ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 599 โกรธแค้นมาก
มิน่าล่ะพวกเขาถึงรู้สึกคุ้นตา ที่แท้ก็คือจักรพรรดินีที่พาองค์ชายใหญ่มานั่งแทะมันเทศย่างอย่างไม่เปิดเผยสถานะตัวเองและไม่รักษาภาพลักษณ์ของตัวเองเลยแม้แต่น้อย มาปฏิบัติเช่นนี้ได้อย่างไร!
แต่เนื่องจากบนสะพานนั้นยังมีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาอยู่ในบางครั้ง จึงไม่เหมาะที่จะตำหนิได้ต่อหน้า ตอนที่เฉินเสียนและซูเซี่ยนเงยหน้ามองขึ้นก็เห็นใบหน้าคนแก่ที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจ ต่างฝ่ายก็ตกตะลึงกัน
สายตาเหล่านั้นก็สบตากันอยู่ครู่หนึ่ง เฉินเสียนจึงเอ่ยปากขึ้นก่อนว่า“พวกเจ้ามองอะไรกัน?”
คนแก่นั้นรู้สึกว่าตัวเองเสียมารยาท จึงน้อมตัวแสดงความเคารพไปทางเธอและซูเซี่ยน“ฝ่า……”พูดออกมาได้เพียงแค่คำเดียว ส่วนคำที่เหลือนั้นก็ติดอยู่ในปาก จากพูดออกมาก็ไม่ใช่ จะกลืนเข้าไปก็ไม่เชิง
เฉินเสียนพูด“พวกเจ้าอยากจะถามว่ามันเทศย่างซื้อได้จากที่ใดใช่หรือไม่?”เธอชี้ไปอีกด้านข้างสะพาน“ตรงนั้นมีตายายขายอยู่ รีบไปซื้อเร็ว”
ชายชราคนหนึ่งที่มีการตอบสนองได้ดีก่อนใคร พูดตำหนิด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า“นายหญิงพาท่านชายน้อยออกมาเปิดเผยต่อหน้าเหล่าสาธารณะชนได้อย่างไร!แล้วยังมานั่งกินขนมในตลาดอีก ไม่กลัวพยาธิเข้าไปในท้องแล้วทำให้ท้องเสียหรือ!”
เฉินเสียนลูบนิ้วไปที่ชายเสื้อของตัวเอง แล้วพูดอย่างสบายๆว่า“วันนี้เป็นวันเทศกาลสารทจีน ประราชานต่างก็สนุกเพลิดเพลินกัน ข้าก็ยังเห็นว่าพวกเจ้าชายชรายังมาร่วมเลย ทำไมข้าจะพาลูกชายข้ามาเที่ยวชมบ้างไม่ได้หรือ?”
แต่ทว่าสิ่งที่เหล่าชายชรานั้นสนใจก็คือชายผู้ที่ร่วมเดินทางมากับเฉินเสียนและซูเซี่ยน เขาสวมหน้ากากปีศาจที่เคลือบไปด้วยสีสันอันแปลกประหลาด ในเวลานั้นจึงมองไม่ออกว่าใบหน้าที่แท้จริงนั้นคือใคร เห็นแต่เพียงดวงตาที่มองออกมาอย่างเย็นชา
สายลมได้พัดแขนเสื้อของเขาขึ้น สัมผัสได้ถึงลมที่เย็นสบายและรับรู้ได้ถึงความเป็นอิสระ
ถ้าชายชรายังเดาไม่ออกว่าเขาคือใคร อย่าแม้แต่สวมใส่หน้ากากเลย แม้จะกลายเป็นเถ้ากระดูกไปแล้วตราบใดที่เขายังอยู่กับสองแม่ลูกนี้ ใช้นิ้วเท้าคิดก็ยังรู้เลยว่าเขาคือใคร!
ในฐานะองค์จักพรรดินี จะพาองค์ชายมาเดินเที่ยวเล่นท่ามกลางประชาชนก็ถือว่าไม่เป็นไร สิ่งที่ทำให้เหล่าชายชรานั้นทนไม่ได้ก็คือคิดว่าสิ่งที่จักรพรรดินีไม่ได้พูดออกมานั้นมันจะสงบเงียบลงไปแล้ว แต่ในส่วนตัวจักรพรรดินีแล้วยังคงละเมิดข้อห้ามของพวกเขา
ถ้าเกิดว่าไม่รู้สถานที่แท้จริงของชายหญิงและเด็กชายคนนนี้ก็คงคิดว่าเป็นเพียงสามคนพ่อแม่ลูกออกมาเดินเที่ยวเล่นกัน แต่ถ้าเกิดรู้ว่าชายผู้นี้คืออาจารย์อาวุโสของผู้หญิงคนนี้ จะให้คนอื่นคิดว่าอย่างไร?
แต่จักรพรรดินีนั้นกลับไม่รู้สึกเป็นกังวลแม้แต่นิด กลับยังไปเดินที่ตลาดอย่างสงบนิ่งไม่กลัวที่จะถูกเปิดโปงเลยแม้แต่นิดหรืออย่างไร?
