ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 555 ท่านอยู่ตรงนี้ ข้าก็จะอยู่ไม่ไกลมาก
สุดท้ายแล้วเฉินเสียนก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา ว่าไม่สมควรหรือไม่เหมาะสมตรงไหน
ท่านอ๋องมู่พูดขึ้นว่า : “หวังว่าท่านจะไม่เดินตามรอยฝุ่นพวกเรา”
เฉินเสียนรู้สึกสับสนมึนงงไปหมด : “ท่านอ๋องหมายถึงอะไร?”
ท่านอ๋องมู่ยิ้มขึ้นบางเบาด้วยความเอ็นดู พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ในเมื่อฝ่าบาทได้เลือกเขาแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะต้องจับเขาให้แน่น อย่าได้ปล่อยมือเป็นอันขาด ตอนนี้ข้าเองทำได้เพียงสัมผัสและรับรู้ความกล้าหาญและการปลอบประโลมใจจากบนตัวพวกท่านทั้งสองเท่านั้น”
เฉินเสียนยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี ดูออกว่าท่านอ๋องมู่ไม่อยากที่จะพูดถึงมันอีก
เวลานี้บรรยากาศที่ค่ายทหารของอาณาจักรเป่ยเซี่ยเงียบสนิท
เข้าสู่เวลาค่ำคืน ซูเจ๋อส่งตัวไปยังค่ายทหารของอาณาจักรเป่ยเซี่ย หลังจากพักผ่อนแล้วก็ถูกพาไปยังกองผู้บังคับบัญชาการทหาร เพื่อเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ย
หัวหน้านายทหารชั้นสูงหลายคนที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอก พูดขึ้นกับซูเจ๋อว่า : “ใต้เท้าซู เชิญ……”
ด้านในของกองผู้บังคับบัญชาค่อนข้างสว่าง เงาที่สูงยาวขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยปรากฏขึ้นอยู่ในกระโจมบังคับบัญชา
สีหน้าแววตาของซูเจ๋อเรียบเฉย เดินเข้าไปในกระโจมช้าๆ ด้วยความใจเย็น
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยยืนหันหลังให้กับเขา
ซูเจ๋อคารวะ พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉยว่า : “ซูเจ๋อถวายบังคมฝ่าบาท”
ผ่านไปครู่หนึ่ง องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยจึงค่อยหันพระพักตร์แล้วทอดพระเนตรไปยังชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า ขณะที่แลกตัวเมื่อตอนเย็นที่ผ่านมา พระองค์ทรงได้ทอดพระเนตรโครงร่างและลักษณะท่าทางของซูเจ๋อเพียงผ่านๆ เท่านั้น แล้วก็กลับมายังค่ายเลย
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยไม่อยากจะยอมรับเลย พระองค์เป็นกษัตริย์อยู่เหนือใต้หล้า ปกครองทั้งทหารและม้านับพันนับหมื่น จู่ๆ ก็รู้สึกไม่กล้าสบตากับใบหน้านั้น
