ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 554 เพียงแค่รู้สึกแปลกใจ พ่อของเด็กคนนี้……
เมื่อซูเจ๋อกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เฉินเสียนก็จะส่งท่านอ๋องมู่ของอาณาจักรเป่ยเซี่ยกลับไป แต่หากว่าซูเจ๋อเป็นอะไรขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว เธอก็จะไม่ออมมือกับท่านอ๋องมู่ของอาณาจักรเป่ยเซี่ยเลย
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็ทรงพิโรธขึ้นมาทันที ทรงโยนถ้วยชาทิ้งถึงสองถ้วยติดต่อกัน พระองค์ทรงตรัสขึ้นว่า : “หรือตราหยกประจำตัวจักรพรรดิของข้าจะไม่เพียงที่จะเอาชนะความเชื่อถือของเด็กนั่นได้! คิดว่าข้าเป็นนักเลงหัวไม้แถวตลาดหรืออย่างไรกัน ไม่เชื่อในคำพูดข้าอย่างงั้นหรือ?! ส่งสารกลับไป……”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยยังไม่ทันจะตรัสเสร็จ ท่านอ๋องมู่ก็ลุกขึ้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาททรงเย็นพระทัยลงก่อน กระหม่อมยินดีจะไปยังค่ายทหารของอาณาจักรต้าฉู่ เพื่อแลกกับการที่ฝ่าบาทจะได้เจอหน้าซูเจ๋อพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงเห็นท่าทีที่ยินดีและเต็มใจ จึงรู้สึกเคืองพระทัยขึ้นมาอีกรอบ
ท่านอ๋องมู่พูดขึ้นว่า : “สามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยวิธีดีๆ ฝ่าบาทก็ไม่จำเป็นต้องทำสงคราม กระหม่อมเพียงต้องไปพักที่โน่นแค่วันสองวัน ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากนัก อีกอย่างหากหม่อมฉันได้ไปที่โน่นแล้ว ก็ยังสามารถช่วยฝ่าบาทสำรวจสถานการณ์ของที่นั่นเพิ่มเติมอีกด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
สีพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเต็มไปด้วยความครุ่นคิดที่ยากจะอธิบาย พระองค์ยังคงไม่ได้ทรงตรัสอะไรออกมาทั้งสิ้น
ในท้ายที่สุดองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยก็ยอมถอยออกมาอีกหนึ่งก้าว และทรงยอมให้ท่านอ๋องมู่เดินทางไปยังค่ายทหารของอาณาจักรต้าฉู่เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน
เรื่องส่วนตัวที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของราชอาณาจักร แน่นอน เพื่อเจอหน้าซูเจ๋อเท่านั้น องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่ต้องทำสงครามระหว่างทั้งสองราชอาณาจักรแล้ว และพระองค์เองก็ไม่ได้เกรงกลัวอาณาจักรต้าฉู่แต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้น อาณาจักรต้าฉู่ยังมีบุญคุณต่อซูเจ๋ออีกด้วย
เมื่อถึงวันที่จะต้องทำการแลกเปลี่ยนระหว่างซูเจ๋อกับท่านอ๋องมู่ ทั้งฝั่งอาณาจักรต้าฉู่และอาณาจักรเป่ยเซี่ยต่างก็เดินทางมาถึงเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างสองอาณาจักร ทั้งทหารและม้าของสองอาณาจักรล้วนแต่งกายเต็มยศดูแล้วเคร่งขรึมน่าเกรงขามอย่างยิ่ง