ชายชราอีกคนที่ระงับอารมณ์ไม่อยู่ ชี้ไปที่ซูเจ๋อ แล้วถามว่า “เขา เขา……นายหญิงทำไมถึงกับเขา!”
เฉินเสียนเลิกคิ้ว แล้วเอ่ยว่า“เขาเป็นพ่อของลูกข้า ทำไมข้าถึงจะมากับเขาไม่ได้?”
“แต่ว่าเขา แต่ว่าเขา…… เฮ้อ!”
ชายชราเมื่อเห็นว่ามีคนกัลงเดินผ่านมาทางนี้ จึงทำให้อธิบายออกมาได้อย่างชัดเจน
แต่ทว่าเฉินเสียนและซูเซี่ยนนั้นก็ไม่ได้สนใจอะไร เมื่อกินมันเทศย่างหมดแล้ว จึงนำหน้ากากปีศาจมาสวมไว้ที่หน้าซูเซี่ยนยื่นมือไปดึงชายเสื้อของซูเจ๋อ แล้วมองไปยังเหล่าชายชราพูดขึ้นอย่างนิ่มนวลว่า“ท่านพ่อ ท่านปู่เหล่านี้ดูแปลกประหลาดจัง”
แม้เฉินเสียนไม่อยากจะยอมรับว่าด้วยน้ำเสียงและสายตาที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของเขา เมื่อฟังแล้วก็เหมือนกับไปยั่วยุให้แก่เหล่าชายชราได้เป็นอย่างดี เขาเรียกซูเจ๋อว่าพ่อต่อหน้าเหล่าชายชรา ทำให้พวกเขานั้นรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อซูเซี่ยนพูดจบ ผู้คนที่เดินอยู่บนสะพานต่างก็หันมองและรู้สึกว่าเหล่าชรานี้นั้นแปลกประหลาด ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกันแล้ว สามคนพ่อแม่ลูกที่อยู่บนสะพานนั้นก็ดูธรรมดาอย่างมาก
ซูเจ๋อก้มตัวลงไปโอบอุ้มซูเซี่ยนขึ้นมา มืออีกข้างก็จูงมือเฉินเสียน ทั้งสามคนจึงเดินข้ามสะพานไป
เมื่อเหล่าชายชราเห็นว่าซูเจ๋อนั้นไม่ได้สนใจ หรือแม้แต่จะละอายแก่ใจสักนิด พวกเขาจะทน หรือว่าคืนนี้นอนพักค้างที่จวนของเขา!
มันเป็นไปได้อย่างไรกัน
เหล่าชายชรานั้นต่างก็ไม่ยอมกลับบ้านของตัวเอง แต่กลับรีบเดินตามมาด้านหลัง เดินไปด้วยพูดตักเตือนไปด้วย“เสียแรงที่ท่านอ่านหนังสือนักปราชญ์มามากมาย สถานะและอาวุโสกว่า ข้อแตกต่างระหว่างจักรพรรดิและขุนนาง หรือว่าเจ้าโยนทิ้งความเป็นจริงข้อนี้ไปแล้ว?”
ซูเจ๋อนั้นทำเป็นหูหนวกไม่ได้ยิน ไม่นานก็กลับเข้ายังตลาดที่กำลังคึกคักสนุกสนาน
เหล่าชายชราไม่ควรที่จะเปิดเผยออกมาให้ใครได้รู้ ดังนั้นเสียงพูดของพวกเขาพูดจึงถูกควบคุมอย่างเหมาะสม บรรยากาศบนท้องถนนนั้นสนุกสนานกันอย่างเสียงดังอื้ออึง ทั้งสามคนทำเป็นไม่ได้ยินแล้วเดินเล่นของตัวเองต่อไป
ชายชราไม่ยอมแพ้ แล้วพูดต่ออย่างไม่หยุดว่า“ที่ข้าตักเตือนท่าน ถ้าท่านคิดจะทำเพื่อฝ่าบาทและองค์ชาย ให้รีบพาพวกเขากลับเข้าวังด้วยเร็ว ตอนนี้ท้องฟ้าก็มืดแล้ว วันเทศกาลสารทจีนก็ผ่านไปแล้ว หรือว่าท่านจะพาพวกเขาไปพักค้างคืนที่บ้านจวนของท่าน?ถ้าเป็นเช่นนั้นจะพาพวกเขาไปพักที่ไหนกันแน่!”