เมื่อคนเราแก่ตัวลง ก็ไม่อยากจะรับความสุขและความโศกเศร้าที่มากเกินไป
ซูเจ๋อที่ก้มหน้าอยู่นั้น องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยมองเห็นเพียงเงาโครงร่างอันเลือนรางของเขาภายใต้แสงเปลวเทียน เพียงพอที่จะก่อให้เกิดความรู้สึกเหมือนคลื่นที่ปั่นป่วนภายในพระทัยของพระองค์
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงตรัสขึ้นด้วยพระสุรเสียงที่เข้มขรึมว่า : “เจ้าเงยหน้าขึ้น ให้ข้าดูหน่อย”
ซูเจ๋อค่อยๆ เงยหน้าขึ้นช้าๆ
เมื่อพระองค์ทรงสบพระเนตรกับนัยน์ตาคู่เรียวยาวของเขานั้น ก็ชะงักขึ้นมาในทันที
คนหนึ่งผ่านโลกมาโชกโชน อีกคนหนึ่งยังหนุ่มยังแน่น
ห้วงเวลาที่สบตากันนั้น ราวกับกระแสน้ำที่ปั่นป่วนอย่างรุนแรงก็ไม่ปาน
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงหรี่พระเนตรลง ดวงพระเนตรแดงก่ำ และทรงค่อยๆ เดินเข้าหาซูเจ๋อช้าๆ พร้อมกับตรัสขึ้นว่า : “เหมือนที่อ๋องมู่กล่าวไว้ไม่มีผิด ใต้หล้านี้ยังมีคนที่มีใบหน้าคล้ายกับข้าอยู่จริง
ข้าเองคิดว่า เขาได้จากโลกนี้ไปตั้งนานแล้ว”
เฉินเสียนรอจนผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งวัน ช่วงเย็นของวันที่สองก็ยังไม่ได้รับข่าวคราวจากทางอาณาจักรเป่ยเซี่ยเลย เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ซูเจ๋อเป็นยังไงบ้าง ในใจของเธอร้อนรนและเป็นกังวลใจไม่สงบเลย
ดูเหมือนว่าท่านอ๋องมู่จะชอบซูเซี่ยนมากเป็นพิเศษ ทุกครั้งที่พูดถึง เขาก็มักแสดงรอยยิ้มด้วยความรักและเอ็นดูอยู่เสมอ
อาจเป็นเพราะท่านอ๋องมู่เป็นคนที่มีจิตใจและอัธยาศัยดี บนตัวของเขาจึงท่วมท้นไปด้วยความเมตตาโอบอ้อมอารี ทำให้ซูเซี่ยนไม่ได้รู้สึกเกลียดชังเขา ช่วงบ่ายที่ผ่านมา ท่านอ๋องมู่ได้นั่งเล่นกับซูเซี่ยนที่ทางเดินทั้งบ่าย และได้เล่านิทานต่างๆ นานาให้เขาฟัง
ซูเซี่ยนนั่งฟังอย่างตั้งใจ
สิ่งที่ท่านอ๋องมู่ได้เล่ามานั้นล้วนเกี่ยวข้องกับอาณาจักรเป่ยเซี่ยทั้งสิ้น เขายังพูดอีกว่า : “รอเจ้าเติบโตแล้ว จะต้องไปเที่ยวชมอาณาจักรเป่ยเซี่ยสักครั้ง ปู่จะพาเจ้าขี่ม้าต้อนแกะบนทุ่งหญ้าที่เขียวขจีของอาณาจักรเป่ยเซี่ย”
ซูเซี่ยนยิ้มตาหยี แล้วตอบกลับไปว่า : “ดีเลย”
จากนั้นท่านอ๋องมู่ก็ลุกขึ้นจัดระเบียบชุด พร้อมกับถามขึ้นว่า : “อาเซี่ยนน้อย มาให้ปู่อุ้มหน่อยดีหรือเปล่า?”
