ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 590 เด็กคนนั้นเต็มไปด้วยความอำมหิต!
เย่ซวิ่นโกรธมากและหายใจจนหน้าอกของเขาขึ้นและลงอย่างรวดเร็ว เขากัดฟันและยิ้มเย้ย “หรือท่านเสียใจ เลยกลับมาหาข้าเพื่อจะเล่นสนุกกับข้า? เมื่อคืนท่านคงไม่สบายตัวมากล่ะสิ เป็นอย่างไรบ้าง กำยานสูตรลับของเย่เหลียงของข้าออกฤทธิ์แรงไหม? มันทำให้ท่านรู้สึกอึดอัดแทบเป็นแทบตายเลยใช่ไหม? หากท่านไม่รีบร้อนออกไปเสียก่อน ไม่แน่ข้าอาจจะสามารถทำให้ท่านผ่อนคลายราวกับลอยขึ้นสวรรค์ก็ได้”
ซูเซี่ยนดูเหมือนจะไม่สนใจการสนทนาของผู้ใหญ่ ดังนั้นเขาจึงเดินไปรอบ ๆ ห้องนอนและจับนู่นนี่เล่น
เฉินเสียนหยิบเก้าอี้มานั่งลงอย่างสบาย ๆ เลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า “ท่านช่างพูดอะไรโดยไม่คิด แน่นอน กำยานสูตรลับของเย่เหลียงก็เหมือนกับเหล้าสับปะรดของพวกท่าน ออกฤทธิ์แรง แต่มือเท้าของข้าเป็นอิสระจะไปที่ไหนก็ได้ และข้าก็มีวิธีที่จะไปเล่นสนุกกับคนรักของข้า”
สีหน้าของเย่ซวิ่นเย็นลงและกล่าวว่า “ท่านไปหาซูเจ๋อและอยู่ค้างคืนกับเขา?”
เขาโกรธ เขากำลังจะระเบิด เขาคิดว่าเฉินเสียนคงไม่ขัดขืน เมื่อคืนเธอต้องรู้สึกอึดอัดบ้าง อย่างน้อยก็ทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้นบ้าง แต่เธอกลับออกไปหาซูเจ๋อในขณะที่ยาออกฤทธิ์แรง! เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาตั้งใจวางแผนไว้นั้น ไม่ต่างกับการทำชุดแต่งงานไว้ให้คนอื่นเลย!
เฉินเสียนกล่าวอย่างไร้ความปรานี “ข้ามีเพียงเขาคนเดียว ไม่ไปนอนกับเขาจะให้ไปนอนกับใคร?”
เย่ซวิ่นกล่าวอย่างโกรธเคือง “เขาดีกว่าข้าตรงไหน? ข้าก็หน้าตาใช้ได้ รูปร่างก็ไม่เลว ทำไมท่านจึงนึกถึงเพียงแต่เขา!”
ไม่เต็มใจ ยังมีไฟอยู่นิดหน่อย เขาสามารถที่จะไม่สนใจก็ได้ว่าเฉินเสียนจะไปค้างคืนกับผู้ชายคนไหน เพราะเธอเป็นองค์จักรพรรดิ เดิมทีก็ทำใจไว้แล้วว่าหลังจากนี้ข้างกายของเธอจะไม่เพียงมีผู้ชายแค่หนึ่งหรือสองคน
แต่เมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่เธอมีความสุขกับผู้ชายคนอื่นบนเตียง เย่ซวิ่นก็รู้สึกโมโหจนแทบลุกเป็นไฟ
อันที่จริง หากมองดูรูปร่างหน้าตาของเย่ซวิ่นอย่างใกล้ชิด เขามีความน่าลุ่มหลง และดวงตาคู่นั้นบางครั้งก็สดใสและไร้เดียงสา และบางครั้งก็ดูดุร้าย และก็ค่อนข้างสะดุดตาด้วย เพียงแต่ว่าในสายตาของเฉินเสียนแล้วนั้นนอกจากซูเจ๋อ ผู้ชายคนอื่นที่เธอเห็นก็รูปร่างหน้าตาเหมือนกันไปหมด มีตาสองข้าง หนึ่งจมูก และหนึ่งปากก็เท่านั้น
เฉินเสียนกลัวว่าเขาจะไม่โกรธจนตายใจ เธอจึงทำเป็นคิดอย่างจริงจังและกล่าวว่า “หากท่านจะเอาตัวท่านมาเปรียบกับเขาล่ะก็ ก็เหมือนการดูถูกตัวเองน่ะสิ เขาดูดีกว่าท่านมาก รูปร่างก็ดีกว่าท่าน ความสามารถก็มากกว่า มีความอดทนที่ยาวนาน แถมทักษะเรื่องบนเตียงก็ขั้นเทพ”
สีหน้าของเย่ซวิ่นเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ “เป็นผู้หญิงพูดเรื่องอย่างว่า ท่านไม่รู้จักอายบ้างหรือ?”
