข้าไปเข้าพบองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ย ก็ไม่ได้เสียหายอะไร”
เฉินเสียนหันหน้ากลับมา แววตาแน่วแน่ : “ท่านห้ามไปเด็ดขาด! ทำไมเขาถึงต้องการพบท่านตามลำพังเท่านั้น หากท่านไป ท่านจะต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน”
ชื่อเสียงเรียงนามของซูเจ๋อ ไม่ได้โดดเด่นแค่ในราชอาณาจักรต้าฉู่เท่านั้น ทั้งอาณาจักรเย่เหลียงและอาณาจักรเป่ยเซี่ยต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี เขาใช้ความสามารถเชิงกลยุทธ์ในการช่วยเฉินเสียนกอบกู้ราชอาณาจักรต้าฉู่ วันข้างหน้าอาจจะมาเป็นคู่ปรับของราชอาณาจักรเป่ยเซี่ยและราชอาณาจักรเย่เหลียงได้ เพราะฉะนั้นทางเป่ยเซี่ยจึงใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะกำจัดเขาทิ้งไป
เฉินเสียนทำได้แค่เพียงคิดในแง่ร้ายไว้ก่อนเสมอ
ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า : “ท่านไม่กลัวหรือว่าเพราะข้าคนคนเดียว จะนำมาซึ่งสงครามของทั้งสองราชอาณาจักรได้”
เฉินเสียนพูดขึ้นอย่างดุเดือดว่า : “หากเขาคิดจะทำสงครามจริงๆ ทางอาณาจักรเป่ยเซี่ยควรจะบุกมาทำลายตั้งตอนที่ราชอาณาจักรต้าฉู่กำลังวุ่นวายและระส่ำระสายสิ ตอนนี้พึ่งจะมาบอกว่าจะทำสงคราม เขาพลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว ตาแก่คนนั้นคงจะคิดว่าตัวเองเป็นเสด็จตาของข้าจริงๆ คิดว่าช่วยข้าไปครั้งหนึ่งแล้ว ไม่ว่าจะขออะไรมาข้าคงจะยอมให้หมดสินะ? ***!”
ทางฝั่งเป่ยเซี่ย องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยสีพระพักตร์เงียบขรึม นายทหารด้านล่างพระที่นั่งเงียบสนิทไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
จากนั้น นายทหารก็ทูลขึ้นอย่างไม่แน่ใจว่า : “ฝ่าบาททรงตั้งพระทัยจะส่งทหารออกไปรบจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ? ก่อนหน้านี้เรามีโอกาสที่ดีและหายากมาก แต่ฝ่าบาททรงไม่ได้ส่งทหารเข้าไปรบ ตอนนี้เกรงว่า…..”
ตอนนี้เพิ่งจะมาทำสงคราม แพ้หรือชนะ ก็ไม่อาจคาดเดาได้
กองทัพต้าฉู่พึ่งผ่านสงครามการนองเลือดมา ขวัญและกำลังใจก็ยังไม่ทันลดละ หากทางต้าฉู่ได้รวบรวมเหล่าทหารสู้กับทางเป่ยเซี่ย เกรงว่าทางเป่ยเซี่ยจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากกว่า
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงหรี่พระเนตรลง แล้วทรงตรัสขึ้นด้วยความคลุมเครือว่า : “เป็นแค่ลูกเป็ดขนเหลือง แต่กลับผยองไม่น้อย”
จนในท้ายที่สุด องค์จักรพรรดิก็ไม่ได้ทรงสรุปว่าจะทำสงครามหรือไม่
เมื่อเหล่าทหารแยกย้ายออกไปแล้ว ก็มีท่านอ๋องท่านหนึ่งของเป่ยเซี่ยเดินเข้ามาในกองผู้บังคับบัญชาการทหาร เพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ย
ท่านอ๋องท่านนี้เป็นราชทูตคนเดิมที่เดินทางไปยังราชอาณาจักรต้าฉู่เมื่อครั้งที่แล้ว และเป็นพี่น้องที่องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเหลือเพียงคนเดียว……ท่านอ๋องมู่
ในราชอาณาจักรเป่ยเซี่ยท่านอ๋องมู่นั้นไม่มีอำนาจใดๆ แต่ชื่อเสียงเรียงนามของเขานั้นสูงส่ง เขาจึงสามารถอยู่เคียงข้างองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้ และได้รับการไว้วางพระทัยและความสนิทสนมจากองค์จักรพรรดิเป็นพิเศษ
ตอนที่ท่านอ๋องมู่มาถึง ก็เห็นสีพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด จึงหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เสด็จพี่ยังทรงพิโรธอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงตบโต๊ะยาวที่ตั้งอยู่ด้านข้าง พร้อมกับตรัสขึ้นว่า : “เด็กคนนั้น มองเบื้องลึกไม่ออกจริงๆ”
ท่านอ๋องมู่จึงพูดขึ้นว่า : “ข้ารู้ว่าเสด็จพี่ไม่ได้อยากทำสงครามนี้ เพียงแค่อยากจะกำราบจักรพรรดินีนั่นก็แค่นั้น แต่จักรพรรดินีองค์นั้นกลับจิตใจกล้าหาญชาญชัย แม้ว่าจะมีกองทัพนับแสนนายประจำการอยู่ที่ชายแดนข่มขวัญอยู่แท้ๆ แต่ก็ไม่สามารถข่มนางได้ กระหม่อมดูแล้ว ต่างคนต่างถอยกันคนละก้าวจะเป็นการดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงหันไปทอดพระเนตรท่านอ๋องมู่ แล้วทรงตรัสขึ้นว่า : “ถอยอย่างไร?”