ซูเซี่ยนนั่งเงียบไม่ตอบอยู่ครู่หนึ่ง
ท่านอ๋องมู่จึงหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “เด็กน้อยไม่ชอบเข้าใกล้คนแปลกหน้าใช่หรือเปล่า? ช่างเถิด”
ทันทีที่เขาพูดจบ จู่ๆ ซูเซี่ยนก็ชูมือขึ้น ท่านอ๋องมู่อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็รีบอุ้มเขาขึ้นมานั่งบนบ่าของตัวเองด้วยความดีใจ เดินเล่นในลานสวนอยู่หลายรอบ เขาหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ครั้งนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยว ฮ่าๆๆ ไม่เสียเที่ยวจริงๆ”
เข้าสู่วันที่สาม ทางฝั่งอาณาจักรเป่ยเซี่ยก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น
ท่านอ๋องมู่เองไม่มีเวลาเล่นกับซูเซี่ยนแล้ว เขาและเฉินเสียนเข้าไปยังค่ายทหาร เวลานี้เฉินเสียนเองสวมชุดเครื่องแบบทหารทั้งชุด จ้องมองไปยังเขาด้วยแววตาที่เย็นชา พร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ก่อนอาทิตย์ตกดิน หากซูเจ๋อยังไม่ได้กลับมา ท่านอ๋องมู่ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะจัดการกับท่านก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อสร้างความฮึกเหิมให้กับเหล่าทหารทั้งสามกองทัพของข้า”
ท่านอ๋องมู่จึงพูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาทโปรดสงบจิตใจลงก่อน”
ครึ่งวันที่ผ่านมานี้ เฉินเสียนเองได้เริ่มเตรียมแผนการ สั่งการทหาร และหารือแผนการรบเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย รอจนแสงสุดท้ายของวันหมดไป ท้องฟ้าเริ่มสลัวรำไร ก็พร้อมจะรัวกลองเข้าโจมตีทุกเมื่อ
ในเมื่ออาณาจักรเป่ยเซี่ยไม่ยอมคืนคนกลับมา ที่เขตชายแดนยังมีกองทัพทหาร มันจึงเป็นการยั่วยุโดยเจตนา หากถึงเวลาที่จำเป็นก็จะต้องทำสงคราม ไม่อย่างนั้นอาณาจักรเป่ยเซี่ยยิ่งอยู่ก็ยิ่งไร้ยางอาย ถึงแม้ว่าจะต้องลงมือแย่งชิง เธอก็จะต้องชิงตัวซูเจ๋อกลับมาให้ได้
หลักการของเธอก็คือ หากผู้ใดทำให้เธอเจ็บปวด เธอจะคืนสนองความเจ็บปวดนั้นกลับไปร้อยเท่าพันเท่า
เวลานี้เอง ทางหน้าด่านได้ส่งข่าวมาว่า ดูเหมือนทางกองทัพของอาณาจักรเป่ยเซี่ยจะกำลังถอนทัพ
ท่านอ๋องมู่จึงพูดขึ้นว่า : “ในเมื่อทางฝ่าบาทของข้าถอนทัพ งั้นก็แสดงว่าเขายอมถอยแล้ว และจะนำตัวใต้เท้าซูกลับมาอย่างแน่นอน ฝ่าบาทเพียงแค่ต้องนำข้าไปยังจุดแลกเปลี่ยนที่หน้าด่านก็พอ”
เฉินเสียนขี่ม้า ในมือของเธอถือดาบอยู่ และได้พาท่านอ๋องมู่ไปยังหน้าด่าน
เธอรออยู่พักใหญ่ ภายใต้บรรยากาศพลบค่ำ ก็เห็นเงาอันเลือนรางอยู่ท่ามกลางบรรยากาศของท้องฟ้าที่โพล้เพล้ ราวกับว่าเงาของเค้าโครงนั้นถูกร่างเส้นไว้ในคืนที่จะมาถึงก่อนแล้ว เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ทั้งจางและเข้ม
จนในท้ายที่สุด กองทัพทหารทั้งกองก็ปรากฏตัวอยู่ตรงเบื้องหน้า
เฉินเสียนจ้องมองซูเจ๋อที่กำลังเดินมาจากฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังมาจากฝั่งตรงข้ามว่า : “องค์จักรพรรดินีโปรดทรงส่งท่านอ๋องมู่แห่งเป่ยเซี่ยของเราคืนกลับด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องมู่ยิ้มให้เฉินเสียนพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ฝ่าบาท หวังว่าจะพบกันอีก”