เฉินเสียนยิ้มและสำรวจเย่ซวิ่นตั้งแต่หัวจรดเท้าและกล่าวว่า “โตเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ไม่ต้องมาแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาหรอก” รอยยิ้มที่มุมปากของเธอกลายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเล็กน้อย “ดูท่านสิ ข้าได้ยินหมอหลวงบอกว่าเมื่อคืนท่านอดกลั้นเอาไว้ทั้งคืน น้องชายถูกอัดแน่นจนแทบพัง ต่อไปจะแข็งตัวใช้งานได้อีกไหมก็แล้วแต่โชคจะเข้าข้าง หากเส้นเลือดไม่ทำงานแล้วก็คงต้องถูกตัดทิ้ง ฉับ ฉับ ฉับ”
เย่ซวิ่นทรุดตัวลงและตะโกน “เฉินเสียน ท่านคอยดูนะ! ข้าจะต้องทำให้ท่านรู้จักความโหดร้ายของข้า!”
เมื่อออกมาจากห้องนอนของเย่ซวิ่น เฉินเสียนจูงมือของซูเซี่ยน และรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก
ร่างกายส่วนล่างของเย่ซวิ่นนั้นชาไปหมด และเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยในขณะนั้น แต่หัวใจของเขาเป็นทุกข์ นางกำนัลเข้ามาปรนนิบัติดูแลเขาและเกลี้ยกล่อม “องค์ชายหกเย็นพระทัยไว้นะเพคะ หมอหลวงบอกว่าให้พระองค์ทำจิตใจให้สงบเพื่อพักฟื้นร่างกาย อย่าทำให้ร่างกายเกิดความต้องการนะเพคะ”
เย่ซวิ่นกลอกตาและหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว “เจ้าเห็นได้อย่างไรว่าข้าเกิดความต้องการ! เจ้าคิดว่าข้ายังโกรธไม่พอหรืออย่างไร!”
นางกำนัลก้มหน้ายอมรับความผิด
เย่ซวิ่นพูดอย่างหยิ่งผยอง “เอาน้ำมาให้ข้า ข้าจะกินน้ำเพื่อดับไฟโกรธ!”
หลังจากดื่มน้ำหนึ่งแก้ว เย่ซวิ่นนอนอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง ได้ยินเสียงอึกทึกของลำไส้ เขาขยับคิ้วและค่อย ๆ ขมวดคิ้ว และโอดครวญสองครั้งขณะกุมท้องไว้
เมื่อเห็นเช่นนี้นางกำนัลจึงถามว่า “องค์ชายหกเป็นอย่างไรบ้างเพคะ? ไม่สบายตรงไหนหรือเพคะ ข้อน้อยจะรีบไปตามหมอหลวงมาให้นะเพคะ”
เย่ซวิ่นลุกขึ้นนั่งอย่างแข็งกร้าวและพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ข้าจะไปเข้าห่องน้ำ”
ในช่วงเช้า เย่ซวิ่นลากสังขารร่างกายที่ซีดเซียวของเขาไปห้องน้ำมากกว่าสิบครั้ง ตอนแรกเรื่องน้องชายของเขาเพิ่งจะจบลง นี่ยังมีเรื่องเพิ่มมาอีก แบบนี้จะทำให้เขานอนพักรักษาตัวได้อย่างไร!
เย่ซวิ่นนอนอยู่บนเตียง จ้องมองไปที่กาน้ำชาบนโต๊ะ ดวงตาของเขาแทบจะกินคน และหลังจากนั้นเขาก็กระซิบกับนางกำนัลว่า “ไอ้เด็กคนนั้นจับเล่นเครื่องชาบนโต๊ะใช่ไหม!”
ตั้งแต่วินาทีที่เขาเข้าไปในห้องนอน ซูเซี่ยนก็เล่นคนเดียว เป็นเรื่องปกติที่เด็กอายุสองสามขวบจะอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เขาสัมผัสได้ และเย่ซวิ่นก็มัวแต่ทะเลาะกับเฉินเสียน ดังนั้นเขาจึงประมาทเลินเล่อไม่ระมัดระวัง
เด็กน้อยคนนั้นเต็มไปด้วยความอำมหิต!
ตอนนี้ซูเซี่ยนจับมือที่อ่อนโยนของท่านแม่ของเขา และเดินออกจากพระตำหนักฉีเล่อด้วยกัน เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของท่านแม่ พระอาทิตย์ก็ส่องแสงจ้า อารมณ์ของซูเซี่ยนก็ไม่เลวเช่นกัน
เขาหรี่ตาแคบเรียวยาวและถามทันที “ท่านแม่ ความสามารถมากกว่าคืออะไรหรือขอรับ?”
เฉินเสียนกลายเป็นพูดไม่ออกไปในทันที “เจ้าจะฟังเรื่องพวกนี้ไปทำไมกันหรือ?”