เฉินเสียนทอดสายตามองไปยังพื้นแผ่นดินที่กว้างใหญ่ของอาณาจักรเป่ยเซี่ย รวมถึงกองทัพที่มืดทมิฬ ส่วนผู้นำของกองทัพที่ทรงม้าอยู่ด้านหน้าสุดนั้น ก็คือองค์จักรพรรดิของราชอาณาจักรเป่ยเซี่ย เฉินเสียนมองหน้าของเขาไม่ชัดเจน แต่ก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีที่น่าเกรงขามที่เล็ดลอดออกมาจากตัวเขา
เฉินเสียนพูดขึ้นกับซูเจ๋อว่า : “ซูเจ๋อ ข้าจะรอท่านแค่สามวันเท่านั้น หากผ่านไปสามวันแล้วท่านยังไม่กลับคืนมา ข้าจะละทิ้งและไม่สนใจความเป็นความตายของท่านอ๋องมู่ และจะนำกองกำลังบุกเข้าไปโดยทันที”
ซูเจ๋อจึงตอบกลับไปว่า : “ได้ มีท่านอ๋องมู่มาแลกเปลี่ยนกับข้า องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยคงจะไม่กักตัวข้าหรอก อาเสียน ท่านแค่รอข้ากลับมาอย่างสบายใจก็พอ”
จากนั้น ทั้งซูเจ๋อและท่านอ๋องมู่ก็ได้ออกไปยังด้านหน้าเป็นเวลาเดียวกัน คนหนึ่งสวมชุดดำทมิฬทั้งชุด อีกคนหนึ่งสวมชุดสง่าผ่าเผยวิจิตรงดงาม
เฉินเสียนหรี่ตาลง จ้องมองไปยังซูเจ๋อที่ไปถึงฝั่งตรงข้ามแล้ว ทางฝั่งกองทัพเป่ยเซี่ยก็ได้ถอยทัพกลับไป ในเวลาเดียวกัน ท่านอ๋องมู่เองก็ได้มาจนถึงฝั่งนี้เป็นที่เรียบร้อย เขาได้พูดกับเฉินเสียนว่า : “องค์จักรพรรดินี เราเจอกันอีกแล้ว”
เฉินเสียนจึงละสายตาจากซูเจ๋อ เธอลดสายตาลงมองไปยังท่านอ๋องมู่ จากนั้นก็กลับขบวนกองทัพไปยังทิศทางค่ายทหาร พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า : “ท่านอ๋องมู่เดินทางจากพื้นที่ไกลมาถึงที่นี่ ข้าขอยินดีต้อนรับ”
ในค่ายทหารไม่ได้มีอะไรต้อนรับท่านอ๋องมู่เป็นการพิเศษ เฉินเสียนได้ให้เขาเข้าพักจวนเดียวกันกับที่ตัวเธอเองใช้พักอยู่ชั่วคราว ในจวนได้รับการดูแลและเฝ้าระวังอย่างเข้มงวดละเอียดและทั่วถึง
ที่กองทัพในขณะนี้ไม่มีเรื่องอะไรเป็นการพิเศษ เฉินเสียนจึงกลับไปยังจวน จัดอาหารมื้อค่ำอย่างเรียบง่าย จากนั้นก็ได้เชิญท่านอ๋องมู่มาร่วมมื้อค่ำ
ก่อนมื้อค่ำยังมีเวลาเหลืออีกพักใหญ่ เฉินเสียนจึงกลับไปที่เรือนเพื่อไปดูซูเซี่ยนเสียหน่อย
ในขณะที่ท่านอ๋องมู่กำลังไปยังงานเลี้ยงนั้น เขาได้เดินผ่านทางหน้าเรือนพอดี ก็แปลกใจเมื่อเห็นเฉินเสียนที่พึ่งกลับมาด้วยเนื้อตัวที่เปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่น หญิงผู้หนึ่งกำลังตักน้ำมาให้เธอล้างมือ จากนั้นก็มีมื้อน้อยๆ ผิวขาวสะอาดเดินออกมาจากเรือน เธอย่อตัวลงอุ้มเขาขึ้นมา
เด็กคนนั้น……ท่านอ๋องมู่ได้หยุดฝีเท้าลงในทันที
ซูเซี่ยนโอบคอของเฉินเสียนไว้ พร้อมถามพูดขึ้นว่า : “ท่านพ่อล่ะ?”
เฉินเสียนตอบกลับด้วยความอ่อนโยนว่า : “ท่านพ่อของเจ้าออกไปทำงาน อีกสามวันถึงจะกลับมา”
ซูเซี่ยนจ้องมองเฉินเสียน ดวงตาขาวดำแบ่งแยกชัดเจน เขาเป็นเด็กดีและเชื่อฟังเป็นอย่างมาก เขาโอบกอดเฉินเสียนเบาๆ
เฉินเสียนยิ้มขึ้นบางเบา ขณะที่หมุนตัว ก็พึ่งสังเกตเห็นว่าท่านอ๋องมู่ยืนอยู่ด้านนอก รอยยิ้มที่ใบหน้าของเธอก็จางหายไปในทันที เธอพูดขึ้นว่า : “เอ้อเหนียง พาอาเซี่ยนเข้าไปด้านใน”
เมื่อแม่นมซุยได้อุ้มซูเซี่ยนเข้าไปแล้ว เฉินเสียนจึงค่อยจัดระเบียบชุดราวกับไม่มีอะไรเกินขึ้น เธอเดินออกจากเรือน พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “งานเลี้ยงอยู่ตรงโถงด้านหน้า ท่านอ๋องหลงทางใช่หรือไม่?”