ซูเจ๋อกลับมาอย่างปลอดภัย วิกฤตการณ์ของทั้งสองราชอาณาจักรก็ถูกยกเลิกไปด้วยเช่นกัน เหล่าทหารที่เขตชายแดนต่างพากันยินดีปรีดาเป็นอย่างยิ่ง
ในตอนแรกที่ซูเจ๋อและเฉินเสียนที่ได้ให้การสนับสนุนกองทัพ เหล่าทหารต่างได้เห็นอย่างชัดเจน แน่นอนว่าศักดิ์ศรีของซูเจ๋อนั้นดูหมิ่นไม่ได้เลย
ดูเขาเหมือนเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีอะไร แต่แท้จริงแล้วเขานั้นเป็นคนที่มีความสามารถปราดเปรื่องยอดเยี่ยม ทำให้ผู้คนรู้สึกนับถือเป็นอย่างยิ่ง
เฉินเสียนลงจากหลังม้า เดินตรงไปรับซูเจ๋อ เขายิ้มขึ้นบางเบา หรี่ตาลงจ้องมองดูเธอ พูดขึ้นอย่างแผ่วเบาว่า : “อาเสียน ข้าสบายดี”
เฉินเสียนกำชายแขนเสื้อของเขาไว้แน่น กุมมือของเขาไว้ พร้อมกับพูดขึ้นพึมพำว่า : “ท่านทำข้าตกใจแทบแย่”
เมื่อกลับไปถึงเรือนที่จวน เฉินเสียนก็หันไปแล้วพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของซูเจ๋อทันที เธอนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา แขนทั้งคู่กอดเขาแนบแน่น ซุกหน้าเข้าไปในอ้อมกอดของเขา สูดลมหายใจเข้าออกเต็มปอด รับรู้ถึงกลิ่นอายของเขา
เหนือศีรษะนั้นเต็มไปด้วยดวงดาว
เธอกอดเขาแนบแน่นเนิ่นนาน ไม่อยากที่จะปล่อยเลย
เฉินเสียนพูดขึ้นพึมพำว่า : “ท่านก็รู้ว่าข้ากลัว กลัวว่าท่านจากไปแล้ว จะไม่หวนคืนกลับมาอีก”
ซูเจ๋อโน้มตัวลงมา กอดเธอแนบแน่นในอ้อมกอดของเขา ใช้มือประคองศีรษะของเธอ ระหว่างนิ้วมือของเขานั้นซอกซอนไปด้วยเส้นผมที่อ่อนนุ่มดุจแพรไหมของเธอ
“ขอเพียงแค่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ท่านอยู่ตรงนี้ ข้าก็จะอยู่ไม่ไกลมาก”
ท่านอ๋องมู่ได้กลับไปยังค่ายทหารของอาณาจักรเป่ยเซี่ยเป็นที่เรียบร้อย และได้กลับไปยังชานเมืองของอาณาจักรเป่ยเซี่ยในคืนนั้นเลย เพราะองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยกำลังรอการทูลรายงานจากเขาอยู่
ท่านอ๋องมู่ได้เข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยเป็นอันดับแรก แต่สีพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยนั้นเต็มไปด้วยความเครียดขรึม พระองค์ทรงเงยพระพักตร์ขึ้น แล้วทรงทอดพระเนตรมายังท่านอ๋องมู่ด้วยแววพระเนตรที่มืดมนและเย็นชา
ท่านอ๋องมู่หัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ดูสีพระพักตร์ของเสด็จพี่ไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่นักนะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเป่ยเซี่ยทรงตรัสขึ้นว่า : “จะดีได้อย่างไร หากไม่ใช่เพราะเจ้าเป็นตัวประกัน ข้าคงได้ตัวเขากลับไปยังอาณาจักรเป่ยเซี่ยเป็นที่เรียบร้อยไปแล้ว”
ท่านอ๋องมู่จึงพูดขึ้นว่า : “เกรงว่าหากเสด็จพี่ทำเยี่ยงนี้ เด็กคนนั้นคงจะไม่ยอมปล่อยผ่านและจะพยายามอย่างไม่ลดละเชียวพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าไปที่โน่นมาสามวัน ได้เรื่องอะไรมาบ้าง?”
ท่านอ๋องมู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า : “กระหม่อมไร้ประโยชน์ ไปตั้งสามวันแต่ไม่ได้อะไรกลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”