“ข้าไม่ได้อยากฟัง แต่มันเข้ามาในหูของข้าเองต่างหากล่ะ”
ดวงตาของเฉินเสียนกระตุกและกล่าวว่า “รีบไล่มันออกไป กำจัดมันไปให้หมด!”
“โอ้”
เมื่อกลับมาถึงพระตำหนักไท่เหอ ซูเซี่ยนไปนั่งอยู่ริมทะเลสาบ หยิบผ้าห่อเล็ก ๆ ที่ซุกอยู่ในเสื้อผ้าตัวเล็ก ๆ ของเขาออกมา เปิดห่อผ้าเล็ก ๆ แล้วเขย่าในสายลม เขย่าผงแป้งเนื้อละเอียดที่เหลืออยู่ในผ้าให้ลอยไปในสายลม
ซูเซี่ยนส่งเศษผ้าชิ้นนั้นให้กับแม่นมซุยอยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าเรียบเฉยและกล่าวว่า “รบกวนเอ้อร์เหนียงใส่ถุงกันยุงให้ข้าหน่อยสิ”
ทุกวันนี้ซูเจ๋อปิดประตูไม่ต้อนรับผู้คนมาเยี่ยมเยือน แต่พ่อบ้านบอกว่าใต้เท้าหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินมาเยี่ยม และเดินไปมาหน้าบ้านเป็นเวลานาน โดยไม่จากไปไหน
ใต้เท้าหัวหน้าผู้ตรวจการแผ่นดินแซ่ซวี่ ชื่อซวี่เวย คือคนที่เอาศีรษะไปกระแทกเสาเมื่อครั้งก่อน
ตอนนี้อาการบาดเจ็บที่หน้าผากของซวี่เวยค่อย ๆ หายเป็นปกติแล้ว เขายังจับตาดูการเคลื่อนไหวภายในราชสำนัก และเขาไม่สามารถผ่อนคลายได้แม้แต่น้อย
แม้ว่าเฉินเสียนจะไม่พูดถึงเรื่องที่ยืนยันว่าจะแต่งตั้งซูเจ๋อเข้าไปอยู่ในวังหลังอีกครั้งในการเข้าเฝ้าตอนเช้า แต่ ซวี่เวยก็ได้ยินมาว่าเธอแอบออกจากวังหลวงในตอนกลางคืน และคิดว่านอกจากออกมาพบกับซูเจ๋อแล้ว เธอจะยังไปไหนได้อีก
พวกขุนนางแก่เหล่านี้ เป็นเหมือนมดบนหม้อไฟ กระวนกระวายใจ หากเรื่องนี้ยังคงดำเนินต่อไปอย่างนี้ไม่ช้าก็เร็วก็จะหยุดไม่อยู่ พวกเขาไม่สามารถปล่อยให้กษัตริย์ทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ได้
ดังนั้นซวี่เวยคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และในที่สุดก็ตัดสินใจไปเยี่ยมซูเจ๋อที่นี่
ซูเจ๋อกล่าวกับพ่อบ้าน “ไปเชิญใต้เท้าซวี่เข้ามา”
หลังจากนั้นไม่นาน ซวี่เวยได้พบกับซูเจ๋อในศาลา หลังจากการทักทายถามสารทุกข์สุกดิบทั่วไป ซวี่เวยก็ถามเขาว่า “ใต้เท้าซูสุขภาพร่างกายดีขึ้นบ้างไหม?”
ซูเจ๋อกล่าว “ขอบคุณใต้เท้าซวี่ที่เป็นห่วง ข้าดีขึ้นมากแล้ว เชิญใต้เท้านั่งลงก่อน”
ในเมื่อเกลี้ยกล่อมเฉินเสียนไม่ได้ เขาจึงต้องมาลงมือที่ซูเจ๋อ
ซวี่เวยกล่าว “ใต้เท้าซูเข้าใจดีในความชอบธรรม และเป็นแบบอย่างที่ดีของเหล่าขุนนางนับร้อยมาโดยตลอด แถมยังเก่งและฉลาดซึ่งทำให้ข้าอดชื่นชมไม่ได้ ใต้เท้าซูทุ่มเทเพื่อบรรลุผลสำเร็จยิ่งใหญ่ขององค์จักรพรรดิ แต่ใต้เท้าซูมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับองค์จักรพรรดิ และข้าเกรงว่ามันจะเป็นการแปดเปื้อนที่ยิ่งใหญ่สำหรับองค์จักรพรรดิ องค์จักรพรรดิไม่คำนึงถึงขนบจารีตประเพณีที่มีมาแต่โบราณ และคบหากับอาจารย์ผู้อาวุโส แบบนี้จะให้บรรดาขุนนางนับร้อยทนดูได้อย่างไร จะให้ประชาชนคนทั่วไปพูดถึงอย่างไร?”