ข้าคือหงส์พันปี - บทที่ 606 เช่นนั้นก็ให้ข้าเป็นขุนนางผู้กุมอำนาจ
สายลมพัดโชยอ่อนภายในสวนไผ่ ทั้งสองเดินจูงมือเคียงข้างกันไปตามทางเดินซึ่งทอดยาวไปจนถึงริมสระ ซูเจ๋อรวบชายเสื้อและนั่งลงที่สุดทางเดินนั่น เฉินเสียนนั่งลงข้างๆ และเอนศีรษะแอบอิงเขา
เธอเงยหน้ามองดวงจันทร์กระจ่างในท้องฟ้ายามค่ำคืน จันทร์เสี้ยวโค้งมนดั่งตะขอเงิน ขาวนวลราวกับหยกบริสุทธิ์
เฉินเสียนเฝ้ามองและโอบเอวซูเจ๋อไว้โดยไม่รู้ตัว กระชับกอดแน่น กลิ่นหอมจางๆ ของไม้กฤษณาทำให้หัวใจของเธอทั้งไหวหวั่นและรู้สึกสงบไปพร้อมๆ กัน
เธอรู้สึกว่าบุรุษที่เธอกำลังโอบกอดเป็นเหมือนสายลมที่เย็นฉ่ำในยามค่ำคืน เป็นดวงจันทร์สว่างไสวบนท้องนภา เธออยากจะกอดเขาให้แน่น ไม่อย่างนั้นเธอเกรงว่าเธอจะต้องแยกจากเขาไป
เฉินเสียนค่อยๆ หลุดจากภวังค์ เธอเอนศีรษะซบลงบนแผงอกของซูเจ๋อและสัมผัสได้ถึงความชุ่มเย็น
ซูเจ๋อใช้เสื้อคลุมของเขาคลุมตัวเธอไว้และถามว่า “หนาวไหม”
เฉินเสียนส่ายหน้า เอื้อมมือออกมาสัมผัสบริเวณคอเสื้อของเขา ลูบไล้ไปบนลวดลายละเอียดอ่อนบนอาภรณ์นั้น
“เหล่าขุนนางไม่เข้าเฝ้าที่ราชสำนักมากี่วันแล้วหรือ” ซูเจ๋อรู้แต่ยังถาม
“สามวัน” เฉินเสียนยิ้มมุมปาก “ท่านมีความคิดดีๆ หรือไม่ ซูเจ๋อ”
ปลายนิ้วที่ทั้งอบอุ่นและเยียบเย็นของซูเจ๋อลูบไล้เส้นผมที่คลอเคลียอยู่ข้างหูของเธอ เขากล่าวว่า “ถ้าท่านยอมให้พวกเขาปลดข้าออก เรื่องจะไม่กลายเป็นเช่นนี้”
“แล้วใครจะยอมทำตามสิ่งที่ข้าต้องการ” เฉินเสียนพึมพำ “ตั้งแต่ลงนามในข้อตกลงกับเย่เหลียง ท่านน่าจะพอคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นวันนี้ ท่านคงตั้งใจไว้แล้วว่าจะเสียสละตัวเองเพื่อสนับสนุนข้า ถูกต้องหรือไม่”
ซูเจ๋อยิ้มนิดหนึ่งและเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ในสายตาของท่าน ข้ายิ่งใหญ่ขนาดนั้นเชียวหรือ จักรพรรดิลุ่มหลงในอำนาจ นั่นคือสัจธรรมของโลก วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายม้วยฆ่าสุนัข… นั่นคือวิถีแห่งราชสำนัก ทว่ามีเพียงแค่ท่าน ที่ไม่ลุ่มหลงในอำนาจ ไม่เดินตามเส้นทางนั้น การปล่อยข้าไว้เป็นการละเมิดข้าห้ามของจักรพรรดิ พวกเขากลัวว่าท่านจะเลี้ยงเสือให้กลับมาเป็นภัย นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์”