ท่านอ๋องมู่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ข้าพึ่งมาเป็นครั้งแรก จึงไม่ค่อยคุ้นชินกับที่นี่เท่าไหร่นัก”
เฉินเสียนไม่ได้กักบริเวณท่านอ๋องมู่ และไม่ได้สั่งให้ทหารเฝ้าประกบติดตามเขาเข้มงวดเป็นการพิเศษ เขามีสิทธิ์เหมือนเฉินเสียน ที่สามารถเดินเข้าออกในจวนอย่างอิสระ เพียงแค่ห้ามออกจากประตูใหญ่ของจวนก็พอ
ท่านอ๋องมู่ก็เปรียบเสมือนแขกท่านหนึ่ง
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็ขอเชิญท่านอ๋องไปที่ห้องโถงก็แล้วกัน”
ทั้งสองเดินผ่านสวนดอกไม้ของด้านหลัง มุ่งหน้าตรงไปยังห้องโถงด้านหน้า
ความขัดแย้งและความวุ่นวายภายในของอาณาจักรต้าฉู่ สำหรับเฉินเสียนแล้ว เหมือนเป็นการชะล้างคราบเดิมครั้งยิ่งใหญ่ เธอจึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในสายตาของท่านอ๋องมู่
ท่านอ๋องมู่พูดขึ้นว่า : “เด็กคนนั้นเมื่อครู่นี้……”
“ลูกชายของข้าเอง ทำไมหรือ?” เฉินเสียนตอบกลับอย่างเรียบเฉย
ท่านอ๋องมู่หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เมื่อครู่ข้าได้ยินเขาเรียกฝ่าบาทว่าท่านแม่ จึงรู้สึกค่อนข้างแปลกใจ พ่อของเด็กคนนี้……”
เฉินเสียนหันไปมองท่านอ๋องมู่ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เขาเหมือนใคร คนนั้นก็คือพ่อของเขา”
รอยยิ้มของท่านอ๋องแข็งทื่อไปเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดขึ้นต่อว่า : “มองตอนแรก ข้าเองรู้สึกไม่เชื่อเลยสักนิด เด็กคนนั้น เหมือนพ่อของเขามากจริงๆ”
เฉินเสียนไม่ได้พูดอะไรออกมา
ท่านอ๋องมู่พูดขึ้นต่อว่า : “ครั้งนี้ทำฝ่าบาทลำบากใจแล้ว ทรงยอมให้ใต้เท้าซูเข้าพบกับองค์จักรพรรดิของข้า พระองค์คงจะทำใจไม่น้อยที่ตัดสินใจแบบนั้น”
เฉินเสียนจึงตอบกลับไปว่า : “ข้าไม่ได้เชื่อใจองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ย แต่ข้าเชื่อใจในซูเจ๋อ และข้าเองก็เชื่อใจในท่านอ๋อง”
“ชั่งเป็นเกียรติของข้าจริงๆ”
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “ท่านอ๋องบอกข้าได้หรือไม่ ว่าทำไมองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยถึงต้องการจะพบซูเจ๋อเท่านั้น”
สีหน้าแววตาของท่านอ๋องมู่ลุ่มลึก เขาพูดขึ้นว่า : “ก่อนหน้านี้เป็นใต้เท้าซูที่คอยติดต่อกับทางราชอาณาจักรเป่ยเซี่ยอยู่ตลอด ตอนที่อาณาจักรเป่ยเซี่ยได้ส่งทหารไปประจำการที่เขตชายแดนเพื่อช่วยชีวิตขององค์หญิงนั้น เพราะว่าฝ่าบาทของข้าได้รับจดหมายไหว้วานจากเขา จึงได้ยื่นมือเข้าไปให้ความช่วยเหลือฝ่าบาท เพราะท่านพ่อของฝ่าบาทเป็นผู้มีพระคุณที่เคยช่วยชีวิตเขาไว้ ฝ่าบาทของข้าชอบในความสามารถทางการเมืองและความซื่อสัตย์ของเขาเป็นอย่างมาก ฝ่าบาทของข้าจึงต้องการจะพบเขามาโดยตลอด ฝ่าบาทวางใจได้ ฝ่าบาทของข้านั้นไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด”