ท่านอ๋องมู่พูดขึ้นอย่างนิ่มนวลว่า : “เสด็จพี่ไม่ได้บอกเด็กคนนั้นให้ชัดเจน ว่าที่ให้ซูเจ๋อมา เพียงแค่อยากดูให้เห็นกับตาก็เท่านั้น ดูแล้วเด็กคนนั้นก็แค่กลัวว่าเสด็จพี่จะทำอะไรไม่ดีกับซูเจ๋อ จึงได้ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียวเช่นนี้”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงหรี่พระเนตรลง พร้อมกับตรัสขึ้นว่า : “ข้าจะเจอเขา ทำไมยังต้องแจ้งเด็กคนนั้นด้วย?”
ท่านอ๋องมู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เสร็จพี่คงจะยังไม่ทราบ กระหม่อมนั้นได้เห็นเองกับตา ว่าเด็กคนนั้นปกป้องซูเจ๋อเสียยิ่งกว่าอะไรดี ใครก็แตะต้องไม่ได้เชียว”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่ได้ทรงตรัสอะไรขึ้นมาอีก แววพระเนตรลุ่มลึก ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงความคิดของพระองค์ได้
ท่านอ๋องมู่กล่าวต่อไปว่า : “เสด็จพี่จะต้องสัญญากับนางเป็นกิจจะลักษณะ รับปากว่าจะไม่ทำร้ายซูเจ๋ออย่างแน่นอน บางทีนางอาจจะยอมรับข้อตกลงนี้ก็เป็นได้พ่ะย่ะค่ะ” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่บางเบา
“กระหม่อมได้ทิ้งคนไว้ที่อาณาจักรต้าฉู่เพื่อสืบเรื่องราว ได้นับแจ้งมาว่าตอนนั้นซูเจ๋อได้รับการช่วยเหลือจากจักรพรรดิหมิงกัน หากเสด็จพี่มั่นใจว่าซูเจ๋อใช่แน่นอน งั้นจักรพรรดิหมิงกันก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณของซูเจ๋อ เสด็จพี่ไยต้องคิดเล็กคิดน้อยกับทายาทคนเดียวของเขาด้วยเล่า”
ผ่านไปหนึ่งวัน ในที่สุดองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็ได้ยอมถอยไปหนึ่งก้าว และได้แจ้งเจตจำนงของพระองค์ ว่าที่ให้ซูเจ๋อมาเข้าพบที่ค่ายของเป่ยเซี่ยนั้น เพียงแค่ต้องการรู้จักก็เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาทำร้ายใดๆ ทั้งสิ้น และได้ส่งมอบตราหยกประจำตัวองค์จักรพรรดิมาด้วย เพื่อเป็นการรับรอง
ตราหยกประจำตัวองค์จักรพรรดิถูกวางอยู่ในกล่องผ้าสีดำ เมื่อเปิดขึ้นมาดูแล้ว เนื้อหยกโปร่งใสสะอาด สีขาวเงางามไร้ซึ่งที่ติ
แม่ทัพที่อยู่ในกระโจม รวมทั้งเฉินเสียน ต่างพากันนิ่งเงียบ
“องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทำเช่นนี้ ถือว่ามีความจริงใจไม่น้อย”
“ดูท่าแล้ว เขาคงเพียงแค่อยากจะพบใต้เท้าซูเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
แต่จะอนุญาตหรือไม่ ก็ยังต้องรอคำสั่งจากเฉินเสียนอีกที
เฉินเสียนไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ ออกมาทั้งสิ้น เมื่อออกจากกระโจมแล้ว ก็มีเสื้อคลุมชุดหนึ่งคลุมลงบนตัวเธอ ซูเจ๋อกุมมือเธอไว้ เดินอยู่ริมค่ายทหารภายใต้แสงเปลวไฟเคียงคู่กับเธอ
ซูเจ๋อพูดขึ้นว่า : “อาเสียน อย่าห่วงไปเลย ในเมื่อองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้พูดเช่นนี้แล้ว เขาคงจะไม่กลับคำพูด ทำลายความศรัทธาของผู้คนหรอก”