เฉินเสียนกล่าวว่า “ข้าไม่อยากกลายเป็นกษัตริย์ผู้โดดเดี่ยว เหตุใดข้าจึงต้องรักแผ่นดินนี้ เหตุใดข้าจึงต้องนั่งในตำแหน่งนี้ ท่านรู้ดี ว่าทั้งหมดก็เพื่อท่าน ซูเจ๋อ ข้าเศร้าใจเหลือเกิน ถ้าท่านจากไป ข้าก็ไม่อยากเป็นจักรพรรดินีอีกต่อไปแล้ว”
“แต่ท่านทำได้ดีมาก ท่านไม่เพียงแต่ปกป้องประชาชนชาวต้าฉู่ แต่ท่านยังปกป้องข้าด้วย เย่เหลียงไม่ได้ดูแคลนเรื่องของข้า ดังนั้นชื่อเสียงของข้าจึงไม่ด่างพร้อย” ซูเจ๋อเอ่ยอย่างผ่อนคลาย “การได้รับการปกป้องจากท่านทำให้ข้ามีความสุข ทว่าก็ทำให้ข้ารู้สึกเจ็บปวดใจ”
เฉินเสียนยิ้มและเอ่ยว่า “ท่านเจ็บปวดใจเพราะข้าเหรอ เช่นนั้นที่ข้าเคยได้รับการปกป้องจากท่านไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ข้าไม่มิเจ็บปวดใจจนตายแล้วหรือ”
ซูเจ๋อหลุบตาลงมองสตรีผู้อยู่ใต้แสงจันทร์อย่างเงียบเชียบ เนิ่นนานกว่าเอื้อนเอ่ย “อาเสียน ข้าจะไม่จากไปไหน จะไม่ปล่อยให้ท่านต้องเผชิญหน้ากับเหล่าขุนนางอย่างโดดเดี่ยว จะไม่ปล่อยให้ท่านคอยเฝ้าดูความสำเร็จของต้าฉู่เพียงลำพัง ถ้าข้าอยู่กับท่าน ท่านจะยังเศร้าใจอยู่หรือไม่” นิ้วของเขาลูบไล้อยู่บนใบหน้าของเธอ “ท่านกลัวไหม ว่าการเลี้ยงเสือจะนำภัยพิบัติมาให้ท่าน”
เฉินเสียนตกตะลึงและเงยหน้ามองเขา
เขากดคิ้วต่ำ แสงจันทร์ส่องประกายอยู่ในแววตา ซูเจ๋อยิ้มให้เฉินเสียน ทว่าดวงตาคู่นั้นลึกล้ำและดูเปลี่ยวเหงาราวกับท้องฟ้าที่กว้างใหญ่
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ในเมื่อไม่มีทางที่จะได้เป็นคนที่อยู่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับท่านอย่างถูกทำนองคลองธรรม เช่นนั้นก็ทำให้ข้าเป็นขุนนางผู้กุมอำนาจสูงสุดอยู่ข้างกายท่านดีหรือไม่”
เฉินเสียนตื่นตัวขึ้นมาในฉับพลัน
ท่ามกลางสายลมเย็นและแสงจันทร์นวลผ่อง ซูเจ๋อเกลี่ยผมเธอไว้ที่ซอกนิ้ว เขากล่าวว่า “ถ้าพูดถึงการแสดงอำนาจ ข้าทำได้ดีกว่าพวกเขามาก ข้าจะเป็นดาบในมือท่าน ฟาดฟันขวากหนามที่กีดขวางทางท่านให้สิ้นซาก ในวันข้างหน้าข้าจะพาท่านไปชื่นชมความยิ่งใหญ่ตระการตาของต้าฉู่ บนที่สูงนั้นหนาวเหน็บ แต่เมื่อหวนมองกลับมาจะมีที่พึ่งพิง ท่านจะไม่กลายเป็นกษัตริย์ผู้โดดเดี่ยว จนเมื่ออาเซี่ยนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ข้าจะพาท่านท่องไปทั่วทุกหนทุกแห่ง”