เฉินเสียนจึงพูดขึ้นว่า : “หากเพียงแค่ต้องการเจอหน้า องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยสามารถเข้ามาที่อาณาจักรต้าฉู่ได้เลยนี่”
ท่านอ๋องมู่หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาทของข้าชอบคนมีความสามารถเป็นอย่างยิ่ง หากพระองค์ถูกใจใต้เท้าซูขึ้นมาแล้วล่ะก็ ไม่แน่อาจจะขอให้ใต้เท้าซูอยู่ที่อาณาจักรเป่ยเซี่ยเลยก็ได้” สีหน้าของเฉินเสียนเปลี่ยนไปในทันที แต่จู่ๆ ท่านอ๋องมู่ก็พูดขึ้นต่อว่า : “แต่ฝ่าบาททรงปรีชาสามารถ ได้นำตัวข้ามาเป็นข้อแลกเปลี่ยน หากเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าฝ่าบาทของข้าจะชอบเขามากแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจแย่งและยึดครองความรักจากผู้อื่นได้”
เฉินเสียนอึ้งไปชั่วขณะ
ท่านอ๋องมู่สาวฝีเท้าไปข้างหน้า : “ฝ่าบาทวางใจเถิด ภายในสามวันนี้ เขาจะต้องกลับมาอย่างแน่นอน”
บางครั้งเธอก็ไม่สามารถมองท่านอ๋องแห่งเป่ยเซี่ยผู้นี้ออกได้ เขายืนอยู่ทางฝั่งอาณาจักรเป่ยเซี่ย หรือ……ยืนอยู่ฝั่งนี้กันแน่?
พอมานึกๆ ดูแล้ว การเป็นตัวประกันนั้น ท่านอ๋องมู่เองสามารถปฏิเสธได้อยู่แล้ว แต่เขากลับไม่ได้ปฏิเสธ
เฉินเสียนสาวเท้าตามไป พร้อมกับถามขึ้นว่า : “เหตุใดท่านอ๋องมู่ถึงช่วยข้า?”
“ข้าช่วยฝ่าบาทตรงไหนกัน แม้จะชาญฉลาดและมีความสามารถมากมายเพียงใด แต่เขาก็มีบ้านเกิดเมืองนอนที่ต้องกลับไปอยู่ดี ที่ที่เป็นแผ่นดินบ้านเกิดของใต้เท้าซู ก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ เพราะฉะนั้นเรื่องบางเรื่อง มันก็ไม่สามารถบังคับและแย่งชิงได้”
เฉินเสียนเงียบงันอยู่ครู่ใหญ่ แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ข้าเองก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายกับท่านอ๋อง แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการทำเช่นนี้ ขอท่านอ๋องยกโทษให้ข้าด้วย”
ท่านอ๋องมู่หันกลับไปจ้องมองเธอ แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “ข้าเข้าใจดี” จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาททรงเหมือนกับท่านแม่ของพระองค์มาก”
เฉินเสียนนิ่งเงียบงัน
“ท่านรู้หรือไม่ ว่าข้าและท่านแม่ของฝ่าบาทนั้นเคยรู้จักกันเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว?” ท่านอ๋องมู่ลองถามเธอ จากนั้นเขาก็เหมือนกับกำลังพูดขึ้นพึมพำอยู่คนเดียวว่า : “ย้อนกลับไปตอนนั้น ตอนที่ท่านแม่ของฝ่าบาทยังคงเป็นองค์หญิงที่ถูกผนึกยศอยู่ในอาณาจักรเป่ยเซี่ย” ท่านอ๋องมู่ยังคงก้าวฝีเท้าช้าๆ แล้วยังคงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา ราวกับว่าในใจของเขานั้นท่วมท้นไปด้วยความโศกเศร้าที่ไม่มีจุดสิ้นสุด : “เรื่องที่นางถูกผนึกยศองค์หญิงนั้น ข้าเองก็รู้สึกว่าไม่สมควรและไม่เหมาะสมมาโดยตลอด”