เฉินเสียนพูดขึ้นด้วยความไม่สบายใจว่า : “เขาลงทุนลงแรงมากมายขนาดนี้เพียงเพื่อจะพบท่านทำไมกัน? เขาไม่เกรงกลัวการเผชิญหน้าของกองทัพทั้งสองอาณาจักร จนเกือบจะเกิดสงครามระหว่างทั้งสองอาณาจักรเสียด้วยซ้ำ”
เฉินเสียนชะงักฝีเท้าลง เงยหน้าขึ้นมองเขา พร้อมกับถามขึ้นว่า : “ซูเจ๋อ ท่านไปทำอะไรให้องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่พอใจรึเปล่า? ตาแก่นั่นถึงได้ดันทุรังจะเจอท่านท่าเดียวแบบนี้?”
ซูเจ๋อแววตาลุ่มลึกไม่แน่นอน เขายิ้มขึ้นที่มุมปาก พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงบางเบาว่า : “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน ข้ารู้เพียงว่าตัวข้าเองไม่เคยมีเรื่องบาดหมางคับแค้นข้องใจต่อกันก็พอ ไปครั้งนี้เขาก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก ท่านวางใจได้”
“ข้าวางใจไม่ได้จริงๆ” เฉินเสียนเม้มปากแน่น แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ก่อนหน้านี้เขายังแข็งข้อไม่ยอมประนีประนอม ทำท่าจะส่งทหารมาด้วยซ้ำ ตอนนี้บทจะถอยก็ถอยเฉย นึกว่าข้าน่าแกล้งเล่นนักหรือไงกัน หากข้าไม่ยอมให้ท่านไป เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เหมือนกัน”
ซูเจ๋อจึงพูดขึ้นว่า : “องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่ใช่คนที่จะถอยโดยง่ายเช่นนี้ อาจเป็นเพราะเขานั้นได้รับฟังคำแนะนำต่างๆ จากแม่ทัพรอบๆ ตัวเขา แต่คนที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยได้ เกรงว่าจะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
“ใคร?”
ซูเจ๋อหรี่ตามองลงมาที่เธอ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ท่านเคยเจอแล้ว ท่านอ๋องราชทูตแห่งราชอาณาจักรเป่ยเซี่ยผู้นั้น ท่านอ๋องมู่……ผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจากองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยที่สุด”
แน่นอนว่าเฉินเสียนจำได้ ท่านอ๋องผู้นั้นที่ทั้งอบอุ่นอ่อนโยนและเป็นมิตร ทำให้เธอรู้สึกประทับใจไม่น้อย
“เขาได้พูดอะไรบางอย่างกับองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยอย่างนั้นหรือ?” เฉินเสียนถามขึ้น
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจมากนัก”
เพียงแค่ตราหยกประจำตัวองค์จักรพรรดิชิ้นเดียว ก็จะนำมาแลกตัวซูเจ๋อไปที่ค่ายทหารของเขา เฉินเสียนรู้สึกเสี่ยงไม่ไหว เธอเองรู้ดีว่าตัวเธอเองกำลังทำการเจรจาต่อรองกับสิ่งที่ขัดต่อผลประโยชน์ของฝ่ายตรงข้าม แต่ถึงกระนั้นเธอก็ไม่สามารถถอยได้
วันที่สอง เฉินเสียนตัดสินใจยินยอมให้ซูเจ๋อไปได้ แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องให้ท่านอ๋องมู่มายังค่ายทหารของอาณาจักรต้าฉู่เป็นการแลกเปลี่ยน ใช้คนแลกคน แบบนี้ถึงจะเรียกว่ายุติธรรม