เดินผ่านไปได้ครึ่งทาง ชายชรานั้นก็ยังคงเดินตามมาด้านหลัง ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดพวกเขาก็ตามไปด้วย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะพูดโน้วน้าวตักเตือนซ้ำไปซ้ำมาตลอดทาง ดูท่าทางแล้วเกรงว่าอาจจะคงต้องเดินตามกันไปถึงหน้าจวนของซูเจ๋อกันทีเดียว
เฉินเสียนมองไปที่ซูเจ๋อ แล้วพูดว่า“เหนื่อยหรือไม่ ให้อาเซี่ยนลงมาเดินด้วยตัวเองดีกว่า บนถนนไม่ได้มีผู้คนเยอะเหมือนที่เดินผ่านมาแล้ว”
ด้านหน้ามีเจ้าหน้าที่ทหารเดินผ่านมาพอดี ในตลาดกลางคืนที่สนุกสนานเช่นนี้จำเป็นต้องมีการรักษาความสงบเรียบร้อยของเมืองหลวง
เมื่อซูเซี่ยนได้เห็น จึงบิดตัวให้หลุดออกจากการอุ้มของซูเจ๋อ เมื่อเท้าเหยียบถึงพื้น ซูเซี่ยนจึงวิ่งออกไปแล้วแสดงความไร้เดียงสาความเป็นเด็กของเขาออกมา จับไปที่ชายเสื้อของเจ้าหน้าที่ทหาร พูดอะไรบางอย่างกับเขาพร้อมกับชี้มาทางเหล่าชายชรา
จากนั้นซูเซี่ยนก็เดินนำเจ้าหน้าที่ทหารมา
เจ้าหน้าที่ทหารมองมายังเหล่าชายชราอย่างดูถูก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดีว่า“ขอเชิญพวกเจ้าไปที่ทำการปกครองเมืองด้วย!จริงๆเลย อายุก็มากแล้ว แม้แต่ตัวเองยังไม่เคารพตัวเองเลย!”
ชายชรารู้สึกสับสน “พวกเจ้าจะทำอะไร?ดูเหมือนว่าพวกข้าจะไม่ได้ทำอะไรผิดนะ?”
เจ้าหน้าที่ทหารกล่าวว่า“เมื่อครู่เด็กชายคนนี้บอกพวกข้าว่าพวกเจ้าทำลับๆล่อๆมาตลอดทาง มีความน่าสงสัยว่าจะมาลักลอบเด็กไปขาย เชิญไปที่ทำการปกครองเมืองก่อน แล้วค่อยพอธิบายออกมาให้ชัดเจน!”
เหล่าชายชราพูดอย่างไม่มีทางเลี่ยงว่า“พวกข้าไม่ได้ทำ! ต้องมีอะไรเข้าใจผิดกันแน่!”
ซูเจ๋อกล่าวอย่างเย็นชาว่า“จะเข้าใจผิดกันได้อย่างไร ตามพวกข้ามาตั้งแต่บนสะพานนั่นแล้ว นายทหารต้องจัดการตรวจสอบให้ดีๆ”
เหล่าชายชรานั้นโกรธแค้นมาก จ้องมองไปที่ซูเจ๋อแล้วพูดว่า“ไม่คิดว่าเจ้าจะเป็นคนแบบนี้! เจ้าก็รู้ว่าพวกข้าไม่ใช่อย่างนั้น!”
เจ้าหน้าที่ทหารพูดอย่างรำคาญว่า“อย่าพูดอะไรไร้สาระ กลับไปกับพวกข้า!”
ในเมื่อเหล่าชายชรานั้นพูดออกมาได้ไม่ชัดเจน จากนั้นจึงได้แต่ตะโกนโวยวายและถูกเจ้าหน้าที่ทหารนำตัวไป
เมื่อเฉินเสียนเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ยิ้มออกมาอย่างทำตัวไม่ถูก
ซูเจ๋อจูงมือเฉินเสียนแล้วพูดว่า“ไปกัน กลับจวนกันเถิด”
เฉินเสียนพูด“ช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักนั้นเปราะบาง สิ่งที่เจ้าทั้งสองนั้นทำให้เหล่าชายชราเข้าไปในติดอยู่ในส่วนราชการนั้น ต่อไปภายหน้าอย่าได้คิดว่าพวกเขาจะหยุดลงได้”
ซูเซี่ยนกล่าว“ก็พวกเขาพูดถึงแต่ทฤษฎี ข้าฟังแล้วรู้สึกรำคาญ ถ้าเกิดไม่ให้เจ้าหน้าที่ทหารกุมตัวพวกเขาไป พวกเขาก็คงไม่ยินยอมให้พวกเราได้อยู่กับท่านพ่อแน่”
อีกอย่างคืนนี้เขาก็ไม่อยากจะกลับเข้าวังแล้ว เขาอยากจะให้ท่านแม่ได้นอนค้างกับท่านพ่อ
เมื่อเดินเลี้ยวเข้ามาในตรอกซอย แสงจันทร์อันเงียบสงบส่องแสงสว่างไปทั่วพื้น ส่องให้เห็นเงาของกำแพงทั้งสองข้างทางเล็กแคบ ซูเซี่ยนนั้นจำทางกลับจวนได้จึงเดินนำอยู่ด้านหน้าอย่างเงียบๆ แสงจันทร์ที่สาดส่องมายังบนตัวเขาทำให้เห็นเงาสั้นๆบนพื้นช่างน่าเอ็นดูอย่างมาก