ขอบตาของเฉินเสียนแดงก่ำ น้ำตาไหลรินลงมาอย่างรวดเร็ว เธอรีบก้มหน้าปาดน้ำตาและกล่าวว่า “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าและท่านในฐานะกษัตริย์กับขุนนาง เมื่ออยู่ในราชสำนัก ข้าจะไม่มีเหตุผลใดที่จะบังคับให้ท่านอยู่เคียงข้ากับอาเซี่ยนอีกต่อไป”
“แต่ในราชสำนัก ข้าจะได้พบกับท่านเป็นประจำ และยังชี้แนะบทเรียนให้อาเซี่ยนได้เป็นบางครั้ง คิดแล้วก็นับว่าไม่เลว”
เฉินเสียนเอ่ยอย่างดื้อดึงว่า “เหตุใดอยู่ๆ จึงต้องการแบบนี้ เหตุใดจึงต้องบอกเรื่องเหล่านี้กับข้า ข้าไม่เห็นด้วย”
“เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะเลิกยุ่งเกี่ยวกับกิจในราชสำนัก จะค่อยๆ ถอนตัวออกไปหลังจากท่านขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่พวกเขารีบร้อนยิ่งกว่าข้า” เขายิ้มจางๆ
“ตอนนี้ข้าไม่ต้องการทำตามความปรารถนาของพวกเขา แม้ว่าข้าจะพอคาดเดาได้ตั้งแต่แรกว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ท่านพูดถูก ดูเหมือนข้าตั้งใจจะยอมรับชะตากรรมมาตั้งแต่แรก และไม่เคยคิดที่จะต่อสู้ดิ้นรน แต่ตอนนี้ข้าอยากจะต่อสู้เพื่อตัวเองดูสักครั้ง ในเมื่อไม่สามารถอยู่เคียงข้างกันได้ ขอเพียงปกป้องท่านกับอาเซี่ยนได้ ข้าก็พอใจแล้ว”
เฉินเสียนหายใจเข้าลึกๆ อยู่ครู่หนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็ระงับความเจ็บปวดที่หลั่งไหลเข้ามาในใจไม่ได้
“ไม่พอ แบบนี้ไม่ดีเลยสักนิด” เฉินเสียนดึงมือซูเจ๋อมาสัมผัสใบหน้าของเธอ “ข้าไม่ต้องการให้ท่านต้องเสียแรงอีก ไม่อยากให้ท่านกังวลเกี่ยวกับมัน สุขภาพของท่านไม่ดี ท่านจำเป็นต้องรักษาสุขภาพ ข้าอยากเฝ้าดูท่านมีอายุยืนยาว รอให้ขุนนางพวกนั้นเกษียณ แล้วสักพักทุกอย่างจะผ่านไปเอง”
ซูเจ๋อกล่าวว่า “ขุนนางเก่าในราชสำนัก ถึงอย่างไรก็จะต้องถูกแทนที่ พวกเขาเป็นผู้อาวุโสที่ผ่านชีวิตมาถึงสามราชวงศ์ ท่านทำอะไรไม่ได้ ข้าจะทำแทนท่านเอง”
เฉินเสียนคว้าไหล่ของเขาไว้และส่ายศีรษะเป็นพัลวัน “ไม่ ข้าไม่ต้องการ”
เธอไม่ต้องการให้เขามายุ่งเกี่ยวกับราชสำนักอีก ไม่ต้องการให้เขาออกหน้าทำทุกอย่างแทนเธอ เฉินเสียนรู้ว่าการก่อให้เกิดความวุ่นวายเป็นเรื่องที่ง่ายมากสำหรับเขา แต่นั่นจะสร้างศัตรูให้เขา ความคาดเดาไม่ได้ต่างๆ ในราชสำนักจะพุ่งตรงมาที่เขา เธอไม่ต้องการให้เขากลับไปใช้ชีวิตอยู่บนคมมีดอีกแล้ว
“สุขภาพของข้าดีหรือไม่ ครั้งก่อนท่านก็เห็นแล้วไม่ใช่หรือ” ซูเจ๋ออุ้มเฉินเสียนเข้ามาไว้ในอ้อมกอดและลุกขึ้นเดินกลับไป กระซิบอย่างแผ่วเบาว่า “หากคืนนี้ท่านอยากเห็นอีกก็ไม่มีปัญหา แต่น่าเสียดายที่พรุ่งนี้ไม่ใช่วันหยุด”
เขาก้าวเข้าไปสนสวนไผ่ สายลมยามค่ำพัดชายเสื้อของเขาขึ้น เขาเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ท่านคิดว่าท่านจะเป็นคนรับสั่งเลื่อนตำแหน่งให้ข้า หรือข้าควรคุกเข่าต่อหน้าและขอรับพระราชโองการจากท่านเอง”
เฉินเสียนเริ่มดิ้นและเอ่ยว่า “ปล่อยข้าลงเถอะ เดี๋ยวข้าเดินต่อเอง”
“อีกนิดเดียวก็ถึงห้องแล้ว”
เมื่อมาถึงห้อง เฉินเสียนก็เอ่ยอย่างเคืองโกรธว่า “ข้าออกคำสั่งไม่ได้ แม้ว่าท่านจะคุกเข่าขอรับพระราชโองการ ข้าก็ไม่มีทางเห็นด้วย”
ซูเจ๋อหยุดฝีเท้าลง จากนั้นจึงยกปลายเท้าขึ้นแตะประตูเบาๆ เพื่อให้ประตูเปิดออกและเดินเข้าไปในห้องซึ่งไร้แสงไฟ เขาวางเฉินเสียนลงและหันไปกดเธอไว้แนบชิดบานประตู
แสงไฟริบหรี่บริเวณทางเดินด้านนอกส่องผ่านผ้าม่านโปร่งบางที่ประตูเข้ามาในห้อง สะท้อนรำไรอยู่บนใบหน้าของซูเจ๋อ เขาโน้มศีรษะลงมาใกล้จนสัมผัสถึงลมหายใจ กระซิบบอกเธออย่างแผ่วเบา “ในราชวงศ์ก่อนข้าก็ใช้ตำแหน่งบัณฑิตเช่นนี้ปลุกปั่นให้เกิดการนองเลือดขึ้นในราชสำนัก ไม่ว่าท่านจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่ตอนนี้ข้าก็ยังเป็นบัณฑิต นอกจากเป็นบัณฑิตแล้วข้ายังเป็นราชครูของท่าน เรื่องของราชสำนักไม่ได้อยู่ไกลตัวข้าเลย”
ตราบใดที่เฉินเสียนไม่ยอมลดขั้นเขา เขาก็ยังต้องยุ่งเกี่ยวกับกิจของราชสำนักต่อไป
เฉินเสียนรู้สึกเจ็บปวด เธอขยับปากและเอ่ยด้วยเสียงที่เบาหวิว “ข้าไม่อยากให้ท่านย้อนกลับไปสู่อดีตอีกแล้ว”
“บางทีข้าควรจะเป็นส่วนหนึ่งของราชสำนัก และไม่ต้องมีเวลาใช้ชีวิตอยู่ในเรือนอีก”
****鸟尽弓藏、兔死狗烹 วิหคสิ้นเกาทัณฑ์ซ่อน กระต่ายม้วยฆ่าสุนัข – เมื่อฆ่านกแล้วจึงเก็บธนูไว้ เมื่อฆ่ากระต่ายแล้วจึงฆ่าสุนัขทิ้ง หมายถึง เมื่อหมดประโยชน์จึงกำจัดทิ้ง*****